โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

แพทย์หญิงทะลุมิติ

นิยาย Dek-D

อัพเดต 14 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 14 ชั่วโมงที่ผ่านมา • มะลิฉัตร
แพทย์หญิงทะลุมิติ
เพราะเก็บกำไลโบราณได้ ทำให้คุณหมอสาวมาโผล่ในยุคจีนโบราณ แต่ทำไมไม่ให้เธอไปอยู่ในร่างคุณหนูในจวนใหญ่สวยๆ หรือลูกสาวผู้มีอันจะกิน แต่กลับมาอยู่ในร่างเด็กน้อย อายุแค่ 9 ขวบ ที่ครอบครัวแสนจะยากจน สวรรค์!

ข้อมูลเบื้องต้น

แพทย์หญิงทะลุมิติ

เพราะเก็บกำไลโบราณได้ ทำให้คุณหมอสาวมาโผล่ในยุคจีนโบราณ แต่ทำไมไม่ให้เธอไปอยู่ในร่างคุณหนูในจวนใหญ่สวยๆ หรือลูกสาวผู้มีอันจะกิน แต่กลับมาอยู่ในร่างเด็กน้อย อายุแค่ 9 ขวบ มีพี่น้องตาดำๆอีก3 สามคน ยัง! สวรรค์ยังกลั่นแกล้งข้าไม่พอ ครอบครัวยังถูกไล่ออกจากบ้านไปอาศัยบ้านเก่าๆโทรมๆอีก

ยืนมองครอบครัว แต่ละคนช่างผอมโซ ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ทั้งหลาย น้องเล็กจะเลี้ยงดูพวกท่านเอง และนี่เป็นภารกิจแรกที่เธอต้องทำ และต้องทำให้สำเร็จ

ติดตามให้กำลังใจคุณหมอหญิง ของเราด้วยนะคะ ให้เอาชนะอุปสรรคต่างๆนี้ไปให้จงได้

มะลิฉัตร

ตอนที่ 1

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมปวดไปทั้งตัวเลย” ร่างเล็กๆขยับไปมา พยามจะเปิดเปือกตาขึ้น แต่ทำยังไงก็ลืมตาไม่ได้สักที ความจำสุดท้ายของเธอคือ เธอเดินทางไปประชุมสัมมนาแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับวิชาแพทย์แผนจีน ที่ประเทศจีน เมื่อการสัมมนาเสร็จสิ้น เธอก็ได้ไปเที่ยวชมพระราชวังเก่าแก่ของประเทศจีน ขณะที่กำลังชื่นชมความสวยงามอยู่นั้น

“นายหญิง ข้ารอท่านมานานเหลือเกินขอรับ” เสียงแว่วเข้ามาภายในโสตประสาท เมื่อเธอเดินเข้ามายังห้องๆหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องโถงโล่งๆ มีเพียงภาพวาดหนึ่งที่ปรากฏรูปสัตว์ในตำนานท่าทางองอาจกำลังแหวกว่ายอยู่บนผนังห้อง ราวกับมีชีวิต

หือ เสียงอะไร คิ้วเรียวขมวดเป็นปม เมื่อได้ยินเสียงนั้น ร่างบางหันซ้ายหันขวา เพื่อหาที่มาของเสียง แต่ก็หาไม่พบ

“นายท่าน ข้าอยู่นี่” หญิงสาวเพ่งมองไปยังที่มาของเสียง ที่มุมห้องๆหาหนึ่ง ปรากฏกำไลหยกวงหนึ่งเปล่งแสงสีนวลอยู่รอบตัว หญิงสาวมองไปรอบๆตัว แต่ไม่มีใครสนใจสิ่งที่กำลังเรียกเธอเลยสักนิด ราวกับผู้คนมองไม่เห็นมัน จิวจิว เดินเข้าไปใกล้มันอีกนิด อย่างสนใจ ก่อนที่มือเรียวจะยื่นออกไปอย่างใคร่รู้

“เฮ้ย”หญิงสาวร้องด้วยความตกใจ พยายามสลัดข้อมือไปมา เมื่อจู่กำไลวงนั้นก็พุ่งเข้ามารัดข้อมือเธอราวกับมันมีชีวิต ยัด

