โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

Others

คปภ.เผยเดือนมีนาคม 68 นี้ ประกันสุขภาพใหม่ต้องมี Copayment

การเงินธนาคาร

อัพเดต 18 ก.พ. เวลา 15.10 น. • เผยแพร่ 18 ก.พ. เวลา 08.10 น.

คอลัมน์ Insurance : วารสารการเงินธนาคารฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2568 (ฉบับที่ 514)

สำนักงาน คปภ.ร่วมกับภาคธุรกิจประกันชีวิตและประกันวินาศภัย กำหนดเงื่อนไขประกันสุขภาพสำหรับผู้ซื้อกรมธรรม์ใหม่ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 เข้าเงื่อนไข Copayment ที่กำหนดไว้ อาจต้องร่วมจ่ายค่ารักษาในอัตรา 30-50% ในปีกรมธรรม์ถัดไป

ทำไมต้องมี Copayment มีแล้วจะช่วยอะไร หลายคนที่ทำประกันสุขภาพคงจะเกิดข้อสงสัยและวิตกกังวลว่าต้องจ่ายเบี้ยประกันเพิ่มมั้ย ถ้ามีประกันแล้วแต่ยังต้องจ่ายค่ารักษาเองจะซื้อประกันไปทำไม แต่ในที่สุดทุกคนที่ทำประกันสุขภาพก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข Copayment ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 เป็นต้นไป

ดังนั้น เราลองมาทำความรู้จัก Copayment อย่างเข้าใจกันก่อนที่จะตัดสินใจทำประกันสุขภาพให้คุ้มค่ากับเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายไปให้มากที่สุด

คปภ.ไขข้อข้องใจ Copayment

[caption id="attachment_156322" align="aligncenter" width="500"]

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.)[/caption]

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากการที่เบี้ยประกันภัยสุขภาพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละประมาณ 3- 5% ซึ่งเป็นผลมาจากหลายปัจจัย อาทิ อัตราเงินเฟ้อ ต้นทุนการรับประกันภัยที่สูงขึ้น จนส่งผลให้ประชาชนเข้าถึงการประกันภัยสุขภาพได้ยากขึ้น ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ที่มีกรมธรรม์อยู่แล้วอาจต้องออกจากระบบ เนื่องจากไม่สามารถรับภาระค่าเบี้ยประกันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้

ดังนั้น เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาและป้องกันผลกระทบดังกล่าว สำนักงาน คปภ.จึงได้กำหนดแนวทาง Copayment ใน 2 รูปแบบ คือ

รูปแบบที่ 1 แบบมีส่วนร่วมจ่าย Copayment ตั้งแต่เริ่มต้นทำประกันภัยสุขภาพ สำหรับผู้เอาประกันภัยที่สมัครใจ โดยจะได้รับส่วนลดค่าเบี้ยประกันภัยทันที แต่ต้องร่วมจ่ายทุกครั้งตามสัดส่วนที่ระบุในสัญญา

รูปแบบที่ 2 แบบกำหนดให้มีส่วนร่วมจ่าย Copayment ในเงื่อนไขการต่ออายุกรณีครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัย (Renewal) สำหรับผู้เอาประกันภัยร่วมจ่ายเฉพาะในปีต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัยปีถัดไป ถ้าหากผู้เอาประกันภัยเข้าหลักเกณฑ์ใน 2 กรณี ดังนี้

กรณีที่ 1 ผู้เอาประกันภัยร่วมจ่ายไม่เกิน 30% ของค่ารักษาที่ได้รับความคุ้มครองในปีถัดไป เมื่อเกิด 3 ข้อนี้พร้อมกันเท่านั้น คือ 1.มีการเคลมเป็นผู้ป่วยในด้วยกลุ่มโรคป่วยเล็กน้อยทั่วไป และไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ให้ต้องรักษาตัวแบบผู้ป่วยใน 2.มีการเคลมตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป 3.มีอัตราการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนรวมกันตั้งแต่ 200%

