เผยเบื้องหลังการสร้าง Salvation Mountain ศิลปะกลางทะเลทรายในหนัง Into the Wild ที่อุทิศให้แก่ความรักและความเชื่อ
ในภาพยนตร์เรื่อง Into The Wild ที่สร้างจากเรื่องจริงของ คริสโตเฟอร์ แม็คแคนด์เลส (Christopher McCandless) ชายผู้เดินทางตามหาความหมายของชีวิต หลายคนสะดุดตากับเนินเขาสีลูกกวาดที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อประกาศถึงความรักที่มีต่อพระเจ้า แม้ฉากที่ว่าจะกินเวลาสั้น ๆ ไม่ถึง 2 นาที แต่ก็นานพอที่จะดึงดูดนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกให้ไปเยี่ยมเยียนสถานที่แห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย
เนินเขาดังกล่าวมีชื่อว่า Salvation Mountain และผู้ที่สร้างขึ้นคือ ลีโอนาร์ด ไนต์ (Leonard Knight) ชายผู้เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ แม้หลังการปรากฏตัวในภาพยนตร์ ลีโอนาร์ดจะเสียชีวิตลงในอีกไม่กี่ปีถัดมา แต่ผลงานของเขายังคงยืนหยัดประกาศศรัทธากลางผืนทะเลทราย และกลายเป็นหมุดหมายของผู้แสวงบุญทางศิลปะ
©Joel Muniz/Unsplash
ศรัทธาที่ถูกค้นพบ
ถ้อยคำ "God Is Love" และรูปหัวใจสีแดงขนาดใหญ่กลายเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจเมื่อมองจากระยะไกล เนินเขาหลากสีกลางทะเลทรายแคลิฟอร์เนียใกล้กับชุมชนสแลบซิตี้ (Slab City) ผลงานทางศิลปะที่เกิดจากศรัทธาอันแน่วแน่ของไนต์ ได้กลายเป็นเครื่องบรรณาการต่อพระเจ้า รวมถึงจุดหมายของนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก
อย่างไรก็ตาม ไนต์ไม่ได้มีศรัทธาต่อพระเจ้ามาแต่เริ่มแรก เขาเกิดในปี ค.ศ.1931 นอกเมืองเบอร์ลิงตัน รัฐเวอร์มอนต์ สหรัฐอเมริกา เป็นลูกคนที่ 4 จากพี่น้อง 6 คน ในวัยเด็กภาระหน้าที่การดูแลพืชผักและสัตว์ในฟาร์มทำให้เขาไม่ได้เที่ยวเล่นเฉกเช่นเด็กทั่วไป ในขณะเดียวกันชีวิตที่โรงเรียนก็กลายเป็นเรื่องน่าอึดอัด เมื่อเขามักถูกเด็กคนอื่นกลั่นแกล้งอยู่เสมอ
ปี 1951 ช่วงเวลาที่สงครามเกาหลีกำลังดำเนินอยู่ ไนต์ที่มีอายุได้ 20 ปี เขาถูกเกณฑ์ให้เข้าร่วมกับกองทัพสหรัฐฯ และได้รับการฝึกให้เป็นช่างยนต์ เวลานั้นเขาถูกส่งให้ไปยังดินแดนเกาหลี ทว่าอีก 10 วันต่อมา สงครามก็สิ้นสุดลง หลังจากปลดประจำการ ไนต์เดินทางกลับไปยังเวอร์มอนต์และทำงานในอู่ซ่อมรถยนต์
จุดเริ่มต้นความศรัทธาที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของไนต์ไปตลอดกาล เริ่มต้นขึ้นในวันหนึ่งของปี 1967 เมื่อเขาเดินทางไปเยี่ยมน้องสาวที่เมืองซานดิเอโก เวลานั้นน้องสาวของเขามักเอ่ยถึงพระเจ้าอยู่เสมอ สิ่งนี้ทำให้ไนต์รู้สึกเบื่อหน่ายและรำคาญใจ ดังนั้นในเช้าวันหนึ่งเขาจึงเลือกหลบไปนั่งในรถบรรทุกของตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงการไปโบถส์ อย่างไรก็ตาม ขณะที่นั่งอยู่ในรถ จู่ ๆ เขากลับเริ่มคิดวนเวียนกับตนเองซ้ำ ๆ ว่า “ลูกเป็นคนบาป พระเยซูโปรดเข้ามาในใจของลูกด้วยเถิด” และโมงยามนั้นเองที่ศรัทธาได้ถูกค้นพบโดยลำพัง
