“บุฟเฟ่ต์อาหารหรูเลี้ยงพระ” บททดสอบ“ศรัทธา” พระตามใจปากหรือกินตามใจโยม
จากกรณี ‘บุฟเฟ่ต์อาหารหรูเลี้ยงพระ’ ของวัดใหญ่แห่งหนึ่ง ที่กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนในสังคม ซึ่งความคิดเห็นได้แตกออกเป็นฝ่ายสนับสนุน และฝ่ายโจมตีอย่างชัดเจน ซึ่งท้ายที่สุดก็ยังไม่ได้ผลสรุปที่ชัดเจนแต่ประการใด แต่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลกระทบที่น่าสนใจและควรยกมาเป็นกรณีศึกษาในการ ‘วิพากษ์’ ประเด็นที่ละเอียดอ่อนโดยเฉพาะเรื่องศาสนาที่มากกว่าผิดหรือถูกอยู่ หลายหัวข้อด้วยกัน
อธิบายคร่าว ๆ สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามเรื่องนี้ คือกรณีดังกล่าว เป็นภาพที่เกิดขึ้นใน"โครงการธรรมยาตรา เส้นทางพระผู้ปราบมาร" ปีที่ 7 มีพระภิกษุธรรมยาตรา 1,135 รูป ในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 2-31 ม.ค. ซึ่งมีลักษณะการต่อแถวตักอาหารของพระสงฆ์จำนวนมากที่มีลักษณะการให้บริการแบบ ‘บุฟเฟ่ต์’ ที่หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าทำได้จริงหรือเปล่า
คำว่า ‘บุฟเฟ่ต์’ ในกรณีนี้อาจไม่ได้หมายถึงการ ‘เลือก’ กินเท่าไหร่ก็ได้ ‘ไม่จำกัด’ แต่น่าจะเป็นความพยายามใน ‘การจัดการ’ พิธีเลี้ยงอาหารที่มีพระภิกษุสงฆ์เข้าร่วมมากกว่า 1,000 รูป เพราะหากปล่อยให้มีลักษณะการถวายอาหารทีละรูปตามปกติ กว่าทุกรูปจะได้รับอาหารครบจำนวน อาจเลยเวลาฉันเพลไปแล้วก็ได้ แม้กระทั่งวัดป่าสายปฏิบัติหลายวัดก็เลือกใช้วิธีนี้เพื่อง่ายต่อการจัดการด้วยเช่นกัน
และข้อดีอีกอย่างคือ การให้พระสงฆ์ตักอาหารได้เองนั้นสะดวกต่อการคำนวนคำอาหารในจำนวนที่เหมาะสม เพื่อแก้ปัญหาอาหารเหลือทิ้งที่เกิดจากการที่ญาติโยมประเคนถวายอาหารมากเกินไป และพระสงฆ์ไม่สามารถปฏิเสธได้ ส่วนอาหารที่เหลือนั้นก็สามารถจัดการต่อได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
เพราะฉะนั้นหากมองด้วยใจเป็นกลาง น่าจะพอมองเห็นว่าการมุ่งโจมตีที่เรื่องการตักอาหารเพียงอย่างเดียว ไม่น่าก่อให้เกิดการถกเถียงด้วยปัญหาเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ยกเว้นเพียงความสะใจที่ได้โจมตีองค์กรที่ไม่ถูกใจเพียงเท่านั้น
แต่ประเด็นตัว ‘อาหาร’ ที่จัดเตรียมไว้เป็นจำนวนมากอย่าง ซูชิ, ซาชิมิแซลมอน, สเต็กแซลมอน, สลัดธัญพืช, หม่าล่า, ปลากระพงนิ่งมะนาว, หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์นึ่ง, กุ้งอบเกลือ, ไข่ลวก, หมึกย่าง, รังนก, พะโล้คากิ, ปูจ๋า ฯลฯ ต่างหากที่ควรนำมาพูดถึงมากกว่า หากต้องการวิพากษ์วิจารณ์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างแท้จริง
อย่างแรกคืออาหารอย่างปลาและเนื้อดิบ ที่มีการบัญญัติไว้ว่าผิดพระวินัยอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นต้นเหตุของปัญหาจริง ๆ คือลูกศิษย์ลูกหาที่หวังอยากให้พระสงฆ์ได้ฉันอาหารดี ๆ โดยลืมคำนึงไปว่านั่นจะส่งเสริมให้พระสงฆ์ทำผิดพระวินัยไปด้วยหรือเปล่า
