แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ คือหลานชายของควีนวิกตอเรียจริงหรือไม่? - เพจพื้นที่ให้เล่า
ในบรรดาคดีที่ปิดไม่ได้ของเกาะอังกฤษ ไม่มีคดีไหนสะเทือนขวัญ น่าจดจำ และถูกตั้งคำถามมากมายไปกว่าคดีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ฆาตกรใจโหดเป็นใคร มาจาไหน ลงมือก่อเหตุเพื่ออะไร และหลบหนีการจับกุมไปได้วิธีไหน ประเด็นเหล่านี้ถูกนำมาผลิตซ้ำผ่านสื่อมากมายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คดีสะเทือนขวัญเกิดขึ้นร่วมร้อยกว่าปีก่อน ย้อนไปในสมัยที่อังกฤษกำลังเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในยุควิกตอเรีย ลอนดอนเป็นเมืองหลวงที่มีความสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดดสร้างแรงจูงใจให้แรงงานจำนวนมากเดินทางมาเสี่ยงโชคในเมืองใหญ่ แม้ลอนดอนจะเฟื่องฟูไปด้วยเครื่องจักรและเทคโนโลยี แต่อัตราความแออัดและเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นก็ผลักดันให้เมืองหลวงแห่งอังกฤษกลายเป็นเมืองมีคดีอาชญากรรมสูงมาก
แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ปรากฎตัวขึ้นในบรรยากาศมัวหมองของลอนดอน เขาเลือกเหยื่อเป็นหญิงสาวที่ทำงานค้าบริการตามถนน ฆ่าพวกเธออย่างโหดร้ายด้วยมีดแหลม เชื่อกันว่าแจ๊คเดอะริปเปอร์ได้ลงมือฆ่าโสเภณีอย่างน้อย 5 ราย เกือบทุกรายถูกชำแหละร่าง ผ่าท้อง ควักเอาอวัยวะออกมาด้านนอก การกระทำอุกอาจบ้าคลั่งของแจ๊คนำไปสู่ความหวาดกลัวของประชาชนทั่วไป ตำรวจอังกฤษทำการสอบสวนผู้เกี่ยวข้องนับพันราย พวกเขาขังผู้ต้องสงสัยจำนวนมาก และแม้จะระดมกำลังมากมายเพื่อตรวจตรา สุดท้ายฆาตกรก็ยังหลุดรอดการจับกุม
คดีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ และความจริงที่ว่าตำรวจลอนดอนไม่สามารถจับคนร้ายได้ นำไปสู่ข้อสงสัยว่าแจ๊คอาจเป็นชายการศึกษาสูงที่มีเส้นสายทางสังคม หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าการใช้มีดของคนร้ายอยู่ในระดับมืออาชีพ ผู้ก่อเหตุอาจเป็นแพทย์หรือผู้ประกอบอาชีพในกองทัพที่มีความรู้เกี่ยวกับการใช้ของมีคมเพื่อชำแหละร่างมนุษย์เป็นอย่างดี การที่เขาสามารถหลบหนีการจับกุมได้ทุกครั้ง หมายความว่าเขาเป็นบุคคลสำคัญที่ไม่อาจแตะต้องได้หรือไม่?