ในวัย 36 ปี ไนต์ได้รับพระเยซูเข้าสู่ในใจ ก่อนจะอุทิศตนอย่างเข้มข้นนับแต่นั้นเป็นต้นมา
©Megan Ellis/Unsplash
สาสน์ลอยฟ้า ความฝันที่ไม่เคยสิ้นหวัง
สำหรับไนต์ ไม่มีสิ่งใดเติมเต็มความศรัทธาได้ดีไปกว่าการเผยแพร่พระวจนะของพระเจ้า ทว่าด้วยวิธีการใดเขายังคงหาคำตอบ และคล้ายกับเบื้องบนดลใจเมื่อวันหนึ่งในปี 1970 ได้มีบอลลูนลมร้อนเคลื่อนผ่านเมืองเบอร์ลิงตันที่เขาอาศัยอยู่ ผู้คนมากมายต่างพากันออกมายืนดูบอลลูนดังกล่าวด้วยความตื่นเต้น วินาทีนั้นไนต์ตัดสินใจว่า บอลลูนลมร้อนอาจเป็นวิธีที่ดีในการเผยแพร่สิ่งที่เขาปรารถนา
อย่างไรก็ตาม ความฝันกลางอากาศของเขาไม่ได้กลายเป็นจริงจนกระทั่งอีก 10 ปีต่อมา วันหนึ่งระหว่างการเดินทางกลับจากการเยี่ยมเยียนน้องสาว รถบรรทุกของไนต์เกิดเสียในรัฐเนบราสก้า ด้วยเหตุที่เคยเป็นช่างซ่อมรถยนต์ประกอบกับมีเงินที่ตัวอยู่เพียงน้อยนิด เขาจึงไปหาซื้ออะไหล่มือสองจากลานขยะละแวกนั้น ที่นั่นเขาได้พบกับ ก็อปปี โจนส์ (Copy Jones) ชายเจ้าของลานขยะที่เสนอตัวจะช่วยไนต์สร้างบอลลูน โจนส์ได้ติดต่อผู้ผลิตบอลลูนในท้องถิ่นเพื่อขอเศษวัสดุทำบอลลูน ส่วนภรรยาของโจนส์ก็บริจาคจักรเย็บผ้ามือสองให้
ไนต์เริ่มเย็บบอลลูนลมร้อนอย่างไม่ลดละตลอดระยะเวลาหลายปี เขารับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งตัดไม้ เก็บแอปเปิล หรืองานอื่น ๆ ที่พอจะหาได้เพื่อนำเงินมาซื้อผ้า กระนั้นเมื่อเวลาผ่านไปบอลลูนกลับมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะจัดการ หลังจากพยายามสูบลมอยู่หลายต่อหลายครั้ง ผืนผ้าบอลลูนก็เริ่มเปื่อยยุ่ยและเสียหาย
ในปี 1984 ไนต์มีโอกาสเดินทางไปเยือนชุมชนอิสระที่ชื่อว่า สแลบซิตี้ (Slab city) และเกิดประทับใจในเสรีภาพที่ทะเลทรายแคลิฟอร์เนียแห่งนี้มอบให้ เวลานั้นเขาตัดสินใจสร้างบอลลูนขึ้นมาอีกครั้งด้วยวัสดุที่แข็งแรงยิ่งกว่าเดิม แต่ถึงอย่างนั้นบอลลูนของไนต์ก็ยังไม่สามารถลอยในอากาศได้อยู่ดี เขาพบข้อบกพร่องบนบอลลูนอยู่เสมอ และทุกครั้งที่ลงมือซ่อมแซมก็จะพบกับข้อบกพร่องใหม่ ๆ ไม่รู้จบ หลังจาก 14 ปีของความพยายาม ในที่สุดไนต์ก็ยอมจำนนต่อความพ่ายแพ้ ทว่าสิ่งนี้ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการใหม่ที่กลายมาเป็นผลงานสำคัญของชีวิต
©Olga DeLawrence/Unsplash
ภูเขาที่พังทลายกับศรัทธาที่ไม่เคยสูญหาย
แม้จะไม่สมหวังในความฝันลอยฟ้า แต่ศรัทธายังคงผลักดันให้ไนต์ก้าวไปข้างหน้า สำหรับเขาแล้วนิมิตแรกอย่างบอลลูนลมร้อนที่สลักพระวจนะของพระเจ้าย่อมไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางที่นำพาเขาไปสู่โครงการสุดมหัศจรรย์อย่าง Salvation Mountain ต่างหาก
ปี 1984 ไนต์เกิดความคิดที่จะสร้าง “ภูเขาแห่งความรอด” (Salvation Mountain) ขึ้น ภูเขาลูกนี้ถูกปั้นขึ้นจากดินเหนียว น้ำ ทราย ซีเมนต์ และเศษซากขยะที่เขาพบเจอในบริเวณนั้น ไนต์ใช้เวลาจากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นปี เพื่อให้ภูเขาของเขาค่อย ๆ สูงขึ้นและสูงขึ้น จนกระทั่งมันสูงมากกว่า 15 เมตร
