เศรษฐกิจแย่ คนใช้เงินประหยัดขึ้น ‘โค้ก’ กลายเป็นสินค้าฟุ่มเฟื่อยของคนภาคใต้ ดึงโมเดล ‘ขวดแก้วคืนขวด’ กระตุ้นรายได้ – รักษ์โลก
ในยุคหนึ่งสำหรับเด็กยุค 80s-90s การซื้อโค้กดื่มตามร้านโชห่วย รวมไปถึงโมเดลธุรกิจแบบ ‘คืนขวดแก้ว’ Coca-Cola หรือ โค้ก เป็นหนึ่งในแบรนด์แรกๆ ที่คนยุคนั้นน่าจะนึกถึง และล่าสุด โมเดลนี้กำลังกลับมาสำหรับ 14 จังหวัดภาคใต้ กับโค้กขนาดขวดใหม่
พลตรี พัชร รัตตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) หรือ HTC ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในเครือโคคา-โคล่าในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ได้พูดเปิดเผยถึงแผนธุรกิจในปี 2568 ว่าจะเป็นอีกหนึ่งปีที่บริษัทฯ เติบโตอย่างมีศักยภาพ
[ โมเดลขวดแก้วคืนขวด ]
ในปี 2567 บริษัทได้ตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่มากถึง 800 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่มขวดแก้วแบบคืนขวดรุ่นใหม่ โดยมีกำลังการผลิตสูงสุด 10 ล้านลังต่อปี แต่ปัจจุบันกำลังการผลิตที่ใช้ไปเพียง 3 ล้านลังเท่านั้น
ดังนั้น น้ำอัดลมขวดแก้วแบบคืนขวดรุ่นใหม่ ต้องพูดว่าราคาขายที่เป็น ‘ต้นทุน’ ของร้านค้าต่อลังจะถูกกว่าบรรจุภัณฑ์ PET รวมไปถึงการตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งธุรกิจใดที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยแท้จริง จะสามารถเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ อาจจะหมายรวมไปถึง first jobber และคนวัยทำงาน ซึ่งเป็นเมนมาร์เก็ตของ Coca-Cola
“จากสัดส่วนในปัจจุบันที่เราถือในตลาดขวดแก้วคืนขวด รายได้ของบริษัทมาจากส่วนนี้ประมาณ 3% แต่เราต้องการจะเพิ่มให้เป็น 10%”
“จากกระแสการลดใช้พลาสติกของลูกค้า เราพยายามทำให้ดีไซน์ของขวดแก้วดูพรีเมียมขึ้น ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ที่คู่แข่งหลักของเรายังไม่มี” พลตรี พัชร รัตตกุล กล่าว
[ โอกาสเติบโตของขวดแก้วคืนขวด ]
ซีอีโอบริษัทหาดทิพย์ เปิดเผยว่า ภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้องดูสัญญาณแล้วค่อนข้างบวก อาจจะเป็นอย่างช้าๆ
นอกจากนี้ อุปสงค์ต่างประเทศที่ปรับดีขึ้น ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย ในฐานะผู้นำตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในภาคใต้ บริษัทจะพยายามสร้างทุกช่องทางให้แข็งแกร่งที่สุด อย่างเช่น กลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร และคาเฟ่ (HoReCa) ซึ่งมีความเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ขวดแก้วคืนขวดรุ่นใหม่มาก
โดยตั้งเป้าอัตราการเติบโตของยอดขายที่ 5-7% และมีรายได้รวมที่ 8,700 ล้านบาท สำหรับปี 2567 บริษัทฯ สามารถรักษาการเติบโตไว้ได้ในอัตรา 4% ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 602 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4 ล้านบาท หรือประมาณ 0.6 % เมื่อเทียบกับปี 2566
พลตรี พัชร รัตตกุล มองว่า“ความยั่งยืน ไม่ใช่แฟชั่น แต่เป็นสิ่งที่เราต้องทำ”
“ในจังหวัดภาคใต้การเติบโตของน้ำอัดลมจะมากกว่าภาคอื่น ปีก่อนตลาดโต 10% เพราะเศรษฐกิจโดยทั่วไป การท่องเที่ยวดี แต่เมื่อเทียบกันแล้วยอดขายในร้านค้าทั่วไปของเราอาจจะโตน้อยกว่าที่คาด ต้องพูดว่าผู้บริโภคใช้จ่ายน้อยลง คิดเยอะขึ้น ในขณะเดียวกันพวกเขาก็มองว่าน้ำอัดลมเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ผู้คนประหยัดมากขึ้น นี่คือความท้าทายที่กระทบการเติบโต”
“บางทีไปทานก๋วยเตี๋ยวที่ร้าน ลูกค้าก็เลือกที่จะดื่มน้ำชาฟรี ประหยัดเงินอีกหน่อย และก็ไม่สต็อกน้ำอัดลมที่บ้านแล้ว”
จึงมองว่า การปรับกลยุทธ์ธุรกิจเล็กน้อยจากที่ปรับรสชาติเครื่องดื่ม, ปรับแพ็คเกจขวดพลาสติก, ฯลฯ ซึ่งโมเดลขวดแก้วคืนขวดซึ่งร้านค้าก็เซฟต้นทุนได้ ลูกค้าก็ซื้อในราคาที่ถูกลงได้ Win-Win ด้วยกันทั้งคู่ ก็น่าจะดีต่อการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวด้วย