*‘คนที่สนิทใจกันจริง ไม่ใช่คนที่มีเรื่องให้คุยให้หัวเราะกันได้ตลอดเวลา *
แต่คือคนที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจได้ แม้จะอยู่ด้วยกันในความเงียบต่างหาก’**
นี่คือความรู้สึกที่เราใช้นิยาม คนที่มั่นใจว่าสนิทกับเราจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือคู่รัก เพราะปกติเราเป็นคนไม่เก่งเมื่อต้องอยู่ในความเงียบ จะเคอะเขิน หรือกระอักกระอ่วนตลอด ใครก็ตามที่ทำให้เราทลายกำแพงความอัดอั้นในความเงียบ จนเปลี่ยนเป็นความอุ่นใจได้
คนนั้นแหละ ‘ตัวจริง’
แต่บางครั้ง
แทนที่ ‘ความเงียบ’ จะใช้แทนตัวบ่งบอกว่า ‘เรารักกันแค่ไหน’
มันกลายเป็น ‘อาวุธ’ ที่หลายครั้งก็มาทำลายความสัมพันธ์เราได้ซะนี่
ในทางจิตวิทยาคู่รัก หรือจิตวิทยาความสัมพันธ์
ได้มีการคิดค้นศัพท์‘Silent Treatment’ (การปฎิบัติต่อคู่รักด้วยความเงียบ) ขึ้นมา
ลองคิดภาพตามว่า เมื่อคู่รักคู่หนึ่งทะเลาะกัน
แทนที่ทั้งคู่จะเปิดใจและสื่อสารกันโดยตรง ว่าไม่พอใจกันตรงไหน
กลับใช้วิธี ‘โยนความเงียบ’ เข้าหาอีกฝ่าย
- ไม่ยอมฟังหรือพูดกับอีกฝ่าย ไม่ยอมรับรู้ถึงความเจ็บปวดใจของอีกฝ่าย (พูดง่ายๆ ว่าเทอีกฝ่ายไปเลย) ไม่พร้อมจะปรับความเข้าใจอะไรทั้งนั้น ทิ้งอีกฝ่ายให้ลอยเก้ออยู่ในเกาะร้างแห่งความเจ็บปวดอยู่คนเดียว พูดง่ายๆ ก็คือ ‘ลงโทษอีกฝ่ายด้วยความเงียบนั่นเอง’
‘การเมินเฉย’
บางครั้งมันทำร้ายคนที่เรารัก กว่าการตะโกนว่ากันซะอีก
ฟังดูสับสนใช่ไหม?
แต่อย่างน้อยการใช้โทนเสียงดังตะโกนคุยกันด้วยอารมณ์ มันได้มีการระบายสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา เพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าตนนั้นไม่พอใจหรืออึดอัดตรงไหนบ้าง
แต่ ‘การเมินเฉย’ ทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถนั่งเทียนสัมผัสได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นในหัวของคนๆ นั้น ยิ่งจะก่อความกลัว, กังวล, เครียดที่วนเวียนไม่รู้จบของอีกฝ่ายอย่างหาทางออกไม่ได้ มากไปกว่านั้น มีงานวิจัยบอกไว้ว่า เวลาที่เราโดนเมินเฉยให้ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวแบบนี้ สมองมันจะทำงานกับความเจ็บปวดทางใจนี้ เหมือนกับที่ทำงานกับความเจ็บปวดทางกายเลย = เจ็บพอๆ กัน
การใช้ความเงียบเพื่อหวังจัดการปัญหาแบบนี้ ยังทำให้อีกฝ่ายรู้สึก ‘ไม่มีตัวตน’ ในความสัมพันธ์ และรู้สึกเหมือนถูกทิ้งคว้าง ‘เหงา ทั้งๆ ที่ยังมีคนรักอยู่ข้างๆ’
นานวันเข้า อาจเพิ่มความรู้สึกว่า ‘ทำไมตัวเองไร้ค่าจัง’ เข้าไปอีก
