โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ผู้แทนการค้าเร่งบุกตลาดจีน ปลดล็อกส่งโคเนื้อ 1.5 ล้านตัว

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 18 ม.ค. เวลา 05.18 น. • เผยแพร่ 19 ม.ค. เวลา 01.02 น.

เปิดแผนส่งออกโคเนื้อไทยไปจีน 1.5 ล้านตัว แก้ปัญหาราคาเนื้อในประเทศตกต่ำ ผู้แทนการค้าไทยเผยได้สัญญาณบวกอาจอนุมัติรับซื้อ เป็นของขวัญครบรอบ 50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน พร้อมทุ่ม 1.2 พันล้านบาท อัพสกิลเกษตรกรในประเทศ เพิ่มคุณภาพผลผลิต วางแผนส่งออกทุเรียน 10 ล้านตันภายใน 10 ปี ชงแผนตั้ง “บอร์ดทุเรียน” บริหารจัดการทั้งระบบ

จีนรับซื้อวัวไทย

นายชัย วัชรงค์ ผู้แทนการค้าไทย ให้สัมภาษณ์ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ไทยกำลังผลักดันส่งออกโคเนื้อไทย เนื่องจากเกษตรกรขอให้ช่วยแก้ปัญหาโคเนื้อราคาตกต่ำ เพราะก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 เราส่งไปจีน มาเลเซีย เวียดนาม ปีละ 4-5 แสนตัว สร้างมูลค่าเศรษฐกิจ 2-3 หมื่นล้านบาท

แต่วันนี้ส่งออกไม่ถึงแสนตัวต่อปี ทำให้โคล้นตลาด หรือหากจะส่งไปจีนต้องผ่าน สปป.ลาว เมียนมา เพราะไทยไม่มีชายแดนติดจีน จึงไม่ได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งไม่คุ้มค่า

การเจรจาส่งออกโคเนื้อไปจีน ที่ผ่านมาได้ประสานผ่านเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน ซึ่งอยู่ในประเทศไทย โดยแสดงความพร้อมของมาตรการคุมเข้มป้องกันโรคปากเท้าเปื่อย และมาตรฐานอื่น ๆ ผู้ประสานงานได้นำมาตรการต่าง ๆ ไปเจรจากับทางรัฐบาลกลางของจีนแล้ว

ล่าสุดทราบว่า ขณะนี้จีนมีท่าทีอ่อนลง พร้อมกับได้รับสัญญาณบวก ความเป็นไปได้อาจจะมีการผ่อนผันให้ไทยส่งโคเนื้อไปจีนเป็นกรณีพิเศษ

“ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงจีนส่งสัญญาณบวกมาว่า เนื่องจากปี 2568 เป็นช่วงครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์การทูตระหว่างไทย กับสาธารณรัฐประชาชนจีน จีนอาจจะอนุมัติเปิดรับซื้อโคและเนื้อวัวจากไทย เพื่อเป็นอีกของขวัญพิเศษโอกาสครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี เพื่อรองรับการบริโภคเนื้อวัวในจีนที่ขณะนี้ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากปกติจีนนำเข้าเนื้อวัวต่างประเทศราว 3 ล้านตันต่อปี นอกเหนือการผลิตในประเทศ”

ชงส่งจีน 1.5 ล้านตัว

นายชัยกล่าวอีกว่า ยังได้เสนอผ่านเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน ช่วงที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนจีน วันที่ 5-7 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ อาจจะมีการลงนามเอ็มโอยูให้ไทยเริ่มส่งเนื้อวัวไปจีน เบื้องต้นอาจกำหนดจำนวนในระดับหนึ่ง

ขณะที่ตนเสนอตัวเลขไป 7.5 แสนตัว-1.5 ล้านตัวต่อปี ในช่วงทดลอง ส่วนจะได้เท่าไหร่ต้องรอการพิจารณาอีกครั้ง เชื่อว่าหากไทยได้ลงนามเอ็มโอยูส่งออกโคเนื้อกับจีน จะทำให้ราคาตลาดวัวในไทยปรับสูงขึ้น เบื้องต้นคาดว่าขึ้น 5-10 บาทต่อกิโลกรัมทันที และน่าจะทำให้เกษตรกรพอใจ

ขณะเดียวกัน หน่วยงานระดับปฏิบัติการไทย ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ต้องรับลูกเพื่อให้โครงการนี้เดินไปได้ ซึ่งตนแจ้งผ่าน นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ไปยัง 2 กระทรวงแล้ว เหลือเพียงการตอบรับเพื่อสานต่อโครงการดังกล่าว

ขณะที่การควบคุมมาตรฐานส่งออกโคเนื้อนั้น ต้องพัฒนาสถานกักกันโรคในประเทศให้เพียงพอรองรับความต้องการตลาดโค จากการพูดคุยกับ นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ เห็นพ้องขยายสถานที่กักกันโรคบริเวณชายแดนให้เพิ่มขึ้น ประกอบกับปูพรมทำวัคซีนป้องกันโรคปากเท้าเปื่อยในสัตว์ให้ 100%