“บ้าจริง ทำไมถอดไม่ออก”หญิงสาวอุทาน พยายามจะดึงกำไลออกจากข้อมือเรียว แต่ถึงพยายามยามอย่างไรก็ไม่เป็นผล ราวกับมันหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งกับลำแขนเธอแล้ว

“บ้าฉิบ ถ้าเอามันกลับบ้านไปด้วย เขาจะหาว่าฉันขโมยสมบัติชาติรึเปล่าเนี่ยะ”หญิงสามพึมพึม ถอนหายใจยาว เมื่อไม่สามารถสลัดมันหลุดได้ มองไปรอบๆว่ามีใครสนใจเธอรึเปล่า เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร จึงค่อยๆเดินออกจากพระชาชวังเก่าแก่ไป

เมื่อไม่มีแก่ใจจะชื่นชมสิ่งสวยงามแล้ว ในใจมุ่งแต่จะกลับที่พัก เพื่อหาวิธีกำจัดสิ่งที่ติดแนบแน่นที่แขนเธอออกไป

เมื่อมาถึงห้องพัก หญิงสาวตรงดิ่งเข้าห้องน้ำ ให้สบู่ล้างมือล้างแขน พยายามใช้ความลื่นของดัน ดึงเอากำไลออกจากแขน พยายามอยู่นาน จนแขนเรียวขาวผ่อง กลายเป็นสีแดงห้อเลือด ก็ไม่สามารถกำจัดมันออกไปได้

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ยะ ทำไมมันออกยากออกเย็นแบบนี้ เฮ้อ ช่างเถอะ ถือว่าเป็นที่ระลึกจากประเทศจีนก็แล้วกัน นอนดีกว่าพรุ่งนี้ก็ต้องกลับประเทศแล้ว”จิวจิว หญิงสาวเชื้อสายจีน ที่เติบโตที่เมืองไทย แต่เดินทางไปกลับระหว่างสองประเทศเป็นประจำ เธอชอบประเทศจีน แต่ครอบครัวย้ายไปอยู่เมืองไทยตั้งแต่รุ่นปู่ย่า แต่ตอนนี้ ทุกคนในครอบครัวต่างแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเอง ตั้งแต่พ่อแม่เสียชีวิต เธอก็ไม่ได้ติดต่อกับทางญาติๆอีกเลย ใช้ชีวิตสาวโสด ในวัยใกล้สามสิบแบบสบายๆ เธอประสบความสำเร็จในอาชีพแพทย์ผู้ชำนาญการ ทั้งแผนปัจจุบันและแผนจีน แต่ชื่นชอบการแพทย์แผนจีนเป็นอย่างมาก เพราะดั้งเดิมบิดามารดา ก็ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญ ทั้งสองเปิดร้านขายสมุนไพร และยาแผนจีนมากมาย เแถมพ่อแม่ยังทิ้งธุรกิจไว้ให้เธออีกมากมาย เรียกว่าทั้งชาติ ก็ใช้ไม่มีทางหมด

“นายหญิง ใกล้ได้เวลาเดินทางกลับแล้ว ขอนายหญิงจงเตรียมพร้อม”จู่ๆขณะกำลังนอนหลับ ในสมองเธอก็เกิดเสียงเล็กๆขึ้น แสงสว่างวาบขึ้นกระจายไปทั่วห้อง ก่อนที่ทุกอย่างจะเลือนหาย ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมปวดไปทั้งตัวเลย” เมื่อลืมตาขึ้น เธอจึงมองเห็นภาพบ้านเก่าๆโซมๆหลังหนึ่ง เห็นเด็กสามคนร่างกายผอมแห้งนั่งกอดเธออยู่ตรงกลาง กำลังร้องไห้ระงม พร้อมกับชายหญิง ซึ่งน่าจะเป็นพ่อแม่ของเด็ก กำลังพยายามปกป้องพวกเขาจากหญิงชราคนหนึ่งที่กำลังถือไม้ฟาดใส่พวกเขาไม่หยุด พร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งที่เพียงมองดูอย่างชอบใจ ไม่คิดจะห้ามปราม

“ไปเลยนะพวกกาฝาก อยู่ก็เปลืองข้าวเปลืองน้ำ ไสหัวออกไปให้พ้น”เสียงหญิงชรา ด่าทอ ปนหอบด้วยความเหนื่อย หลังจากใช้ไม้ตีไปหลายครั้ง