หนึ่งในบรรดาผู้ต้องสงสัย คือชายที่อยู่สูงสุดในพีระมิดแห่งอำนาจ - เจ้าชายอัลเบิร์ต วิกเตอร์ หลานชายคนโตของควีนวิกตอเรีย และรัชทายาทลำดับสามของราชวงศ์อังกฤษ
แนวคิดที่ว่าเจ้าขายอัลเบิร์ตอาจเป็นคนร้ายถูกเสนอในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 โดย Dr. Thomas Stowell คุณหมอชาวอังกฤษที่ได้ออกมากล่าวเพียงไม่กี่วันก่อนจะเสียชีวิตว่าตัวเขานั้นมีหลักฐานบางอย่างที่ระบุได้ว่าเจ้าชายน่าจะเป็นฆาตกรชื่อดังนามแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ Stowell เสียชีวิตในเดือนเดียวกันหลังออกมาให้ข่าว ลูกชายของเผาทำลายเอกสารจำนวนมากโดยกล่าวว่า “ผมได้ตรวจดูเอกสารทั้งหมดของพ่อแล้ว ไม่เห็นว่าจะมีสาระสำคัญอะไร” ว่ากันว่าบันทึกหรือเอกสารที่ Stowell กล่าวถึงอาจเป็นบันทึกของ Sir William Gull หมอประจำตัวของเจ้าชาย โดยกล่าวถึงอาการของพระองค์ในช่วงท้ายของชีวิต
เจ้าชายอัลเบิร์ตสิ้นพระชนม์ในวัยเพียง 28 พรรษา ทรงป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ซึ่งกำลังแพร่ระบาดอยู่ในช่วงนั้น มีข่าวลือว่าพระองค์ป่วยเป็นโรคซิฟิลิสระหว่างทรงเดินทางไปอินเดียตะวันตก อาการป่วยของพระองค์ทำให้ทรงเป็นบ้าจนออกไปฆ่าหญิงไร้ทางสู้ตามถนน ว่ากันว่าทรงทำเพื่อแก้แค้นโสเภณีที่นำโรคร้ายรักษาไม่หายมาติดพระองค์ แนวคิดที่สองกล่าวว่าเจ้าชายนั้นไม่ได้ลงมือด้วยตัวเอง แต่เป็นการก่อเหตุโดยสมาชิกราชวงศ์ เจ้าชายอัลเบิร์ตเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ ทรงมีคนรักมากมายทั้งชายหญิง (กล่าวกันว่าทรงนิยมทั้งสองเพศ) พระองค์ตกหลุมรักกับสามัญชนและเข้าพิธีสมรสอย่างลับๆ กระทั่งมีทายาทด้วยกัน เจ้าชายไม่ยอมเลิกรากับหญิงสาว ต้องการตั้งเด็กที่เกิดมาให้เป็นรัชทายาท ราชวงศ์อังกฤษไม่พอใจกับเรื่องนี้จึงสั่งให้ปลิดชีพหญิงสาว ปิดข่าวด้วยการกุเรื่องฆาตกรกระหายเลือด โดยเลือกเหยื่อเป็นโสเภณีคนอื่นๆ ที่รู้เรื่องการสมรสของทั้งสอง
ข้อแก้ต่างสำคัญสำหรับคำกล่าวหานี้คือมันไม่ได้เกิดขึ้นร่วมสมัย คดีแจ็ค เดอะ ริปเปอร์ จบไปตั้งแต่เมื่อ 80 ปีก่อน ไม่เคยมีสำนักข่าวไหนออกมาตั้งคำถามกล่าวหาเจ้าชาย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเงื่อนไขทางเวลา เจ้าชายอัลเบิร์ตไม่ได้อยู่ลอนดอนระหว่างการเกิดเหตุส่วนใหญ่และการฆ่าใครปิดปากเรื่องข่าวฉาวก็ดูไม่ใช่นิสัยของราชวงศ์อังกฤษ (หากมองจากความจริงที่ว่าพระบิดาของเจ้าชายเองก็มีข่าวฉาวมากมายและการเลี้ยงดูนางบำเรอในยุคนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่) โสเภณีที่เสียชีวิตมีอายุน้อยและไม่เคยมีประวัติว่าเคยพบกับเจ้าชายมาก่อนทำให้ตำรวจไม่ได้ตั้งข้อสงสัยไปถึงเจ้าชาย (แม้ว่าจะมีประวัติว่าทรงชอบออกมาเที่ยวซ่องในลอนดอนจนเป็นข่าวฉาว)
ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเจ้าชายอัลเบิร์ตเป็นที่โด่งดังจากหนังสือนิยาย Jack the Ripper: The Final Solution ของ Stephen Knight ซึ่งน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากกรณีของคุณหมอ Stowell อีกที นิยายของ Knight อ้างถึงชายหนุ่มที่ออกมาอ้างว่ายายของเขาคือหนึ่งในหญิงที่ถูกฆ่าและเธอคือภรรยาของเจ้าชายอัลเบิร์ต (แน่นอนว่าข้อมูลนี้เป็นนิยายไม่ใช่ความจริง)
แล้วแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ตัวจริงเป็นใคร? เรื่องนี้อาจเป็นความลับไปตลอดกาล แต่การสันนิษฐานและแรงบันดาลใจคงทำให้ผู้ชื่นชอบคดีสะเทือนขวัญได้มีประเด็นให้ถกกันไปอีกหลายสิบปี
.
อ้างอิง