โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ธุรกิจสมุนไพรไทย มูลค่าตลาดรวมปี 2566 แตะ 8.72 แสนล้านบาท

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 31 ส.ค. 2567 เวลา 05.51 น. • เผยแพร่ 31 ส.ค. 2567 เวลา 05.51 น.

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผย ธุรกิจสมุนไพรไทย 5 ปีเติบโตดีต่อเนื่อง มูลค่าตลาดรวมปี 2566 แตะ 8.72 แสนล้านบาท กำไรรวม 2.75 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายเล็ก 17,224 ราย หรือ 93.90%

วันที่ 31 สิงหาคม 2567 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ธุรกิจสมุนไพร ถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการรายย่อย/รายย่อมของไทยในการเข้าทำธุรกิจ เป็นการเปลี่ยนภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่ผู้เล่นในตลาดอุตสาหกรรม

โดยมูลค่าผลิตภัณฑ์สมุนไพรทั่วโลกปี 2022 มีมูลค่าสูงถึง 199.07 พันล้านเหรียญสหรัฐ (6,796,249,800,000 บาท) และคาดการณ์ว่าปี 2033 มูลค่าจะอยู่ที่ 417.99 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (14,270,178,600,000 บาท) (อ้างอิงจากอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 21 สิงหาคม 2567 ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 34.14 บาท)

โดยธุรกิจสมุนไพรเติบโตตามกระแสการรักสุขภาพของผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะหลังการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ตลาดสมุนไพรเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก รวมทั้งกระแสความนิยมในการบริโภค/อุปโภคผลิตภัณฑ์ ‘ออร์แกนิค’ ยิ่งตอกย้ำตลาดสมุนไพรให้ขยายวงกว้างและมีกลุ่มผู้บริโภคหลายหลากมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้น ยังมีผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับสัตว์และสมุนไพรในการกําจัดศัตรูพืชเกิดขึ้นอีกด้วย ดังนั้น จึงเป็น “โอกาส” ที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทยในการเข้าทำธุรกิจในช่วงเวลานี้เป็นอย่างมาก

ธุรกิจสมุนไพรของไทย แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเพาะปลูก กลุ่มผลิต/แปรรูป และกลุ่มขายปลีก/ขายส่ง จากข้อมูลในระบบ DBD DataWarehouse+ ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ‘ธุรกิจสมุนไพร’ ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562 – 2566) คือ ช่วงก่อน – ระหว่าง – หลัง การระบาดของโรคโควิด-19 มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีและมีทิศทางการประกอบธุรกิจที่เป็นบวก โดย

  • ปี 2562 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ 1,303 ราย ทุน 2,178.55 ล้านบาท
  • ปี 2563 จัดตั้ง 1,547 ราย (เพิ่มขึ้น 244 ราย หรือ 18.73%) ทุน 5,344.15 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 3,165.60 ล้านบาท หรือ 145.31%)
  • ปี 2564 จัดตั้ง 2,343 ราย (เพิ่มขึ้น 796 ราย หรือ 51.46%) ทุน 4,424.56 ล้านบาท (ลดลง 919.59 ล้านบาท หรือ 17.21%)
  • ปี 2565 จัดตั้ง 2,571 ราย (เพิ่มขึ้น 228 ราย หรือ 9.74%) ทุน 5,957.21 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1,532.65 ล้านบาท หรือ 34.64%)
  • ปี 2566 จัดตั้ง 2,534 ราย (ลดลง 37 ราย หรือ 1.44%) ทุน 5,855.62 ล้านบาท (ลดลง 101.59 ล้านบาท หรือ 1.71%)
  • ปี 2567 มกราคม – กรกฎาคม จัดตั้ง 1,452 ราย ทุน 3,128398 ล้านบาท