ในฐานะนักจิตบำบัดสำหรับคู่รัก หากความสัมพันธ์ของใครกำลังเผชิญภาวะ ‘ความเงียบ’ อันน่าหงุดหงิดนี้อยู่ เราอยากให้
- อย่าคิดว่า การต้องพูดในสิ่งที่เราไม่สบายใจ คือการกระทบกระทั่ง
บางคนไม่ชอบการเผชิญหน้า เพราะไม่อยากให้เกิดความบาดหมางกับแฟน หรือบางคนอาจคิดว่า เรื่องที่ติดอยู่ในหัวเราเป็นเรื่องเล็กน้อย ไร้สาระ เลยไม่อยากบอกออกไป (เช่น นายเอ หึงที่แฟนของเขามีเพื่อนผู้ชายเยอะ แต่รู้สึกงี่เง่าถ้าจะบอกแฟนว่าตัวเองหึงด้วยเรื่องแค่นี้ เลยเลือกที่จะเงียบ)
แต่จริงๆ แล้ว ทุกความสัมพันธ์ ควรมีส่วนประกอบคือการสื่อสารที่ดี เพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าเรารู้สึกอย่างไร และเพื่อให้เราได้บอกสิ่งที่มันเป็นก้อนติดขัดอยู่ในใจเราด้วย
การพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป ถึงแม้มันจะลำบากใจ แต่ยังดีกว่ามาก กับการไม่บอกให้อีกฝ่ายรู้ถึงความอึดอัดของเรา แล้วอีกฝ่ายนั้น ต้องมาอึดอัดซะเอง!
2. อย่าปฎิเสธ เมื่ออีกฝ่ายหาว่าเราเมินเฉยต่อเขา
แม้คนที่เงียบ จะไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย
แต่หากอีกฝ่ายได้เอ่ยปาก บอกความไม่พอใจที่ได้รับการเมินเฉยนี้ออกมา
อย่าไปปฏิเสธความรู้สึกเขา เพราะทุกอารมณ์ที่มันปะทุออกมา นั่นแปลว่ามันคือสิ่งจริงแท้ที่ข้างในเรารู้สึก อย่าไปบอกเขาว่า ‘คิดไปเองรึเปล่า’ ‘เว่อร์ไปรึเปล่า’
คนที่เจ็บปวดอยู่ แค่ต้องการให้อีกฝ่ายรับรู้บ้าง -ไม่ใช่มาซ้ำเติมเหมือนตัวเองเป็นคนผิดเอง ที่รู้สึกแบบนี้
3. ‘ขอเวลานอก’ แทนได้ไหม?
เข้าใจว่าสำหรับแต่ละคน ‘ความเงียบ’ มันแปลความหมายไม่เหมือนกัน
หากใครคนหนึ่งในความสัมพันธ์ ไม่ได้มีเจตนา ‘เงียบ’ หรือเมินเฉยคนรักของตัวเองเพื่อไป ‘ทำโทษหัวใจ’ เขา -หากแค่ต้องการ ถอยออกมา เพื่อสงบสติอารมณ์ก่อน เหมือนเป็นการขอเวลานอก ก็ลองมาสื่อสารกันให้รู้เรื่องว่า ‘เงียบนานเท่าไหน’ ที่ทั้งสองฝ่ายพอจะอะลุ่มอล่วยกันได้ว่าเป็นระยะเวลาที่ทั้งคู่พอทำใจไหว
ทุกความสัมพันธ์ต้องมีการประนีประนอม เอาใจเขามาใส่ใจเราเสมอ
นอกจากจะมีการสื่อสารให้เข้าใจกันอย่างลึกซึ้งแล้ว
การปรับตัวเข้าหากัน ก็เป็นสิ่งสำคัญต่อใจเช่นกัน
มาลองค่อยๆ เปลี่ยน ‘ความเงียบ’ ที่ดูเหมือนเป็นอาวุธนี้
ให้กลายเป็นความสวยงามกันเถอะ
อ้างอิง
https://www.heysigmund.com/the-silent-treatment/
อ่านบทความใหม่จาก เพจ Beautiful Madness by Mafuang ได้ทุกวันพุธ บน LINE TODAY
ความเห็น 1
BabyBoss
โดนแกล้งไม่ตลกนะคะpls
18 พ.ย. 2563 เวลา 12.05 น.
ดูทั้งหมด