“ท่านแม่ โปรดหยุดมือเถิดขอรับ”ชายที่พยายามเอาตัวเขารับไม้ที่หญิงชราหวดลงมาแทนลูกเมียของเขาหันมาขอร้องอีกฝ่าย

“หยุดมือรึ ถ้าอยากให้ข้าหยุดมือ แกก็เอาพวกตัวซวยนี้ไปขายซะ”หญิงชราถลึงตาใส่ชายหนุ่มซึ่งเป็นลูกติดสามี

“ไม่ได้นะครับ พวกเขาคือลูกของข้า ข้าไม่มีวันขายลูกเด็ดขาด”ชายหนุ่มหน้าเผือดสีเมื่อได้ยินหญิงชราสั่ง

“ไม่ขายอย่างนั้นรึ ไม่ขายก็ไสหัวออกไปจากบ้านข้า”หญิงชราโกรธจนตัวสั่น เมื่อเงิน 500 ตำลึง กำลังจะปลิวหาย เมื่อไม่สามารถขายหลานสาวสองคนออกไปได้

“ใช่ท่านแม่ เราเลี้ยงพวกเขาไม่ไหวแล้ว ทำงานได้แค่สองคน แต่กินกันตั้งหกปาก ใช้ได้ที่ไหน”เสียงแหลมสูงของหญิงรูปร่างอ้วนซึ่งเป็นสะใภ้รองของบ้าน เดินออกมาอยู่ข้างๆหญิงชราพร้อมวาจายั่วยุ

“ข้าอุตส่าห์จะหารายได้เข้าบ้าน แถมลดภาระภายในครอบครัวของเรา โดยขายลูกพวกพี่ออกไปสักสองคนจะเป็นไรไป มีกันตั้งสี่คน อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้ขายทั้งหมด อีกอย่างเงินที่ได้มาก็จะได้เอามเพิ่มในสินสอดของข้าด้วย จะได้ช่วยให้ตระกูลเราไม่ต้องอับอาย ที่สินสอดน้อย ”หญิงสาวร่างโปร่งบางเดินออกมาสมทบกับหญิงชรา มองกลุ่มคนที่กอดกันรั่วไห้อย่างหงุดหงิดไม่ได้ดังใจ

“เจ้าจะใจร้ายใจดำกับหลานได้ลงคอเชียวรึ อาอวี่”ผู้เป็นพี่ชายหันไปมองน้องสาวที่เขาเคยเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กด้วยความไม่อยากเชื่อ ที่จะได้ยินคำพูดนี้หลุดออกมาจากปากน้องสาว แม้จะไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ แต่เขาก็เป็นคนเลี้ยงดูมา ถ้าเกิดเขากลับมาไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกเมียเขา เขาแค่เดินทางไปกับขบวนคุ้มกันเพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้นเอง ดีที่เขาแยกตัวกับบิดา และน้องชายทั้งสองกลับมาก่อน

“เกิดอะไรขึ้น นางหลี่” ผู้ใหญ่บ้านที่เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ ตามหลังด้วยลูกบ้านอีกห้าหกคนที่วิ่งไปแจ้งเรื่อง ต่างมองไปยังเด็กน้อยที่กอดกันร้องไห้อยู่อย่างเวทนา

“ผู้ใหญ่บ้าน!”นางหลี่หันไปมองด้วยความตกใจ เมื่อเห็นผู้ใหญ่บ้านเดินเข้ามาภายในลานบ้าน

“นี่เจ้าทำอะไร ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตาหรอกรึ ถึงได้ทุบตีเด็กๆหนักขนาดนี้”ผู้ใหญ่บ้านมองไปยังเด็กหญิงร่างเล็กทีถูกล้อมอยู่ตรงกลางอย่างตกใจ เมื่อเห็นใบหน้าเล็กนั้นอาบไปด้วยเลือด แววตามองไปรอบๆอย่างงุนงง ของเด็กหญิงนั้นช่างน่าสงสารนัก

“เรื่องภายในเรือนข้า เกี่ยวอะไรกับผู้ใหญ่ นังเด็กนั้นมันหาเรื่องเอง”นางหลี่ตะเบ็งเสียงใส่ผู้ใหญ่อย่างไม่สนใจ อย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องในครอบครัว ไม่มีที่ให้ผู้ใหญ่มาสอดมืออยู่แล้ว