กรณีที่ 2 ผู้เอาประกันภัยร่วมจ่ายไม่เกิน 30% ของค่ารักษาที่ได้รับความคุ้มครองในปีถัดไป เมื่อเกิด 3 ข้อนี้พร้อมกันเท่านั้น คือ ข้อที่ 1 มีการเคลมเป็นผู้ป่วยในด้วยโรคทั่วไปที่ไม่รวมโรคร้ายแรงและการผ่าตัดใหญ่ ข้อที่ 2 มีการเคลมตั้งแต่ 3 ครั้ง ขึ้นไป 3.มีอัตราการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนรวมกัน ตั้งแต่ 400%

นายชูฉัตรอธิบายต่อว่า กรณีเข้าหลักเกณฑ์ทั้งกรณีที่ 1 และกรณีที่ 2 ผู้เอาประกันจะต้องร่วมจ่าย Copayment แต่รวมกันแล้วจะต้องไม่เกิน 50% ของค่ารักษาในปีถัดไป อย่างไรก็ตาม การพิจารณาหลักเกณฑ์ Copayment ในเงื่อนไขการต่ออายุฯ ซึ่งมีการพิจารณาเป็นรายปี หากปีใดไม่เข้าตามเงื่อนไขข้างต้นแม้เพียงข้อใดข้อหนึ่งก็ไม่ต้องเข้า Copayment ซึ่งผู้ทำประกันภัยไม่ต้องร่วมจ่ายเลยแม้แต่บาทเดียวของค่ารักษาพยาบาลที่อยู่ในเงื่อนไขความคุ้มครองในกรมธรรม์

อย่างไรก็ตาม การกำหนดแนวทางCopayment นี้ไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้บริษัทประกันภัย แต่เป็นแนวทางหนึ่งในการช่วยชะลอค่าเบี้ยประกันภัยสุขภาพ ไม่ให้เพิ่มขึ้นเร็วเกินไป เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้ผู้เอาประกันภัยได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง ทั้งยังส่งเสริมให้เกิดความสมดุลในระบบประกันภัยสุขภาพ และลดผลกระทบต่อผู้เอาประกันภัยที่ใช้สิทธิตามความจำเป็น รวมทั้งยังช่วยให้ระบบประกันภัยสุขภาพของประเทศไทยมีความยั่งยืนในระยะยาว

“ที่สำคัญ การซื้อประกันภัยสุขภาพขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งเงื่อนไขกรมธรรม์ ราคา หรือระยะเวลาคุ้มครอง ฯลฯ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจและความจำเป็นของแต่ละบุคคล ควรศึกษาและเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ประกันภัยจากหลายๆ แห่ง เพื่อให้ได้กรมธรรม์ที่ดีที่สุด สอดคล้องและเหมาะสมกับความต้องการของตนเอง หลีกเลี่ยงการรับข้อมูลที่ไม่มีแหล่งที่มาชัดเจน หรือข้อมูลที่อาจถูกบิดเบือน ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อสายด่วน คปภ. 1186 หรือเว็บไซต์ www.oic.or.th

ประกันชีวิตพร้อม Copayment

ด้าน สมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป กรมธรรม์ประกันสุขภาพของบริษัทประกันชีวิต จะมีการระบุเงื่อนไขCopayment ไว้ในกรมธรรม์ด้วย โดยจะมีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ผู้ทำประกันจะเข้าสู่เงื่อนไงของCopayment ไว้อย่างละเอียดและชัดเจน สำหรับกรมธรรม์ประกันสุขภาพสำหรับผู้ทำประกันใหม่ที่เริ่มคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2568 จะเข้าหลักเกณฑ์ ใน 3 กรณี ดังนี้

กรณีที่ 1 เมื่อมีการเคลมสำหรับโรคที่ไม่รุนแรง (Simple Diseases) หรืออาการที่ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล จำนวนการเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้งต่อปีกรมธรรม์ และมีอัตรามากกว่าหรือเท่ากับ 200% ของเบี้ยประกันสุขภาพ ผู้เอาประกันจะต้องมีส่วนร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลร่วมกับริษัทประกันในอัตรา 30% ทุกค่ารักษาในปีถัดไปด้วย (ตัวอย่างที่ 1)