ขณะที่ ธุรกิจสมุนไพร ปี 2564 รายได้ 867,531.41 ล้านบาท กำไร 38,760.99 ล้านบาท ปี 2565 รายได้ 905,960.10 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 38,428.69 ล้านบาท หรือ 4.43%) กำไร 33,311.40 ล้านบาท (ลดลง 5,449.59 ล้านบาท หรือ 14.06%) และ ปี 2566 รายได้ 872,466.83 ล้านบาท (ลดลง 33,493.27 ล้านบาท หรือ 3.70%) กำไร 27,497.70 ล้านบาท (ลดลง 5,813.70 ล้านบาท หรือ 17.46%)

ถึงแม้ว่า ช่วงปี 2565-2566 ผลประกอบการจะลดลงเล็กน้อย แต่ในระยะยาวคาดว่าผลประกอบจะกลับมาเติบโตจากกระแสการนําสมุนไพรมารักษาโรคและเทรนด์รักสุขภาพ โดยการนําเอาสมุนไพรมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ

การลงทุนของชาวต่างชาติในธุรกิจสมุนไพรไทย มีมูลค่าทั้งสิ้น 38,707.25 ล้านบาท หรือ 26.23% ของการลงทุนทั้งธุรกิจสมุนไพร (ผู้ประกอบการไทยลงทุน 108,873.59 ล้านบาท หรือ 73.77%) โดยชาวต่างชาติที่ลงทุนสูงสุด 3 อันดับแรก คือ อเมริกัน 11,809.12 ล้านบาท (30.51%) ญี่ปุ่น 5,082.04 ล้านบาท (13.13%) สิงคโปร์ 3,274.73 ล้านบาท (8.46%) และ อื่นๆ 18,541.36 ล้านบาท (47.90%) ส่วนใหญ่เป็นการร่วมลงทุนระหว่างคนไทยกับชาวต่างชาติ ทั้งในกลุ่มเพาะปลูก กลุ่มผลิต/แปรรูป และกลุ่มขายปลีก/ขายส่ง เป็นต้น

ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2567) มีธุรกิจสมุนไพรมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่จำนวน 18,342 ราย ทุนรวม 147,580.84 ล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มเพาะปลูก 1,504 ราย (8.20%) ทุน 6,265.44 ล้านบาท (4.25%) กลุ่มผลิต/แปรรูป 1,778 ราย (9.70%) ทุน 16,523.04 ล้านบาท (11.20%) และ กลุ่มขายปลีก/ขายส่ง 15,060 ราย (82.10%) ทุน 124,792.36 ล้านบาท (84.56%)

แบ่งตามขนาดธุรกิจ ขนาดเล็ก (S) จำนวนทั้งสิ้น 17,224 ราย (93.90%) ทุน 67,854.75 ล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มเพาะปลูก 1,503 ราย กลุ่มผลิต/แปรรูป 1,728 ราย กลุ่มขายปลีก/ขายส่ง 13,993 ราย

ขนาดกลาง (M) จำนวนทั้งสิ้น 806 ราย (4.40%) แบ่งเป็น กลุ่มเพาะปลูก 1 ราย กลุ่มผลิต/แปรรูป 37 ราย กลุ่มขายปลีก/ขายส่ง 768 ราย

และ ขนาดใหญ่ (L) จำนวนทั้งสิ้น 312 ราย (1.70%) กลุ่มเพาะปลูก 0 ราย กลุ่มผลิต/แปรรูป 13 ราย กลุ่มขายปลีก/ขายส่ง 299 ราย

ส่วนใหญ่ประกอบธุรกิจในรูป บริษัทจำกัด 15,654 ราย ทุน 136,176.99 ล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 2,669 ราย ทุน 3,110.87 ล้านบาท และ บริษัทจำกัดมหาชน 19 ราย ทุน 8,292.98 ล้านบาท

ธุรกิจส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร 7,873 ราย (42.93%) รองลงมาคือ ภาคกลาง 4,077 ราย (22.23%) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,737 ราย (9.47%) ภาคเหนือ 1,644 ราย (8.97%) ภาคตะวันออก 1,285 ราย (7.00%) ภาคใต้ 1,311 ราย (7.14%) และ ภาคตะวันตก 415 ราย (2.26%)