“เด็กมันหาเรื่อง เจ้าก็ต้องตีจนขนาดเลือดตกยางออกเลยหรือ”ผู้ใหญ่ตวาดเสียงแข็งใส่คนที่ไม่ยอมรับผิด

“เกิดอะไรขึ้นมีใครบอกข้าได้บ้าง”ผู้ใหญ่หันไปสอบถามคนรอบข้าง

“ย่า จะขายน้องสามกับน้องสี่ แต่ข้าไม่ยอมเลยให้น้องๆหนี แต่ย่าก็ให้คนไล่ตีน้องขอรับดีที่ท่านแม่กับท่านพ่อมาทัน”เสียงเด็กชายที่ผอมแห้ง ใบหน้ามอมแมมดวงตาแดงก่ำ พยายามแข็งใจพูด พร้อมกับสะอื้นด้วยความอัดอั้นที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้ มารดาเขาถูกสั่งให้ไปทำงานแต่เช้า เพื่อป้องกันไม่ให้นางรู้ว่าจะมีคนแอบจะขายลูกสาวนาง ดีที่น้องรองวิ่งไปตามมารดามาทัน และดีที่บิดากลับมาทันเช่นกัน

“นางหลี่ นี่เจ้าถึงขั้นจะขายหลานๆกินเลยหรือ”ผู้ใหญ่บ้านใหญ่ไปตวาดนางหลี่ด้วยความโมโห

“ทำไม ข้าเลี้ยงมันมาตั้งนาน ให้พวกมันแสดงความกตัญญูแค่นี่จะเป็นไร”นางหลี่ตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ถ้าวันนี้เธอขายพวกมันไม่ได้ ก็ต้องไล่ออกไปให้พ้น ไม่ให้อยู่เกะกะสายตา เป็นหนามตำใจเธออีกต่อไป

“เจ้า! มีใครที่ไหนทำแบบเจ้าบ้าง หานตงก็ไม่ใช่คนที่ทำงานหนักที่สุดในบ้านหรอกหรือ เงินที่เขาหามาก็ไม่ใช่น้อย จะไม่พอเลี้ยงลูกเมียเขาได้อย่างไร”ผู้ใหญ่บ้านอดโมโหหญิงแก่ไม่มีหัวคิดคนนี้ไม่ได้

“เฮอะ ลำพังหาแค่คนเดียวมันจะไปพอกินอะไร ไหนจะนังเด็กขี้ขโมยนั้นอีก กล้าขโมยกินอาหารข้า ไม่ตีมันให้ตายก็บุญแล้ว”นางหลี่ตวาดอย่างเหลืออด มองไปยังเด็กๆแววตาโกรธแค้น

“จิวเออร์ไม่ได้ขโมย เป็นเสี่ยวหมิงต่างหากที่แอบขโมย”เด็กชายที่กอดน้องสาวนิ่งออยู่หันไปเอ่ยเถียงด้วยความโกรธ

“กรี๊ด เจ้ารอง อย่ามาใส่ร้ายเสี่ยวหมิงลูกข้านะ เขาไม่ได้ทำ”หญิงอ้วนตวาดขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายพูกจบ

“ใช่ท่านแม่ ข้าไม่ได้ทำแน่นอน”เสียวหมิง รีบเอ่ยสำทับคำพูดของมารดา พร้อมกับมองเหล่าพี่น้องนั้นอย่างเย้ยหยัน

“พอได้แล้ว นางหลี่ เจ้าควรเรียกหมอมาดูหลานสาวท่านนะ ดูสิเลือดไหนอาบหน้าไปหมดแล้ว”ผู้ใหญ่บ้านพยายามห้ามปราม

“เรียกหมอ ก็ต้องใช้เงินนะสิ ไม่มีทาง”นางหลี่สะบัดเสียงอย่างโกรธแค้น แค่คิดว่าเงินจะกระเด็นออกจากถุงเธอก็แทบหน้ามืด

“เฮ้ย แกเป็นย่าจะปล่อยให้เด็กเสียเลือดจนตายรึ จะใจดำเกินไปแล้ว”ผู้ใหญ่บ้านโมโหจนแทบกระอัก