Copayment

กรณีที่ 2 การเคลมสำหรับโรคทั่วไปแต่ไม่นับรวม การผ่าตัดใหญ่ และโรคร้ายแรง โดยมีจำนวนการเคลมมากว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้งต่อปีกรมธรรม์ และมีอัตราการเคลมมากว่าหรือเท่ากับ 400% ของเบี้ยประกันสุขภาพ ผู้เอาประกันจะต้องจ่าย ค่ารักษาร่วมกับบริษัทประกันในอัตรา 30% ของทุกค่ารักษาในปีถัดไป (ตัวอย่างที่ 2)

Copayment

กรณีที่ 3 หากผู้เอาประกันเข้าเงื่อนไขทั้งในกรณีที่ 1 และกรณีที่ 2 ผู้เอาประกันจะต้องมีส่วนร่วมจ่ายค่ารักษาในอัตรา 50% ทุกค่ารักษาในปีถัดไปด้วย (ตัวอย่างที่ 3)

Copayment

จะเห็นได้ว่า จากตัวอย่างค่ารักษาทั้งหมด เป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของโรคร้ายแรงและการผ่าตัดใหญ่ จึงไม่ต้องนำมานับรวมการคำนวณเงื่อนไขCopayment ดังนั้น ผู้เอาประกันภัยจึงไม่ต้องจ่ายร่วมCopayment ในปีถัดไป

ทั้งนี้ หากเข้าเงื่อนไขCopayment แล้ว จะมีผลทุกปีกรมธรรม์หรือไม่ หรือมีผลแค่ปีกรมธรรม์เดียว ในเรื่องนี้ สมาคมประกันชีวิตไทย อธิบายว่า สำหรับเงื่อนไขCopayment จะมีการปรับเปลี่ยนได้เมื่อสถานการณ์การเคลมดีขึ้น โดยบริษัทประกันภัยจะพิจารณาข้อมูลการเคลมของผู้เอาประกันทุกรอบปีกรมธรรม์ ถ้าปีใดกรมธรรม์ไม่เข้าเงื่อนไขกรณีใดกรณีหนึ่ง ผู้เอาประกันก็ไม่ต้องมีส่วนร่วมจ่าย (Copayment) ในปีกรมธรรม์ถัดไป แต่ถ้าปีกรมธรรม์ใดเข้าเงื่อนไขก็จะต้องร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลในปีกรมธรรม์ถัดไป

ส่วนลูกค้าที่ซื้อสัญญาเพิ่มเติมการประกันสุขภาพและยังมีผลคุ้มครองก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2568 โดยไม่ปล่อยให้ขาดอายุ รวมถึงมีการต่ออายุอย่างต่อเนื่อง จะไม่มีเงื่อนไขCopayment ทุกกรณี

ประกันภัยพร้อม Copayment

[caption id="attachment_156324" align="aligncenter" width="600"]

ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย[/caption]

ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากรมธรรม์ประกันสุขภาพของบริษัทประกันภัยทุกบริษัทได้มีการกำหนดเงื่อนไขของCopayment ไว้ในกรมธรรม์อยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาบริษัทประกันภัยยังไม่ได้มีการบังคับใช้เงื่อนไขของCopayment ในกรมธรรม์อย่างจริงจังมากนัก ในขณะที่กรมธรรม์ของบริษัทประกันชีวิต อาจจะไม่ได้มีการกำหนดเงื่อนไขของCopayment เอาไว้ในกรมธรรม์ประกันสุขภาพตั้งแต่ต้น

แต่หลังจากที่มีการหารือร่วมกับระหว่างสำนักงาน คปภ.และภาคธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต โดยกำหนดออกมาเป็นเงื่อนไขที่ชัดเจนเกี่ยวกับCopayment จึงทำให้ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 เป็นต้นไปทุกกรมธรรม์ประกันสุขภาพไม่ว่าจะเป็นของบริษัทประกันภัย หรือบริษัทประกันชีวิตต้องกำหนดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ พร้อมแนวทางการบังคับใช้ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน

Copayment

“แม้ในกรมธรรม์ของบริษัทประกันภัยจะมีการกำหนดเงื่อนไขCopayment ไว้แล้วและสามารถใช้กับผู้ถือกรมธรรม์ได้ทันที แต่หลังจากที่มีการหารือระหว่างธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตแล้ว เพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของCopayment ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน จึงกำหนดที่จะเริ่มบังคับใช้เงื่อนไขดังกล่าวตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 เป็นต้นไปสำหรับกรมธรรม์ประกันสุขภาพใหม่เท่านั้น”

ยังไม่ปรับเงื่อนไข

[caption id="attachment_156323" align="aligncenter" width="500"]

นางฐวิกาญจน์ เตชทวีทรัพย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน)[/caption]

นางฐวิกาญจน์ เตชทวีทรัพย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เผยว่า การนำเงื่อนไขการให้มีค่าใช้จ่ายร่วม (Copayment) มาใช้นั้น หากพิจารณาในภาพรวมเชื่อว่าน่าจะส่งผลกระทบในเชิงบวก เนื่องจากจะสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงด้านต้นทุนที่เกิดจากการรักษาพยาบาล และการจ่ายเงินบางส่วนกระตุ้นให้ผู้ใช้บริการประเมินความจำเป็นก่อนตัดสินใจใช้บริการทางการแพทย์ ลดการรักษาที่เกินความจำเป็นซึ่งช่วยสร้างสมดุลในระบบประกันสุขภาพและเป็นประโยชน์ต่อภาพรวม

รวมทั้ง ยังช่วยลดความถี่ในการปรับเบี้ยประกันภัยแบบยกพอร์ตโฟลิโอ และเป็นประโยชน์ให้กับกลุ่มลูกค้าที่ดูแลสุขภาพดี ที่ไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นจากการปรับเบี้ยประกันภัยแบบยกพอร์ตโฟลิโอด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม หากนำเงื่อนไขการให้มีค่าใช้จ่ายร่วม (Copayment) มาใช้ ลูกค้าส่วนหนึ่งอาจเกิดความกังวลใจที่จะต้องมีส่วนร่วมจ่ายทุกครั้ง และอาจจะชะลอการตัดสินใจในการทำประกัน แต่ในอีกมุมหนึ่ง การรักษาสมดุลของต้นทุนค่าเบี้ยประกัน จะช่วยให้ทุกคนสามารถเข้าถึงแผนประกันสุขภาพที่คุ้มค่าได้ง่ายขึ้น ตอบโจทย์ทุกความต้องการของคนไทยในราคาที่เหมาะสม ซึ่งก็เป็นประเด็นที่จะต้องสื่อสารอย่างชัดเจนและทำความเข้าใจกับเงื่อนไขโดยละเอียด

อีกทั้งเงื่อนไขดังกล่าว โดยรวมแล้วจะช่วยให้การบริหารค่าเบี้ยประกันมีความเหมาะสม ซึ่งจะสะท้อนประโยชน์ในระยะยาวให้กับลูกค้าที่จะเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพได้อย่างมั่นใจและต่อเนื่อง ทำให้การเข้าถึงประกันสุขภาพในประเทศไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้

นางฐวิกาญจน์ กล่าวว่า ปัจจุบันแผนประกันสุขภาพรายบุคคลของบริษัทยังเป็นรูปแบบของประกันสุขภาพเหมาจ่ายและขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดCopayment อย่างไรก็ดี หากในอนาคตจะต้องนำเงื่อนไขนี้มาใช้สำหรับกรณีการต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัย บริษัทจะแจ้งเงื่อนไขดังกล่าวให้ผู้เอาประกันภัยทราบอย่างชัดเจนเมื่อครบรอบปีกรมธรรม์ โดยจะต้องแจ้งรายละเอียดในหนังสือแจ้งเตือนการต่ออายุประกันสุขภาพว่า ผู้เอาประกันภัยเข้าเงื่อนไขที่ต้องมีCopayment ในปีกรมธรรม์ถัดไปหรือไม่ และกรณีที่ปีถัด ๆ ไปหากสินไหมที่เกิดจากการเคลมของผู้เอาประกันไม่เข้าเงื่อนไขการมีCopayment แล้ว บริษัทก็ต้องมีการชี้แจงให้ผู้เอาประกันภัยทราบด้วยเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ เชื่อว่าการกำหนดเงื่อนไขCopayment น่าจะส่งผลในเชิงบวกที่จะทำให้เบี้ยประกันสุขภาพอาจจะลดลง หรือยังคงรักษาระดับไว้ได้แม้ว่า Medical Inflation มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี เนื่องจากหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของการCopayment น่าจะส่งผลดีต่อสถิติการรับประกันภัยและสามารถนำมาพิจารณากำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยให้สะท้อนความเสี่ยงภัยที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ จะช่วยทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงประกันภัยสุขภาพได้มากขึ้น

