Cost Plus Pricing ต้นทุนเพิ่ม! ต้องบวกกำไรเพิ่ม
Cost Plus Pricing เป็นการตั้งราคาขาย โดยการบวกกำไรที่เราอยากจะได้ เพิ่มจากต้นทุน เพื่อให้ได้ราคาขายสุดท้าย
มีสูตรคือ ราคาขาย = ต้นทุนทั้งหมด + กำไรของสินค้า
ซึ่งก่อนที่จะไปถึงขั้นตั้งราคาขาย ก็ต้องรู้ว่า “ต้นทุน”ของเราทั้งหมดมีเท่าไหร่ ในที่นี้ก็หมายรวมทั้งหมดคือ ต้นทุนคงและต้นทุนผันแปร ทั้งค่าน้ำ , ค่าไฟ , ค่าเช่า , ค่าจ้างพนักงาน , ค่าวัตถุดิบ เป็นต้น
เมื่อได้ต้นทุนทั้งหมดก็นำมาเฉลี่ยเป็นต้นทุนสินค้าต่อหน่วย จากนั้นจึงนำมาบวกกับกำไรที่ต้องการ
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ข้าวผัดกระเพรา ต้นทุนรวมต่อจานอยู่ที่ 30 บาท ต้องการขายให้ได้กำไรจานละ 60 % ดังนั้น
- ราคาขาย = ต้นทุนทั้งหมดต่อจาน + กำไรของสินค้า
- ราคาขาย = 30 + (30 x 60 %)
- ราคาขาย = 48 บาท
ในการตั้งราคาขายจริงก็อาจใส่ตัวเลขกลมๆ ให้เข้าใจง่ายเป็นราคา 50 บาท ก็เท่ากับว่าข้าวผัดกระเพราจานนี้จะมีกำไร 60% ต่อจาน
ข้อดีการตั้งราคาเพิ่มจากต้นทุน (Cost Plus Pricing)
- ช่วยให้ตั้งราคาอาหารได้อย่างเหมาะสม
- สร้างกำไรได้อย่างมั่นคง เนื่องจากกำหนดกำไรที่ต้องการชัดเจน
- ลดโอกาสขาดทุน ครอบคลุมกำไรทุกจาน
วิธีการตั้งราคาแบบนี้เหมาะกับแบรนด์ที่ขายสินค้าและบริการ ที่มีลักษณะเป็นสินค้ามวลชน (Mass Product) มีความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย สัดส่วนของ % ที่ต้องการก็ขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการในแต่ละราย มากหรือน้อยต้องพิจารณาจากหลายด้านเอามาประกอบ บางรายต้องการขายมากให้มีตัวคูณของลูกค้าเยอะๆ ก็สามารถตั้งราคาให้ถูกเพื่อดึงดูดลูกค้าได้
เห็นภาพง่ายที่สุดก็คือแบรนด์จากจีนที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยส่วนใหญ่เป็นลักษณะของ Economies of Scale คือ การที่บริษัทหนึ่ง สามารถกดต้นทุนเฉลี่ยให้ถูกลงได้ ด้วยการเพิ่มปริมาณการผลิต ซึ่งธุรกิจที่จะใช้ประโยชน์จาก Economies of Scale จะต้องมีความต้องการจากฐานลูกค้าจำนวนมากเสียก่อน แล้วจึงเพิ่มการผลิตให้มากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการนั้น
อย่างไรก็ตาม การเกิด Economies of Scale จะไม่ได้คงอยู่ตลอดไป เพราะเมื่อผลิตมากขึ้นถึงจุดหนึ่ง ผู้ผลิตก็จำเป็นต้องลงทุนเพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มการผลิตต่อเนื่อง จนไม่สามารถกดต้นทุน ให้ต่ำได้ จะเห็นได้ว่าหลักการตั้งราคาในโลกของธุรกิจนั้นมีหลายตัวแปรที่ต้องคิดให้รอบคอบ วิธี Cost Plus Pricing เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
นอกเหนือจากวิธีนี้ก็ยังมีกลยุทธ์การตั้งราคาที่ธุรกิจกว่า 90% นิยมใช้กันเช่น
- Competitive pricing การตั้งราคาให้เข้ากับท้องตลาด ให้ราคาอยู่ใน range เดียวกับคู่แข่ง ไม่แพงโดดหรือถูกเกินช่วงราคาที่เขาขายๆกัน
- Value-based pricing การตั้งราคาโดยไม่อิงราคาตลาด แต่อิงคุณค่าหรือการรับรู้ในใจของลูกค้า
- Price Skimming คือการตั้งสินค้าราคาสูงและค่อยๆทยอยลดราคาทีหลัง เป็นวิธีที่เหมาะกับสินค้าหรือบริการใหม่ๆที่เพิ่งเข้ามาทำตลาด ยกตัวอย่าง แผงโซลาร์ แต่ก่อนแพงมาก ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีและการแข่งขัน ทำให้ราคาถูกขึ้นมาก
- Penetration Pricing การตั้งราคาต่ำกว่าตลาดเพื่อเจาะตลาด แล้วค่อยไปขึ้นราคาทีหลัง
อย่างไรก็ดีแม้เป็นธุรกิจเดียวกัน มีหลายสินค้า ไม่จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์การตั้งราคาเดียวกันทั้งหมด สามารถปรับให้เหมาะกับปัจจัยแวดล้อมของแต่ละธุรกิจ และการตั้งราคาไม่ใช่คิดแค่ต้นทุนสินค้า บวกกำไรแค่นั้น มันต้องคิดเผื่อต้นทุนอื่นๆ เช่น ต้นทุนค่าวางจำหน่ายสินค้า, ต้นทุนค่าโฆษณา, ต้นทุนค่าบริหารจัดการอื่นๆ รวมถึงเรื่องของ Sales Promotion ในอนาคตข้างหน้าด้วย
------------------------------------------
รวมแฟรนไชส์ไทย >660 แบรนด์ - www.ThaiFranchiseCenter.com