นอกจากนี้ จากพูดคุยกับกระทรวงพาณิชย์ ขอให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หยิบยกประเด็นส่งออกโคเนื้อไทย นำเข้าสู่วงพูดคุยเจรจาการค้ากับจีนทุกครั้ง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ก็ตอบสนอง และจากการติดตามภารกิจ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ทุกครั้งเมื่อพบจีนมักหยิบยกมาหารือ สอดคล้องกับนายกฯ ครั้งก่อนไปจีนก็นำประเด็นนี้มาพูด จึงเชื่อว่าเมื่อทุกฝ่ายเดินเรื่องนี้จะมีสัญญาณที่ดี

ใช้ 1.2 พันล้าน อัพสกิลพ่อค้า

ส่วนแผนการพัฒนาผู้ส่งออกโคเนื้อในประเทศนั้น นายชัยมองว่าที่ผ่านมา คนทำธุรกิจมีแต่หน้าเก่า ๆ เป็นพ่อค้าท้องถิ่น อาทิ กำนัน ชาวบ้านทั่วไป ซึ่งขาดความเข้าใจในกลไกการค้าระหว่างประเทศ ทั้งยังเงินทุนน้อย ขณะที่ทางนโยบายของเพื่อไทยต้องการใช้การตลาดนำ จึงต้องส่งเสริมให้พ่อค้าการส่งออกเข้มแข็ง มีความเป็นอินเตอร์สื่อสารภาษาต่างประเทศได้ ทั้งรู้กติกาการค้าสากล

อย่างไรก็ตาม การพัฒนากลุ่มนี้ต้องใช้เวลา และเงินทุนที่เตรียมตั้งไว้ประมาณ 1,200 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาและกระตุ้นการลงทุนในธุรกิจโคเนื้อ โดยตนจะนำเรียนนายกฯ เพื่อความเห็นชอบในหลักการและมอบหมายให้มีการประสานงานกับกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

“แผนการตลาดนี้จะเป็นจุดเริ่มต้น ทำให้ราคาวัวสูงขึ้น และส่งผลให้ทิศทางการเพาะเลี้ยงวัวไทยมีโอกาสยกระดับ ทำให้เนื้อมีคุณภาพมากขึ้น เพราะรัฐบาลไม่ต้องการให้มีวัวโครง วัวแก่ ๆ ที่ซื้อมาในราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งยังใช้สารเร่งเนื้อแดง รัฐบาลมีเป้าหมายในการแก้จุดบอดจุดอ่อนของวงการวัวเนื้อ พร้อมส่งเสริมให้เกิดการเพาะเลี้ยงโคระดับพรีเมี่ยม ผู้บริโภคสามารถมั่นใจในการบริโภคได้”

ชงตั้งบอร์ดทุเรียน

นายชัยกล่าวเสริมว่า ขณะเดียวกันสถานการณ์ส่งออกทุเรียนไทย ตลาดใหญ่อันดับหนึ่งการรับซื้อยังเป็นจีน ปี 2566 จีนนำเข้าทุเรียนต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านตัน โดยไทยเป็นอันดับหนึ่ง 9.5 แสนตัน รองลงมาเวียดนาม 5.5 แสนตัน นอกจากนั้นเล็ก ๆ น้อย ๆ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์

โดยประเทศจีนมีประชากรกว่า 1,500 ล้านคน แต่ค่าเฉลี่ยหนึ่งคนบริโภคทุเรียนเพียง 1 กิโลกรัมต่อปี ซึ่งไม่มากเลยหากเทียบกับมาเลเซีย 1 คน บริโภคทุเรียน 11 กิโลกรัมต่อปี ส่วนคนไทยบริโภคทุเรียน 7.3 กิโลกรัมต่อปี ฉะนั้นตลาดทุเรียนในจีนยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก

แต่ปัญหาคือไม่มีสินค้าเพียงพอ ซึ่งคาดว่าอีก 10 ปี จีนอาจจะนำเข้าทุเรียนมากถึง 15 ล้านตันต่อปี เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ในฐานะผู้แทนการค้าไทยจึงต้องตั้งเป้าและผลักดันแผนการส่งออกทุเรียนไทยไปจีนให้ได้ถึง 10 ล้านตัน ภายในระยะเวลา 10 ปี

สำหรับการพัฒนาทุเรียนไทย ต้องแก้ปัญหาและควบคุมมาตรฐานตั้งแต่กระบวนการผลิต บริหารจัดการพื้นที่ปลูกให้ได้มาตรฐานเพียงพอ การขนส่งต้องพร้อม เพราะการคุมมาตรฐานทุเรียน หัวใจคือการส่งออก รวมถึงทำการตลาดแบบใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่า

ผู้แทนการค้าไทยเสนอแนวคิดว่า การบริหารจัดการตลาดทุเรียนในไทยทั้งระบบ นายกรัฐมนตรีควรจะพิจารณาตั้งคณะกรรมการขึ้นมา รูปแบบบอร์ดทุเรียน เพื่อเป็นเจ้าภาพในการบริหารจัดการอย่างครบวงจร ตั้งแต่การผลิต พัฒนาคุณภาพพันธุ์ ส่งเสริมการลงทุน และการส่งออก เพื่อทำให้ทุเรียนไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพและมีทิศทางที่มั่นคง

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ผู้แทนการค้าเร่งบุกตลาดจีน ปลดล็อกส่งโคเนื้อ 1.5 ล้านตัว

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...