ผู้ประกอบธุรกิจสมุนไพรไทยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

1.กลุ่มเพาะปลูก ถือเป็นกลุ่มต้นน้ำที่มีการผลิตวัตถุดิบ เพาะปลูกพืชพันธุ์ โดยกลุ่มธุรกิจนี้ส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของการทำเกษตรท้องถิ่น บางพื้นที่มีการรวมกลุ่มกันในรูปแบบของกลุ่มเกษตรกร โดยจุดแข็งของประเทศไทยคือมีลักษณะภูมิอากาศที่เหมาะสมทำให้พืชพันธุ์สมุนไพรสามารถเจริญเติบโตด้วยดี ความชํานาญในการเพาะปลูกมาจากประสบการณ์และสืบทอดส่งต่อกันรุ่นต่อรุ่น แต่ยังคงมีการใช้สารเคมีในการกําจัดและรักษาโรคและศัตรูพืช

หากต้องการอยู่ในตลาดที่สามารถแข่งขันได้ กลุ่มเพาะปลูกต้องปรับเปลี่ยนสู่วิถีเกษตรอินทรีย์ ซึ่งอาจต้องอาศัยหน่วยงานภาครัฐในการให้ความรู้ และส่งเสริมการทำเกษตรที่ปลอดภัยเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบ

2. กลุ่มผลิตและแปรรูป เป็นกลุ่มที่นําวัตถุดิบที่ได้จากการเพาะปลูกมาแปรรูปและบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งต่อไปยังผู้จําหน่าย ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบกลุ่มอุตสาหกรรมครอบครัว สูตรตํารับยาต่างๆ ยังคงเป็นการถ่ายทอดกันในครอบครัว ซึ่งยังสามารถพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพของสินค้า การเก็บรักษา ให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมได้ ด้วยการส่งเสริมนวัตกรรมใหม่จากภาครัฐและหน่วยงานองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพร รวมทั้งการออกแบบบรรจุภัณฑ์ การเก็บรักษา และการขนส่งสินค้า ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของกลุ่มผลิตและแปรรูป

3. กลุ่มขายปลีก/ขายส่ง เป็นกลุ่มที่ส่งตรงสินค้าที่ได้จากการผลิตสู่มือผู้บริโภค ทั้งรูปแบบการขายผ่าน หน้าร้าน การขายออนไลน์ เป็นกลุ่มที่จำเป็นต้องเน้นที่การตลาดและสร้างการรับรู้ให้ผู้ซื้อสินค้า เทคนิค และ ช่องทางที่ช่วยสร้างการรับรู้ และกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้าในที่สุด สำหรับกลุ่มขายปลีก/ขายส่ง จะให้ความสำคัญกับการตลาดเป็นหลัก และการขยายช่องทางการตลาดให้กว้างขวางเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลาย

โดยทั้ง 3 กลุ่มจำเป็นต้องอาศัยการตลาดที่ดีเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการตลาด และการเสริมสร้างองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อการบริหารจัดการธุรกิจ การหาพันธมิตรและสร้างเครือข่ายทางการค้า โดยต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจเข้ามาขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโตและเดินต่อไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการนําพากลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจนี้ไปยังตลาดทั้งในประเทศและตลาดโลก และสร้างการรับรู้สมุนไพรไทยแก่กลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลายมากขึ้น

การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทั่วโลกต้องเผชิญการหวาดกลัว ความเชื่อของผู้คนบางส่วนในการใช้วัคซีนและยาสังเคราะห์จะส่งผลต่อร่างกายในอนาคต ผู้คนจึงเริ่มมองหาตัวเลือกในการดูแล บําบัด บรรเทาอาการ และ การรักษาสุขภาพระยะยาว ‘สมุนไพร’ จึงเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ในการดูแลสุขภาพของหลายๆ คน เนื่องจากสมุนไพรเป็นวัตถุที่ได้จากธรรมชาติ พืชพันธุ์ อวัยวะ สัตว์ และแร่ธาตุ ส่งผลให้คนกลุ่มหนึ่งเชื่อมั่นในการนำมาใช้

จากข้อมูลพบว่า ก่อนโรคโควิด-19 ระบาด ตลาดเครื่องสําอาง อาหารเสริม และ ยาสมุนไพร เติบโตประมาณ 6 – 8% แต่ช่วงหลังโควิด-19 เติบโตถึง 12 – 14% ชี้ให้เห็นว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นความต้องการใช้สมุนไพร นอกจากนี้ เทรนด์การรักสุขภาพที่ขยายวงกว้างไปทั่วโลก ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย ไร้สารเคมี เป็นมิตรต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม จึงเป็นสิ่งที่ตลาดทั่วโลกต้องการเป็นอย่างมาก

นอกจากสมุนไพรแล้ว ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นด้วยขั้นตอนที่ปลอดสารพิษ หรือ ‘ออร์แกนิค’ ยิ่งทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นได้รับการยอมรับ และสามารถสร้างมูลค่าสินค้าได้สูงกว่าผลิตภัณฑ์ที่ผลิตด้วยขั้นตอนปกติ ‘สมุนไพร’ จึงมีการขยายกลุ่มผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นตามพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ‘ธุรกิจสมุนไพร’ จึงเป็น ‘โอกาส’ สำคัญที่ผู้ประกอบการรายเล็กควรรีบคว้าไว้

คณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบันมี รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) เป็นประธาน ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมภาพลักษณ์และการตลาดสมุนไพร ซึ่งมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน และกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นฝ่ายเลขานุการ โดยมีแผนปฏิบัติการที่มีเป้าหมายสร้างภาพลักษณ์และส่งเสริมการตลาดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สมุนไพร ตลอดจนขยายตลาดเชิงรุกทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้นำผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สมุนไพร จำนวน 20 ราย เข้าร่วมงานแสดงสินค้าอาหาร (THAIFEX-ANUGA ASIA 2024) ในช่วงกลางปี 2567 ที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิด THINK WELLNESS THINK THAI HERB สามารถเจรจาจับคู่ธุรกิจ 1,024 คู่ และสร้างมูลค่าการค้ารวมทั้งสิ้น 194.280 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีการเจรจามากที่สุด ได้แก่ ขิงแปรรูป ผักอบกรอบ น้ำนมงาดำ ไข่ผำ และดาวเรืองอบแห้ง ตามลำดับ

นอกจากนี้ ได้ดำเนินการเชื่อมโยงและสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ณ จังหวัดน่าน เมืองสมุนไพร ลำดับที่ 16 เป็นการพัฒนาทักษะด้านการประกอบธุรกิจให้กับผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สมุนไพร “Uplift Marketing Skills : ต่อยอดตลาด สร้างโอกาสเมืองสมุนไพร” พร้อมสร้างการรับรู้เผยแพร่เรื่องราวสมุนไพรในจังหวัดน่าน “กระซิบรัก ฮักสมุนไพร”เมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ณ ถนนคนเดินกาดข่วงเมืองน่าน จังหวัดน่าน

ตลาดของผลิตภัณฑ์สมุนไพรในประเทศไทยในปี 2566 มีมูลค่าสูงถึง 56.94 พันล้านบาท สำหรับมูลค่าการส่งออกปี 2566 พืชสมุนไพร มีมูลค่า 483.73 ล้านบาท และสารสกัดสมุนไพร มีมูลค่า 382.16 ล้านบาท

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ธุรกิจสมุนไพรไทย มูลค่าตลาดรวมปี 2566 แตะ 8.72 แสนล้านบาท

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...