ถ้ามีพระสงฆ์บางรูปที่รู้อยู่แล้วว่าผิดแต่ก็ยังเลือกอาหารเหล่านั้นไปฉัน ค่อยขยับไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์เป็นรายบุคคลต่อไป จะเห็นว่าการให้พระสงฆ์ตักอาหารได้เอง จะช่วยลดปัญหานี้ไปได้ในระดับหนึ่งทีเดียว
ส่วนประเด็นที่น่าพูดถึงมากที่สุด คืออาหารหลายรายการที่เข้าข่าย ‘อาหารหรู’ ที่คนธรรมดาหลายคนอาจะไม่มีโอกาสหามากินได้ด้วยซ้ำ เพราะถ้ามองกันจริง ๆ กรณีนี้น่าจะสร้างปัญหาให้กับพระภิกษุได้มากกว่าอาหารดิบที่ผิดพระนิวัยโดยตรงด้วยซ้ำ
เพราะแนวคิดหลักที่ทุกคนยอมรับกันเป็นมาตฐาน ว่าพระสงฆ์คือผู้ที่ขัดเกลาตนเพื่อให้พ้นจากการยึดติดจากชื่อเสียง ลาภยศ ความสะดวกสบายมากที่สุด แต่จะให้ทำอย่างไร เมื่ออาหารที่วางอยู่ตรงหน้า เต็มไปด้วยอาหารเลิศรสแสนเย้ายวนชวนให้เกิดกิเลส ที่หากได้ลองเพียงครั้งหนึ่ง อาจทำให้รสสัมผัสที่ได้รับ ไปกระตุ้นต่อม ‘ความอยาก’ ที่เป็นธรรมชาติของ ‘มนุษย์’ ชวนให้นึกถึงขึ้นมาอยู่บ่อย ๆ
อาศัยแค่วัตรปฏิบัติอันเคร่งครัดที่ต้องต่อสู้กับ ‘กิเลส’ ต่าง ๆ ก็ยากพออยู่แล้ว แต่คราวนี้ยังมีตัวเร่งปฏิกิริยาความยึดติดจากลูกศิษย์ลูกหา ที่ปาวารณาตัวเป็นผู้สนับสนุนศาสนาตัวยงเพิ่มเข้าอีก เลยยิ่งกลายเป็น ‘บททดสอบ’ อันหนักหนาที่ลูกศิษย์ลูกหานำมาสู่พระสงฆ์ที่เคารพด้วยตัวเอง
บอกก่อนว่าผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาต่อว่าความปรารถนาดีที่คิดว่าอยากให้พระสงฆ์ได้ฉันอาหารที่ดีที่สุด หากแต่บางครั้ง เราอาจต้องมาทวนตัวเองกันอีกสักครั้งว่า ‘ความหวังดี’ ของเราจะกลายเป็น ‘ความประสงค์ร้าย’ ที่อาจเป็นหนึ่งในชนวนเล็ก ๆ ในการทำลายศาสนา (อย่างน้อยก็ทำให้คนหันมาวิพากษ์วิจารณ์และรู้สึกแย่กับพระสงฆ์มากขึ้น) ขึ้นมาก็ได้
อ้างอิง
ความเห็น 74
chaiyasit
โยมต้องพิจารณาด้วยว่าอะไรเหมาะสมเป็นสัปปายะกับพระ ไม่ก่อให้เกิดอาพาธต่อพระ เช่นแสลงกับพระที่เป็นเบาหวาน ความดัน ไขมัน หรือฉันแล้วเสี่ยงผิดวินัย เช่นเนื้อดิบ โยมจะทำลายศรัทธาของสังคม โดยไม่รู้ตัว ควรศึกษาพระวินัยกันบ้าง ไม่ใช่อยากกินอะไรก็จะถวายอย่างนั้น
27 ม.ค. 2562 เวลา 10.02 น.
Amporn Rhyner
วัตถุประสงค์ในการเสนอข่าว แต่ละเรื่องควรจะศึกษาให้ละเอียด เสียก่อน นักข่าวที่ดีควรหาข้อมูลและเป็นกลาง ไม่ควรเสนอข่าวที่ทำให้ผู้บริโภคข่าวเข้าใจผิดเพิ้ยนเกิดความสับสนและแตกแยก ควรเสนอข่าวแบบเชิง positive บ้างเพื่อความเจริญในด้านจิตใจคนในสังคมที่วุ่นวายอยู่ในขณะนี้
26 ม.ค. 2562 เวลา 10.41 น.
พี่กุ้ง
คิดในทางที่เป็นกุศลกันบ้างครับ คิดให้มากกว่าทางอกุศล
เพราะเราเคยชินกับการว่าร้ายคนอื่นจนเคยตัว จนกลายนิสัยติดตัวเห็นอะรั้ยนิดเดียวยังไม่พิจราณาให้ดีเสียก่อนก้อว่าเค้าไม่ดีแระ เฮ้อ เวรกรรมๆ
24 ม.ค. 2562 เวลา 08.51 น.
jibjib
อคติ 4..เพราะรัก เกลียด กลัว โง่...มีในทุกคน ชาวพุทธทั้งหลาย หันมาเพ่งโทษตนเอง และพัฒนาตนตามคำสอนของพระพุทธองค์..ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา..เพื่อประโยชน์ตน(ชีวิตมีความสุข)และประโยชน์ท่าน(เกิดการแบ่งปัน ไม่ทำร้าย กัน)
23 ม.ค. 2562 เวลา 00.15 น.
Preecha Rawi'
แพะเทวดา เสพได้ทุกอย่าง ไม่ต้องสำรวม
22 ม.ค. 2562 เวลา 23.05 น.
ดูทั้งหมด