20 มี.ค.68 พร้อม Copayment

[caption id="attachment_156325" align="aligncenter" width="500"]

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)[/caption]

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมนำเสนอกรมธรรม์ประกันสุขภาพที่มีการกำหนดเงื่อนไขCopayment ไว้ในกรมธรรม์สำหรับลูกค้าใหม่ที่ทำประกันสุขภาพเท่านั้น โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป ส่วนกรมธรรม์ที่ต่ออายุจะไม่ได้รับผลกระทบจากCopayment และยังคงได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขเดิมทุกประการ

สำหรับกรมธรรม์สุขภาพของบริษัทที่จะนำเสนอให้กับลูกค้าใหม่ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2568 จะมีการกำหนดเงื่อนไขของCopayment ไว้อย่างชัดเจนเมื่อเกิดการเคลมใน 3 กรณี ดังนี้

กรณีที่ 1 การเคลมจากการเจ็บป่วยเล็กน้อย (Simple Diseases) จำนวนมากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้ง ต่อปีกรมธรรม์ และเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 200% ของเบี้ยประกันสุขภาพ ผู้เอาประกันจะต้องร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาล 30% ทุกค่ารักษาในปีถัดไป

กรณีที่ 2 การเคลมจากการเจ็บป่วยโรคทั่วไป แต่จะไม่รวมโรคร้ายแรงและการผ่าตัดใหญ่ โดยมีการเคลมมากว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้งต่อปีกรมธรรม์ และเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 400% ของเบี้ยประกันสุขภาพ ผู้เอาประกันต้องร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาล 30% ทุกค่ารักษาในปีถัดไป

กรณีที่ 3 มีการเคลมที่เข้าเงื่อนไขทั้งกรณีที่ 1 และกรณีที่ 2 ผู้เอาประกันต้องร่วมจ่ายค่ารักษาที่ 50% ของทุกค่ารักษาในปีถัดไป

“อย่างไรก็ตาม หากเข้าเงื่อนไขCopayment ผู้เอาประกันต้องจ่ายค่ารักษาร่วมในปีกรมธรรม์ถัดไปตามกรณีที่เกิดขึ้น ซึ่งในปีนั้นผู้เอาประกันไม่เกิดการเคลมที่เข้าเกณฑ์Copayment เช่น เคลมไม่เกิน 200% ของเบี้ยประกันสุขภาพ บริษัทสามารถพิจารณาให้กรมธรรม์ดังกล่าวกลับสู่เงื่อนไขเดิมและรับความคุ้มครองจากบริษัทประกันตั้งแต่บาทแรกตามเงื่อนไขกรมธรรม์ที่ทำไว้ตั้งแต่เริ่มต้นทุกประการ”

จับตาค่ารักษาพยาบาลในเอเชียพุ่งสูง

วิลลิส ทาวเวอร์ส วัตสัน (Willis Tower Watson - WTW) บริษัทที่ปรึกษา โบรกเกอร์ และโซลูชั่นส์ระดับโลก คาดการณ์ว่า ค่ารักษาพยาบาลในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้น 14.2% ในปี 2568 ลดลงเล็กน้อยจาก 15.2% ในปีนี้ แต่ยังคงสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ 1.2% อย่างมาก โดยปัจจัยสำคัญหลายประการที่ส่งผลให้ค่ารักษาพยาบาลยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ การเพิ่มสูงขึ้นของการเข้ารับการรักษาพยาบาล ที่ถูกเลื่อนออกมาในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ซึ่งอาจทำให้แพทย์ต้องใช้เทคนิคการรักษาโรคที่เข้มข้นเนื่องจากมีการชะลอการรักษาในช่วงโรคระบาด

สำหรับการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของค่ารักษาพยาบาลมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในความต้องการด้านสุขภาพและการให้บริการด้านสุขภาพ ประชาชนจำนวนมากชะลอการเข้ารับการรักษาโรคประจำตัวในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 เพราะหลีกเลี่ยงการเดินทางไปโรงพยาบาล และเมื่อกลับมารักษาอีกครั้ง ทำให้การรักษามีความซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น

โดยในวงการแพทย์เอง ก็มีการสังเกตเห็นอัตราการติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเด็กซึ่งในช่วงล็อคดาวน์มีโอกาสสัมผัสเชื้อไวรัสที่ต่ำ ภายหลังจากที่โรคระบาดหายไป จึงทำให้เด็ก มีความอ่อนไหวต่อโรคทั่วไปมากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ได้สร้างผลกระทบต่อเนื่อง ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มอายุและทุกบริการทางการแพทย์

อย่างไรก็ตาม เมื่อความต้องการด้านสุขภาพและค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ระบบสาธารณสุขของรัฐก็ประสบความท้าทายมากขึ้น บริษัทประกันต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในการปรับเปลี่ยนบริการและการกำหนดราคา เป็นเวลาหลายปีที่บริษัทประกันชีวิตที่ให้บริการประกันสุขภาพได้รักษาอัตราเบี้ยประกันให้คงที่ แม้แต่ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่มีความรุนแรง ทั้งนี้มองว่าบริษัทประกันวินาศภัยมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มเบี้ยมากกว่า

ขณะเดียวกัน บริษัทประกันวินาศภัยและบริษัทประกันชีวิตเองก็ได้รับผลกระทบที่สั่งสมมาตลอดจากค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้น และทำให้บริษัทเหล่านี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปรับเบี้ยประกันได้อีกต่อไป หากยังต้องการรักษาความคุ้มครองที่มีให้กับลูกค้าได้อย่างยั่งยืน แนวทางหนึ่งที่ได้รับความนิยม คือ การปรับราคาเบี้ยประกันสุขภาพใหม่ ซึ่งช่วยให้บริษัทประกันสามารถสะท้อนการเรียกร้องค่าสินไหมที่ตรงกับความจริงที่เกิดขึ้นปัจจุบันและคงไว้ซึ่งความเป็นธรรมในการจ่ายเบี้ยประกันในทุกกลุ่มอายุ

WTW เปิดเผยว่า ตั้งแต่การระบาดของโควิด 19 มีการเพิ่มขึ้นของการเรียกร้องค่าสินไหมของประกันสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นทั้งความถี่และมูลค่าของการเคลม ซึ่งหากไม่มีการปรับอัตราเบี้ยประกันอย่างเป็นระบบ บริษัทประกันจะประสบความยากลำบากในการเสนอตัวเลือกความคุ้มครองที่ยั่งยืน ซึ่งอาจนำไปสู่การลดลงของกรมธรรม์ที่มีให้หรือผลประโยชน์ที่จำกัดสำหรับผู้บริโภค ซึ่งการปรับราคาเป็นระยะๆ จะสามารถช่วยให้เบี้ยประกันที่บริษัทประกันเรียกเก็บมีความสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของการเรียกร้องค่าสินไหมประกันสุขภาพ และช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลผ่านการมีความคุ้มครองประกันสุขภาพได้อย่างต่อเนื่อง

