โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ไข้หวัดนก H5N1 ในสหรัฐ สัญญาณเตือนภัยไทยเตรียมพร้อมรับมือ

The Bangkok Insight

อัพเดต 01 พ.ย. 2567 เวลา 03.10 น. • เผยแพร่ 01 พ.ย. 2567 เวลา 03.10 น. • The Bangkok Insight

ย้อนรอยวิกฤติ ไข้หวัดนก H5N1 2024 จะเป็นไข้หวัดใหญ่ระบาดครั้งใหม่เหมือน H1N1 ปี 2009 หรือไม่ สัญญาณเตือนภัยไทยเตรียมพร้อมรับมือ

เมื่อ 15 ปีที่แล้วมีการระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ H1N1 ที่มีต้นกำเนิดจากสุกร จึงถูกขนานนามว่าไข้หวัดหมู เกิดจากการผสมผสานของยีนจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ของมนุษย์ สุกร และนก โดยเชื่อว่าเกิดขึ้นในสุกรประมาณปี 2551 ก่อนแพร่สู่มนุษย์ในเม็กซิโกช่วงต้นปี 2552

ไข้หวัดนก H5N1

หลังจากนั้น ไวรัสได้แพร่กลับสู่ประชากรสุกรทั่วโลกผ่านการติดเชื้อจากมนุษย์ ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อในฟาร์มสุกรหลายประเทศ และมีการผสมพันธุ์กับไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์อื่นในสุกร ทำให้เกิดความหลากหลายทางพันธุกรรม เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังไวรัสในสุกรเพื่อป้องกันการเกิดสายพันธุ์ใหม่ที่อาจก่อให้เกิดการระบาดใหญ่ในอนาคต

เครื่องมือสำคัญของไวรัสไข้หวัดใหญ่คือสิ่งที่เรียกว่าการจัดเรียงใหม่ (reassortment) สารพันธุกรรมของไวรัสไข้หวัดใหญ่ประกอบด้วย RNA 8 ท่อน เมื่อไวรัสหลายตัวติดเชื้อในเซลล์เดียวกันและเพิ่มจำนวน พวกมันสามารถแลกเปลี่ยนท่อนจีโนมเหล่านี้ ทำให้เกิดการรวมตัวที่เป็นไปได้ 256 แบบ

การจัดเรียงใหม่นี้ สามารถสร้างไวรัสที่มีคุณลักษณะของไวรัสต้นกำเนิดทั้งสอง ซึ่งอาจทำให้มันแพร่กระจายได้ง่ายขึ้นและรุนแรงขึ้น กระบวนการนี้เชื่อว่าได้สร้างไข้หวัดหมู H1N1 ในปี 2552 จากการผสมระหว่างสายพันธุ์ไวรัสไข้หวัดหมูของสหรัฐ และยุโรป ทำให้เกิดการระบาดใหญ่ (ซึ่งโชคดีที่มีความรุนแรงน้อย)

อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกและหน่วยงานสาธารณสุขทั่วโลกพยายามลดการใช้คำว่า ไข้หวัดหมู เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการติดต่อของโรคและผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกร จึงนิยมเรียกว่า ไข้หวัดใหญ่ (สายพันธุ์ใหม่) 2009 หรือ H1N1 2009 แทน โดยเน้นย้ำว่าการแพร่เชื้อส่วนใหญ่เกิดจากการติดต่อระหว่างคนสู่คน ไม่ได้ติดต่อจากการรับประทานเนื้อสุกรที่ปรุงสุก

ไวรัสไข้หวัดใหญ่ H1N1 เริ่มปรากฏครั้งแรกในเม็กซิโกและสหรัฐ ในเดือนมีนาคมและเมษายน 2562 และแพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ประมาณการผู้ติดเชื้อทั่วโลก: 700 ล้านถึง 1.4 พันล้านคน ผู้เสียชีวิตทั่วโลก: ประมาณ 151,700 ถึง 575,400 คนในปีแรก องค์การอนามัยโลกประกาศสิ้นสุดการระบาดใหญ่ของ H1N1 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563

ห้องปฏิบัติการโรงพยาบาลรามาธิบดีในขณะนั้น ได้ตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างจากผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัดกว่า 1.2 หมื่นตัวอย่าง ด้วยเทคนิค PCR และการถอดรหัสพันธุกรรม ผลการตรวจพบว่า 80% ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ (H1N1)

ต่อมาห้องปฏิบัติการโรงพยาบาลรามาธิบดีได้พบเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่ดื้อต่อยาโอเซลทามิเวียร์ครั้งแรกในประเทศไทยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2552 โดย รศ.ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าหน่วยไวรัสวิทยาและจุลชีววิทยาโมเลกุล (ตำแหน่งในขณะนั้น) คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้รายงานต่อที่ประชุมว่าตรวจพบเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ดื้อต่อยาโอเซลทามิเวียร์ 1 ตัวอย่าง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

สถานการณ์การพบไข้หวัดนก H5N1 ในสหรัฐ ในสุกรเป็น สัญญาณเตือนภัย สำคัญที่เตือนให้ไทยต้องเพิ่มความระมัดระวังและเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงของการระบาดของไข้หวัดนกในอนาคต โดยอาศัยบทเรียนจากอดีตและการปรับปรุงมาตรการต่าง ๆ ให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

1. ความสำคัญของการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง การตรวจพบเชื้อดื้อยาในไทยเกิดจากการสุ่มตรวจตัวอย่างอย่างสม่ำเสมอ ไทยควรเพิ่มความเข้มข้นในการเฝ้าระวัง H5N1 ในฟาร์มสัตว์ปีกและสุกรทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง

2. การเตรียมพร้อมรับมือการดื้อยา ประสบการณ์จากไทยแสดงให้เห็นว่าการดื้อยาเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ ไทยควรทบทวนและปรับปรุงแผนรับมือการดื้อยา รวมถึงการวิจัยและพัฒนายาต้านไวรัสชนิดใหม่

3. การควบคุมการใช้ยาอย่างเหมาะสม พบการลักลอบขายยาโอเซลทามิเวียร์ทางออนไลน์ในไทย ไทยควรเข้มงวดมาตรการควบคุมการใช้ยาต้านไวรัสในปศุสัตว์และมนุษย์ เพื่อป้องกันการดื้อยาและการแพร่กระจายของเชื้อ

4. การประสานงานระหว่างหน่วยงาน ไทยควรทบทวนและเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านสาธารณสุข ปศุสัตว์ และการเกษตร เพื่อการรับมือที่มีประสิทธิภาพ

5. การเตรียมพร้อมระบบสาธารณสุข ไทยควรประเมินความพร้อมของระบบสาธารณสุขในการรับมือกับการระบาดของ H5N1 ในมนุษย์ และเตรียมแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน
6. การวิจัยและพัฒนา: ไทยควรสนับสนุนการวิจัยเกี่ยวกับ H5N1 อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการศึกษาการกลายพันธุ์และการแพร่กระจายของเชื้อในสัตว์และมนุษย์

7. การสื่อสารสาธารณะ ไทยควรเตรียมแผนการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน ลดความตื่นตระหนก และส่งเสริมการปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน

ข้อมูล-ภาพ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี Center for Medical Genomics

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...