ความฮาเป็นเรื่องส่วนบุคคล บางคนชอบมุกโบ๊ะบ๊ะ บางคนชอบมุกขยี้ มุกคำผวน มุกทะลึ่งตึงตังสิบแปดบวก ในขณะที่บางคนเบ้ปากกับทุกมุกที่เราว่ามา
คนไทยมีความตลกเป็นเอกลักษณ์ สังเกตจากวงการตลกที่เฟื่องฟูมาตั้งแต่ยุคคาเฟ่จนถึงรายการตลกหกฉาก ความฮาเองก็วิวัฒนาการมาหลายต่อหลายตลบเช่นกัน และเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป มุกเก่า ๆ ที่เคยขำกันท้องคัดท้องแข็งก็อาจจืดชืดไปเลยในสมัยนี้ นึกภาพมุกถั่วแระปากเหม็น (ล้อเลียนปัญหาสุขภาพ) มุกชายน้อยบ้านทรายทอง (ล้อเลียนคนพิการ) ไปจนถึงมุกเอาถาดฟาดหัวช้งเช้ง (ส่งเสริมความรุนแรง) ที่หากลองมานั่งไล่ดูกันอีกครั้งกับบริบทในปัจจุบัน ก็คงจะได้แต่ขำแหะ ๆ และมองตากันปริบ ๆ
การเล่นมุกเอาฮาในสมัยนี้ก็มีเรื่องต้องห้ามหลายอย่างเช่นกัน มุกที่เราคิดว่า แหม มันได้! คนอื่นเขาอาจไม่ขำด้วย หากเราไม่ใช่น้าค่อม ตลกขวัญใจคนไทยที่ต่อให้ด่าว่า "ไอ้ซัส!" สาวกก็ยังขำก๊าก เราขอให้ทุกคนเบรกความ "เอาฮา" ไว้บ้าง และเปลี่ยนมาพับกบ พบกบ (พับกับ) นั่นมันบทพ้ม!
พบกับมุกไม่ฮา ที่อาจพาชาวเน็ตทัวร์ลงกันเลยดีกว่า
มุกล้อเลียนสีผิวหรือรูปร่างหน้าตา
เราชินกับการทักทายกันด้วยคำพูดประเภท "อ้วนขึ้นเปล่า" "ดำนะ" "ตัวซีดจัง" วัฒนธรรมนี้ฝังรากลึกมานานและถึงเวลาที่ควรจากไปเสียที คำทักทายเหล่านี้เองที่เป็นรากฐานของมุกประเภท "ดำตับเป็ด" หรือ "หน้าซีดยังกะผี" ซึ่งเชื่อว่าทุกคนรู้ทั้งรู้ว่าคนฟังไม่ชอบแต่คนพูดขอเล่นเอาฮาไว้ก่อน แต่ปีนี้ 2020 แล้ว! เลี่ยงได้เลี่ยง และเปลี่ยนไปเล่นมุกที่มันครีเอทีฟกว่านี้จะดีกว่า
มุกล้อเลียนเพศสภาพ
เพศสภาพ ความเท่าเทียมและประเด็น LGBTQ+ เป็นปัญหาที่หลายฝ่ายต่อสู้กันอย่างยาวนาน เราอาจจะติดภาพหรือบทบาท "ตัวตลก" จากกลุ่มหลากหลายทางเพศมาจากสื่อโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ แต่ไม่ว่าเพศไหนก็ไม่ใช่ตัวตลกของใคร และการนำตัวตนของใครมาล้อเลียนย่อมไม่ใช่สิ่งที่ผู้เจริญแล้วควรทำ แน่นอนว่าคำกล่าวประเภท "ขุดทอง" "สายเหลือง" หรือ "เปลี่ยนทอมให้เป็นเธอ" ก็ไม่ตลกสักนิด
การพูดถึงรูปร่างหน้าตาหรือเพศยังเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ทั่วโลกหลีกเลี่ยง ล่าสุดสายการบิน Japan Airline ก็ยกเลิกการกล่าวทักทายผู้โดยสารด้วยคำระบุเพศ สำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนักก็หลีกเลี่ยงการใช้พาดหัวประเภท "สาวใหญ่" "สาวอวบ" "สาวสอง" เป็นคำเรียก เพื่อเป็นการให้เกียรติบุคคลในข่าวอีกด้วย
