โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

วัคซีนป้องกันบาดทะยัก | โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

Bumrungrad International

อัพเดต 17 มิ.ย. เวลา 03.42 น. • เผยแพร่ 13 มี.ค. เวลา 06.28 น.

โรคบาดทะยักเป็นโรคที่ติดเชื้อในกลุ่มโรคทางประสาทและกล้ามเนื้อ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียClostridium tetani ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในสภาวะที่มีออกซิเจน เชื้อนี้จะผลิตสารพิษ (exotoxin) ที่มีพิษต่อเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้มีการหดเกร็งตัวอยู่ตลอดเวลา สปอร์ (spore) หรือสารพิษที่ถูกสร้างขึ้นทนทานต่อความร้อน สารเคมี และยาฆ่าเชื้อ ซึ่งเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะในรูปแบบของสปอร์พบได้ตามพื้นดิน รวมถึงยังพบได้ในลำไส้ของคนและสัตว์ ในสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนด้วยมูลสัตว์ เชื้อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์โดยผ่านทางบาดแผล โดยจะแบ่งตัวและขับสารพิษออกมา เชื้อเจริญได้ดีในแผลลึก อากาศเข้าได้ไม่ดี เช่น บาดแผลที่ถูกของแข็งทิ่มตำ แผลไฟไหม้ และที่สำคัญคือ เชื้อเข้าทางสายสะดือของทารกแรกเกิดที่ตัดด้วยอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด แต่โรคบาดทะยักไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้

อาการของโรคบาดทะยัก

หลังจากได้รับเชื้อ สปอร์ที่เข้าไปตามบาดแผลจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนและผลิตสารพิษกระจายจากแผลไปยังปลายประสาทที่แผ่กระจายอยู่ในกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดความผิดปกติในการควบคุมการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ระยะฟักตัวของโรค (ระยะเวลาจากที่เชื้อเข้าสู่ร่างกายจนเกิดอาการเริ่มแรก) ประมาณ 3-21 วัน (เฉลี่ย 8 วัน) อาการเริ่มแรกที่สังเกตพบคือ ขากรรไกรแข็ง อ้าปากไม่ได้ คอแข็ง หลังจากนี้ 1-2 วันจะเริ่มมีอาการเกร็งแข็งในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย อาการอื่นนอกจากนี้ ได้แก่ มีไข้ เหงื่อออก ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจเต้นเร็ว อาการเกร็งอาจคงอยู่ได้หลายนาทีและพบได้ต่อเนื่อง 3-4 สัปดาห์ และใช้เวลาหลายเดือนกว่าอาการจะหายสนิท การวินิจฉัยส่วนใหญ่อาศัยประวัติความเจ็บป่วยและอาการทางคลินิก

วิธีใช้วัคซีนป้องกันบาดทะยัก

อายุ

เข็มที่ 1

เข็มที่ 2

เข็มที่ 3

เข็มที่ 4

น้อยกว่า 7 ปี

2 เดือน (DTaP)

4 เดือน (DTaP)

6 เดือน (DTaP)

15-18 เดือน (DTaP)

มากกว่า7 ปี และผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีน

วันที่ต้องการฉีดหรือวันที่เกิดอุบัติเหตุ (TdaP)

หลังจากเข็มแรก 1 เดือน (Td)

หลังจากเข็มที่สอง
6-12 เดือน (Td)

ฉีดกระตุ้นที่อายุ
11-12 ปี (TdaP) หลังจากนั้น ฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี (Td)

DTaP = Diphtheria and tetanus toxoids with acellular pertussis vaccine
Tdap = Tetanus and diphtheria toxoids with acellular pertussis vaccine
Td = Tetanus and diphtheria toxoids

ควรทำอย่างไรหากไม่สามารถมาฉีดวัคซีนตามกำหนดนัด

หากผู้ป่วยไม่สามารถมารับการฉีดวัคซีนได้ตามเวลานัด โดยมาช้ากว่ากำหนด ผู้ป่วยสามารถฉีดวัคซีนเข็มต่อไปได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องให้วัคซีนเพิ่มหรือเริ่มฉีดเข็มแรกใหม่ หากฉีดวัคซีนครบ 3 เข็มไปแล้วมากกว่า 10 ปี สามารถฉีดเข็มกระตุ้นได้ทันทีโดยไม่ต้องเริ่มฉีดใหม่ทั้ง 3 เข็ม
ผลไม่พึงประสงค์จากวัคซีนป้องกันบาดทะยัก

อาการที่พบทั่วไปและไม่รุนแรง:

ไข้ต่ำ ปวดข้อ กล้ามเนื้อ คลื่นไส้ เหนื่อย อาการปวด คัน แดงบริเวณที่ฉีด ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดพาราเซตามอล หากอาการยังคงอยู่หรือเป็นมากขึ้นควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที

อาการแพ้ที่รุนแรงพบได้น้อยมาก:

ผื่น คัน บวมที่หน้า ลิ้น และคอ มีอาการเวียนศีรษะอย่างรุนแรง หายใจลำบาก มือเท้าอ่อนแรง การได้ยินผิดปกติ กลืนลำบาก กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชัก ดังนั้นควรพบแพทย์ทันที

**อย่างไรก็ตามอาการข้างต้นไม่ใช่อาการทั้งหมดของผลไม่พึงประสงค์จากวัคซีนป้องกันบาดทะยัก ดังนั้นหากพบอาการผิดปกติอื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุในเอกสารควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร**

ข้อควรระวัง

วัคซีนป้องกันบาดทะยักในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
ไม่มีข้อห้ามในการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร โดยมีการฉีดเพื่อป้องกันทารกที่คลอดติดเชื้อบาดทะยัก สามารถฉีดได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 27-36 ของการตั้งครรภ์ โดยฉีดวัคซีน 2 ครั้งห่างกัน 1 เดือน และครั้งที่สองควรต้องให้ก่อนคลอดเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ซึ่งจะทำให้ภูมิคุ้มกันผ่านไปยังทารกแรกเกิดในระดับที่สูงเพียงพอในการป้องกันโรคบาดทะยักได้ แต่เพื่อให้แน่ใจว่าระดับภูมิคุ้มกันอยู่ในระดับสูงและนานอย่างน้อย 5 ปี ปัจจุบันจึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนบาดทะยักเข็มที่ 3 ในระยะ 6 เดือนหลังเข็มที่ 2 ส่วนเข็มที่ 4 และเข็มที่ 5 ควรฉีดหลังจากเข็มที่ 3 เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี และ 2 ปี ตามลำดับ หรือฉีดเมื่อตั้งครรภ์ครั้งถัดไป เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถป้องกันได้ตลอดชีวิต

อันตรกิริยาระหว่างยา (ผลต่อยาอื่น)

วัคซีนป้องกันบาดทะยักสามารถใช้ร่วมกับวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันอื่นและให้ได้พร้อมกันกับการฉีดอิมมูโนโกลบูลินต้านพิษบาดทะยักโดยให้แยกเข็มและฉีดต่างบริเวณกัน ผู้ป่วยที่รักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกันอาจมีการตอบสนองของวัคซีนต่อภูมิคุ้มกันต่ำ

เอกสารอ้างอิง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...