พ่อแม่เฝ้ารอเพียงลูกกลับไปหาอนิจจาลูกหวังไว้เพียงว่ารอลูกรวยก่อนนะจะกลับไป วันคืนพ้นผ่านมิอาจหวนคืนพ่อแม่ล้มนอนลงพื้น..ลูกกลับไปเพียงยืน..จุดธูป..แล้วบวชหน้าไฟ
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไป สังคมที่ต้องผลักดันให้ผู้คนดิ้นรน ท่ามกลางประเทศที่กำลังพัฒนา ผลักดันให้ใครหลายๆคนต้องออกมาดิ้นรนในเมืองใหญ่ อดทนดิ้นรนหาเงิน ส่งไปให้คนทางบ้าน หวังไว้ว่าสักวันหนึ่งจะร่ำรวยเงินทอง กลับไปใช้ชีวิตกับพ่อแม่ กลับไปใช้ชีวิตในแบบที่เคยเติบโตมา
เวลาล่วงเลยผ่านไปจากเดือน เป็นปี จากปี ไปเป็นห้าปี จากห้าปี ไปสิบปี จนเราเคยชินแล้วชีวิตเร่งรีบในเมืองใหญ่ เราชินแล้วกับการหาเงินส่งไปให้ที่บ้าน เราชินแล้วในการโทรหาพ่อแม่เพียงครั้งคราว
ถ้อยคำที่พูดมีเพียงแค่ โอนเงินให้แล้วนะ ไว้สิ้นปีจะกลับไปหา ไว้หยุดยาวสงกรานต์จะกลับไปหา รอลูกรวยก่อนนะจะกลับไปอยู่ด้วย เราพูดกับท่านด้วยถ้อยคำเหล่านี้ซ้ำๆ จนเราเองนับไม่ได้ว่าเคยพูดไปเท่าไหร่
เพราะความจน เพราะต้นทุนของชีวิตแต่ละคนไม่เท่ากัน เพราะภาวะทางเศรษฐกิจ จึงทำให้เราต้องปากกัดตีนถีบตัวเอง เพื่อจะได้อยู่รอดในสังคมของการแข่งขัน จนเราลืมไปว่า สี่มือที่คอยผลัก คอยประคองไม่ให้เราล้ม ยังคงรอคอยเรากลับไปหา รอให้เรากลับไปนั่งกินข้าวล้อมวงบนเสื่อ กับข้าวมื้อนั้นที่กินร่วมกันทั้งครอบครัว ต่อให้เป็นเพียงแค่น้ำพริก..ผักนึ่ง ที่เราเคยเกลียด แต่ในมื้อนั้นกลับเป็นมื้อที่ดีที่สุด อร่อยที่สุด
การรอคอยลูกกลับบ้าน คงเป็นการรอคอยที่นานที่สุด เพราะพ่อแม่ไม่มีวันรับรู้ได้เลยว่าลูกจะอยากกลับมาในวันไหน คงมีเพียงแค่ประโยคเดียวที่คอยบอกลูกไว้ สู้สู้..นะลูก.ไม่ไหวก็กลับบ้านเรานะ
ชีวิตคนเรามันบอบบาง เราไม่มีวันที่จะรู้ได้เลยว่าคนที่เรารักจะจากเราไปวันไหน อย่ามัวแต่บอกตัวเองว่าพรุ่งนี้ก่อนนะ เพราะบางทีพรุ่งนี้สำหรับบางคนอาจจะไม่มี
กับข้าวที่พ่อแม่ชอบวางไว้หน้าโลง ท่านก็คงได้กินในภพหน้า อ้อมกอดของลูกที่ท่านถวิลหา กอดเพียงร่างไร้ชีวา..ที่ไร้วิญญาณ