มุกเหยียดเชื้อชาติ
มุกเหยียดเชื้อชาติไม่ได้จำกัดแค่การกดขี่ผู้อื่นเพียงเพราะสีผิวต่างกัน แต่ยังหมายถึงการ "เหมารวม" อย่างเช่น เรียกเพื่อนเชื้อสายจีนว่าเจ๊x เรียกเพื่อนมุสลิมว่าอาบัx หรือล้อเลียนคนอื่นว่าลาx
กรณีล่าสุดคือประเด็นโควิด19 ที่โหมกระพือกระแสเหยียดเชื้อชาติให้เลวร้ายขึ้น โดยเฉพาะชาวเอเชียนที่ตกเป็นเป้าโจมตี ย่ำแย่ขนาดที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังเคยพูดตลกลอย ๆ ว่า "Kung Flu" สื่อถึงการรวมคำว่า "กังฟู" กับ Flu ที่แปลไข้หวัดเข้าด้วยกัน ซึ่งได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าคำพูดเหล่านี้ไม่ควรออกมาจากปากผู้นำประเทศได้
"ไม่แมนรึเปล่า"
หากเป็นชาวเน็ตตัวจริง คุณน่าจะเคยได้ยินเรื่อง "ปิตาธิปไตย" หรือแนวคิดชายเป็นใหญ่มาบ้าง แนวคิดดังกล่าวทำร้ายทุกคนในสังคมไม่ว่าจะหญิงหรือชาย การจำกัดความ "แมน" ให้ผู้ชายต้องแข็งแกร่งดุจหินผา ห้ามร้องไห้ ห้ามอ่อนแอ เป็นการผลิตซ้ำภาพจำนี้ ส่งผลให้ผู้ชายหลายคนต้องทุกข์ทนกับภาพลักษณ์ที่สังคมบังคับให้เป็น คุณผู้ชายลองถามตัวเองก็ได้ว่าเคยเครียดกับการต้องทำเป็น "เข้มแข็ง" ตลอดเวลาบ้างไหม?
มุกคุกคาม
บางคนมองว่าความ "เอาฮา" กับการคุกคามมีเส้นบาง ๆ กั้นอยู่ แต่สำหรับเราเส้นแบ่งนั้นไม่ได้บางสักนิดเดียว และไม่ว่าจะเป็นใครหรือเพศไหนก็อาจตกเป็นเหยื่อของการคุกคามได้ทั้งนั้น มุกคุกคามอาจ "มุกข่มขืน" หรือ Rape Joke ซึ่งก็มีเนื้อหาตามคำเรียกเป๊ะ คือการพูดถึงการข่มขืนในแง่ขำขัน และแม้กระทั่งการเรียกผู้อื่นว่า "ผัว" หรือ "เมีย" เองก็นับเป็นการคุกคามในแง่หนึ่งเช่นกัน
"อย่าเครียดสิ"
"ทำไมจริงจังอะ? " บางครั้งเราอาจรู้สึกว่าคนบางคนซีเรียสกับเรื่องบางเรื่องมากเกินไป แต่อย่าลืมว่าคนร้อยคนก็มีประสบการณ์ต่างกันเป็นร้อยอย่าง หากรู้สึกว่าเล่นมุกแล้วโดนโกรธ ก็ควรถามฝ่ายตรงข้ามถึงเหตุผล ไม่แน่ว่าคุณอาจได้เรียนรู้สิ่งใหม่เพิ่มเติมก็ได้
"ไม่หารนะ"
มุกนี้เอาไว้เล่นตอนไหนคงไม่ต้องขยายความ แต่ขอบอกว่าชาวเน็ตไม่ขำด้วยกับความอยุติธรรมประเภทนี้ หากเลี่ยงได้ ขอให้ตักเตือนกันอย่างเป็นเหตุเป็นผล ดีกว่าตัดบทด้วยมุก "ไม่หารนะ" หลายเท่านัก
เอาเป็นว่าถ้าพูดอะไรออกไปแล้วเราตลกอยู่ฝ่ายเดียว ก็ไม่น่าเรียกว่า "เล่นมุก" ได้แล้วล่ะมั้ง ว่าไหม?
-
อ้างอิง