“ท่านพ่อ พาน้องไปหามองเถอะเจ้าค่ะ น้องเลือดไหนแล้ว”เสียงแผ่วเบาเอ่ยเรียกบิดา เมื่อมือเล็กพยายามเช็ดเลือดออกจากใบหน้าของผู้เป็นน้องสาว แต่มันก็ไม่ยอมหยุดซักที

“ใช่ท่านพี่ ช่วยลูกเราด้วย ช่วยจิวเออร์ด้วย”ผู้เป็นมารดาร้องไห้ราวกับจะขาดใจ เมื่อมองเห็นใบหน้าเล็กๆเปื้อนด้วยเลือด

“ไปเชิญท่านหมอมา”เสียงชราดังลั่น ก่อนจะปรากฏร่างของผู้เป็นบิดา พร้อมกับน้องชายอีกสองคน ของหานตง และร่างของน้องชายคนเล็ก ก็หันหลังกลับ รีบเร่งเดินออกจากบ้านไปตามคำสั่งบิดา

“ท่านพ่อ/ท่านพี่”เสียงอุทานด้วยความตกใจ เมื่อเห็นผู้ที่ปรากฏตัวออกมา นางหลี่ ใบหน้าซีดเผือด ร่างอวบอ้วนสั่นน้อยๆ

“มันเกิดอะไรขึ้น หานตง อุ้มเด็กๆเข้าบ้านไปก่อน”บิดาหันไปสั่งลูกชายที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่ พร้อมมองเด็กที่กอดกันร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจ หลายปีแล้วที่เขาทำเป็นมองไม่เห็น ว่านางหลี่ทรมารลูกชายเขาอย่างไร หลายปีแล้วที่เขาได้แต่เก็บความเจ็บปวดไว้ในใจ เพื่อให้ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า แต่เขาไม่รู้เลยว่าลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลานเขา จะได้รับความไม่เป็นธรรมมากมายเพียงนี้ หานเหวินเทียนได้แต่มองลูกชายคนโตของเขา อุ้มลูกสาวคนเล็ก เดินไปยังห้องฝั่งตะวันตก ด้วยแววตาเสียใจสุดซึ้ง ชายชราถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม พร้อมกับที่ลูกชายคนเล็กพาท่านหมอเดินตามเข้าไปที่ห้อง

“ท่านพี่ พี่รอง พวกพี่กลับมาแล้ว เข้าบ้านเถอะเจ้าค่ะ”ลูกสาวคนเล็กที่เขารัก ที่สุดร้องเรียกบิดาเสียงหวาน ช่างขัดกันกับคำพูดที่เขาได้ยินก่อนหน้านี้จริงๆ ดวงตาจึงเกิดริ้วรอยเจ็บปวดแวบนึ่ง ก่อนเลือนหาย

“เฒ่าหาน เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว ดูสิ่งที่ลูกเมียเจ้าทำกับหานตงสิ”ผู้ใหญ่บ้านเดินเข้ามาหา พร้อมกับส่ายหน้าไปมา อย่างจนคนพูด

“ข้าได้ยิน หมดแล้ว”เฒ่าหาน ตอบผู้ใหญ่บ้านใบหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะหันไปมองนางหลี่ ที่ยืนนิ่งเฉย ไม่ทุกไม่ร้อน กับความผิดของตัวเองเลยสักนิด

“หานตง หาเงินให้เจ้าไม่ใช่น้อย ทั้งไปรับจ้างคุ้มภัย ทั้งงานตามทุ่งนา ว่างก็ขึ้นเขา ออกทะเล หาอาหารมาให้เจ้าได้กิน ได้ขายอยู่ตลอด ทำไมเจ้าไม่นึกถึงความดีของเขาบ้าง”เสียงเฒ่าหาน เอ่ยกับผู้เป็นภรรยาที่เขาแต่งเข้ามาหลังจากที่มารดาของหานตงเสียชีวิต ด้วยว่าอยากหาคนมาช่วยดูแลลูกชายที่ยังเล็ก เริ่มแรกเดิมที่นางหลี่ก็ทำตัวดี ดีมากจนเขาวางใจ แต่พอมีลูกของตัวเอง เท่านั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป แต่ถึงไม่รักหานตง แค่ไม่รังแก หรือข่มเหง เขาก็พอใจแล้ว