นอกเหนือจากการปรับราคาใหม่ บริษัทประกันยังสนับสนุนให้ผู้บริโภคมีบทบาทที่แข็งขันมากขึ้นในการจัดการค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ โดยการเลือกทางเลือกที่คุ้มค่า เช่น ใช้ยาสามัญแทนยาที่มีแบรนด์เฉพาะเจาะจง หรือการรักษาที่บ้านสำหรับอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ผู้ถือกรมธรรม์สามารถช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นได้

ทั้งนี้ ตามข้อมูลของ WTW แผนประกันสุขภาพที่มีลักษณะแบบ “ร่วมจ่าย” (Co-Payment) (ที่ลูกค้าและบริษัทประกันแบ่งค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ตามเปอร์เซ็นต์ที่กำหนด) และ“ความรับผิดส่วนแรก” (Deductible) ที่ลูกค้ารับผิดชอบค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ตามจำนวนที่กำหนด หลังจากนั้นบริษัทประกันจะเป็นผู้จ่าย จะช่วยส่งเสริมการใช้จ่ายด้านสุขภาพด้วยการมีความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างบริษัทประกันและผู้บริโภค

“รูปแบบแผนประกันเหล่านี้ จะช่วยสร้างความตระหนักรู้ของผู้บริโภคเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และทำให้ประชาชนมีข้อมูลที่สมบูรณ์ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของตนเอง นำไปสู่ความคุ้มครองสุขภาพที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้บริโภคและระบบโดยรวม”

WTW เปิดเผยว่า สำหรับประเทศไทย การที่จะสร้างให้เกิดความยั่งยืนระยะยาวในการรับประกันสุขภาพ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้มีบทบาทสำคัญทุกฝ่าย ทั้งบริษัทประกันที่อาจต้องเจรจากับโรงพยาบาล โดยเฉพาะเรื่องการให้บริการเป็นไปตามความจำเป็นทางการแพทย์และให้ความร่วมมือในการควบคุมค่าใช้จ่าย ในขณะเดียวกัน โรงพยาบาลสามารถช่วยได้โดยการนำแนวทางการดูแลที่คุ้มค่ามาใช้และมุ่งเน้นการลดการกลับเข้ารับการรักษาซ้ำที่หลีกเลี่ยงได้

ขณะเดียวกัน บทบาทของรัฐบาลก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ตั้งแต่การกำหนดนโยบายที่ส่งเสริมการจัดการต้นทุนไปจนถึงการกำหนดมาตรฐานคำนิยามของ ความจำเป็นทางการแพทย์ และการควบคุมราคายา ความพยายามร่วมกันเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อทำให้ค่ารักษาพยาบาลมีเสถียรภาพ ช่วยให้การกำหนดราคาและความพร้อมของประกันเป็นไปอย่างเป็นธรรมและคาดการณ์ได้สำหรับทุกคน

ดังนั้น เมื่อค่ารักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การปรับราคาเบี้ยประกันสุขภาพดูเหมือนจะเป็นทางออกที่จำเป็น ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การปรับเปลี่ยนด้านการเงินเท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญสู่อนาคตการรักษาสุขภาพที่ยั่งยืน ด้วยความร่วมมือระหว่างบริษัทประกันภัย ผู้ให้บริการด้านสุขภาพ ผู้กำหนดนโยบาย และผู้บริโภค

ทั้งนี้ ประเทศไทยสามารถสร้างระบบที่เข้มแข็งเพื่อรักษาการเข้าถึงการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพ พร้อมกับการจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีความรับผิดชอบ โดยการสร้างความตระหนักรู้และการร่วมมือกันถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ทุกฝ่ายมีบทบาทในการเผชิญความท้าทายนี้ และทำให้การคุ้มครองสุขภาพยังคงเข้าถึงได้และมีประสิทธิภาพในอนาคต

ติดตามอ่านคอลัมน์อื่น ๆ ได้ในวารสารการเงินธนาคาฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ฉบับที่ 514 ในรูปแบบดิจิทัล : https://goo.gl/U6OnIi

รวมช่องทางการสั่งซื้อวารสารการเงินธนาคาร ทั้งฉบับปัจจุบันและฉบับย้อนหลัง ครบจบที่นี่ที่เดียว : https://moneyandbanking.co.th/2023/18250/

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...