หนึ่งวันหลังจากทำงานมาได้ 4 ปี ผลงานของเขาก็พังทลายลงด้วยโครงสร้างที่เปราะบางและเพราะทรายที่มากเกินไป แม้ภูเขาแห่งความรอดจะล่มสลาย แต่ไนต์กลับยังไม่ท้อถอย เขาขอบคุณพระเจ้าที่แสดงให้เห็นว่าภูเขาลูกนี้ไม่ปลอดภัย และสาบานว่าจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งและจะต้องดียิ่งกว่าเดิม
©Olga DeLawrence/Unsplash
สามทศวรรษสู่ “ภูเขาแห่งความรอด”
ไนต์เริ่มต้นสร้างภูเขาลูกใหม่โดยใช้ดินโคลนผสมกับก้อนหญ้าแห้งเพื่อทำโครงสร้างให้แข็งแรง ในขณะเดียวกันก็เสริมความทนทานด้วยสีลาเท็กซ์ที่ถูกทาทับกันครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อป้องกันการกัดเซาะจากลมและฝน ในแต่ละวัน ไนต์จะตื่นตอนตี 5 และมุ่งหน้าเข้าเมืองเพื่อดื่มกาแฟสักแก้ว จากนั้นจะกลับมาปั้นดินเหนียวที่เขาแช่น้ำทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวานซืน มีงานรอให้ทำอยู่เสมอตราบเท่าที่เขายังมีศรัทธา
ไนต์ทำงานโดยไม่มีแบบแผน เขาขับเคลื่อนตัวเองด้วยแรงบันดาลใจและปล่อยให้พระเจ้าเป็นผู้ชี้นำจังหวะพู่กัน ตลอดระยะเวลาหลายปี ไนต์อาศัยอยู่ตามลำพังบนรถบรรทุก มีเพียงฝูงแมวเป็นเพื่อน ปราศจากน้ำประปาหรือไฟฟ้าให้ใช้ เพื่อนบ้านและผู้คนที่เดินทางมาเยือนมักนำเสบียง วัสดุในการก่อสร้าง และสีมามอบให้เขาอยู่เสมอ
เวลาผ่านไป ภูเขาแห่งความรอดที่สูง 15 เมตรและกว้าง 45 เมตร ก็ได้กลายเป็นอนุสรณ์สถานที่เต็มไปด้วยข้อพระคัมภีร์สีสดใส เมื่อมองจากที่ไกลจะเห็นแม่น้ำสีฟ้าไหลลงสู่หน้าผาสีขาวสะอาด ดอกไม้ปูนปั้นผลิกลีบแบ่งบานทั่วทั้งเนินเขา ถัดจากข้อความ God Is Love และไม้กางเขนสีขาวบริสุทธิ์ที่อยู่บนสุดของเนินเขา คือหัวใจสีแดงขนาดใหญ่พร้อมคำอธิษฐานของคนบาป ไนต์ยืนยันอยู่เสมอว่าเขาไม่ใช่ศิลปิน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ปรารถนาให้ผลงานชิ้นนี้ “สวยราวกับพระเยซู” และเขาคงสมหวังดังตั้งใจ เพราะแม้แต่ผู้ไร้ศรัทธาก็ไม่อาจปฏิเสธความงามของประติมากรรมชิ้นนี้ไปได้
ลีโอนาร์ด ไนต์ จากโลกนี้ไปในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2014 เมื่ออายุได้ 82 ปี ตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปีของการสร้างสรรค์ภูเขาแห่งความรอด คาดกันว่าเขาใช้สีไปกว่าครึ่งล้านแกลลอน หลังการเสียชีวิต ผู้คนจากทั่วสารทิศยังคงเดินทางมาเยี่ยมชม Salvation Mountain อย่างไม่ขาดสาย งานศิลปะของเขาเชื่อมโยงกับผู้คนมากกว่าที่เขาเคยใฝ่ฝันถึง และนั่นย่อมหมายความว่าภารกิจเผยแพร่สาสน์แห่งความรักอย่างที่ไนต์เคยหวังไว้ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว
ที่มา : salvationmountain.us
บทความ Leonard Knight The Man Who Built Salvation Mountain โดย Lynn Bremner จาก www.desertusa.com
บทความ Will Salvation Mountain find its savior? The quest to save the desert folk-art landmark จาก www.latimes.com
เรื่อง : ธัญลักษณ์ ย.