“หึ ลูกชายข้าก็หาได้ ลำพังเขาคนเดียวจะพอกินพอใช้รึ ไหนจะลูกเมียขี้โรคพวกนั้นล่ะ ตัวพลาญเงินทั้งนั้น”นางหลี่ถลึงตาใส่สามี คำพูดที่พ่นออกมาแทบฟังไม่ได้ ทำให้ชาวบ้านส่ายหน้าอย่างเอือมระอา

“นางหลี่ แล้วหานตง ไม่ใช่ลูกหรือไง ทำไมต้องแบ่งแยก”เฒ่าหาน มองนางหลี่ด้วยแววตาโกรธเคือง

“ท่านพ่อ ท่านแม่ใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ”บุตรสาวของทั้งสองพยายามเข้าห้าม เมื่อเห็นบิดากำลังโกรธผู้เป็นมารดา และคราวนี้เธอรู้ว่าบิดาโกรธมารดาจริงๆ ถึงทุกครั้งเวลาทะเลาะกัน มารดาจะเป็นฝ่ายชนะอยู่เสมอ ด้วยบิดาไม่อยากถือสา แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เธอมองเห็นแววตาห่างเหินที่บิดามองมารดาและเธอได้ชัดเจน มันทำเอาใจเต้นระทึกด้วยความหวาดกลัว

“ข้าปล่อยให้เจ้ารังแกชีวิตหานตง มานานแล้วเกินไปแล้ว พอสักทีเถอะ”ผู้เฒ่าหานถอนใจยาวด้วยเหน็ดเหนื่อย

เขาไม่มีแรงใจจะยื้อต่อไปอีกแล้ว คงถึงเวลาที่เขาจะปล่อยให้บุตรชายแยกไปใช้ชีวิตครอบครัวตามลำพังแล้ว

ตอนที่ 2

ตอนที่ 2

“ไปเรียกหานตงออกมา ผู้ใหญ่ ขอเชิญอยู่เป็นพยานให้ข้าด้วย”เฒ่าหานสั่งบุตรชาย พร้อมกับหันไปเอ่ยขอร้องผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบ

“จิวเออร์เป็นยังไงบ้าง” เฒ่าหานมองลูกชายคนโตด้วยแววตาสำนึกผิด ใบหน้าชรา ราวกับแก่ขึ้นไปอีกหลายปี

“หมอกำลังตรวจอาการขอรับ”หานตงตอบผู้เป็นบิดา น้ำเสียงแฝงแววกังวล

“ยาที่ควรกิน ควรบำรุงเจ้าให้หมอจัดมาให้เลย ไม่ต้องประหยัด”บิดาเอ่ยบอกลูกชายอย่างปราณี ผิดกับนางหลี่ ที่แววตาเหลือกโผล่ง สีหน้าแสดงความไม่ยินยอม กำลังจะอ้าปาก ก็ถูกลูกสาวดึงไว้เสียก่อน

“หานตง พ่อขอโทษเจ้า ที่ดูแลเจ้าและครอบครัวไม่ดี ปล่อยให้นางหลี่รังแกพวกเจ้ามานาน พ่อเสียใจ”ผู้เป็นบิดากล่าวกับบุตรชาย น้ำเสียงเจ็บปวด

“ท่านพ่อ ลูก..” หานตงมองผู้เป็นบิดา ดวงตาแดงก่ำ

“รังแกอะไร ตาแก่ อยู่บ้านเดียวกัน ก็ต้องช่วยกันทำงาน จะให้นั่งๆนอนๆเป็นคุณหนูรึไง”นางหลี่ตวาดแว๊ดด้วยความไม่พอใจ

“อย่าคิดว่าข้า หูหนวกตาบอด มองไม่เห็น เด็กอายุ ไม่กี่ขวบ เจ้าก็ให้ทำงานตั้งแต่เช้ายันมืด ข้าวอาหารก็น้อยนิด โจ๊กยังใสยิ่งกว่าน้ำข้าวอีก ไหนจะสะใภ้ใหญ่ งานบ้านทั้งหมด เจ้าก็ให้นางทำเพียงคนเดียว ไหนจะทำอาหาร ในจะต้องทำงานในไร่ คุณอื่นมีใครมาช่วยสะใภ้ใหญ่บ้าง ที่ร่างกายนางไม่ไหว ก็เพราะเจ้าใช้งานเสียยิ่งกว่าทาสเสียอีก ยังไม่พอ เงินที่หานตงหามาได้ เคยไหมที่จะถึงมือครอบครัวเขา แล้วพวกเขา เคยบ่นเจ้าสักคำไหม”เฒ่าหานกล่าวอย่างเหลืออด นางหลี่อ้าปากพงาบๆอยากเถียง แต่ไม่มีตรงไหนให้เธอเถียงได้เลย

“หึ มันเป็นหน้าที่ของสะใภ้ที่ต้องแสดงความกตัญญู อยู่แล้ว อีกอย่างข้าก็เลี้ยงหานตงมาตั้งแต่เล็ก เขาจะแสดงความกตัญญูต่อข้าแบบนี้ก็สมควรแล้ว”นางหลี่เถียงกลับอย่างข้างๆคูๆ

“พอ เลิกพูดได้แล้ว หานตง พ่อจะให้เจ้าแยกบ้าน เจ้าจะว่ายังไง”เฒ่าหาน เอ่ยถามลูกชาย

“ท่านพ่อ”หานตงเงยหน้าขี้นมองบิดาด้วยความตกใจ ดวงตาปรากฏแววควาดหวังพลาดผ่าน

“กรี๊ด ไม่ได้ ข้าไม่ให้แยก”นางหลี่กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆเฒ่าหานจะแยกบ้านให้หานตง ถึงแม้เธอจะเคยเอ่ยปากขับไล่ ลูกกับเมียของเขา แต่นางก็ไม่เคยอยากให้หานตงแยกออกไป ถ้าเธอยอมนั่นหมายถึง เงินทองที่เคยได้จะหายไป เธอไม่ยอมเด็ดขาด

“ท่านพ่อ ไม่ได้นะจะให้พี่ใหญ่ย้ายออกไปได้อย่างไร มันจะทำให้คนอื่นคิดไม่ดีและเอาไปนินทรารึเปล่า”อวี่เออร์ตกใจรีบกล่าวห้ามปรามผู้เป็นบิดา ถ้าครอบครัวพี่ใหญ่ย้ายออกไป ใครจะทำงานบ้าน ทำอาหาร ล่ะ แค่คิดเธอก็หน้ามืดครึมเสียแล้ว

“เจ้าว่าอย่างไร หานตง ไม่ต้องสนใจใครทั้งนั้น เอาตามที่เจ้าสบายใจ”เฒ่าหานไม่สนใจท่าทีร้อนใจของลูกเมีย เอ่ยถามบุตรชายคนโต

“ท่านพ่อ ข้าอยากแยกบ้านขอรับ”หานตงตอบผู้เป็นบิดา แววตาแน่วแน่

“ไม่ได้/ไม่ยอม/ข้าไม่ยอมให้แยก”สามเสียงตะเบ่งออกมาพร้อมกัน ของผู้เป็นสะใภ้รอง ลูกสาวคนเล็ก และนางหลี่

“ดี”เฒ่าหานพยักกับคำตอบของบุตรชาย โดยไม่สนใจฟังเสียงใครทั้งนั้น

“ผู้ใหญ่บ้านรบกวน ท่านเป็นพยานในการแยกบ้านครั้งนี้ด้วยขอรับ”เฒ่าหานหันไปกล่าวกับผู้ใหญ่บ้านที่นั่งเงียบฟังการเจรจาของคนในครอบนี้

“ได้ เช่นนั้น ท่านจึงแจกแจงมา ข้าจะทำการบึนทึกให้”ผู้ใหญ่บ้านรับเอาพู่กันกระดาษและหมึกมาเตรียมร่าง

“บ้านฝั่งตะวันตกหลังนี้ให้หานตง”เฒ่าหานเอ่ยขึ้น

“ข้าไม่ให้ บ้านหลังนี้ ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าจะให้ ข้ายอมสู้ตายกับเจ้า”นางหลี่มองเฒ่าหาน ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ เมื่อไม่สามารถห้ามเรื่องแยกบ้านได้ แต่เธอจะต้องไม่สูญเสียอะไรไปอีก

“แต่บ้านหลังนี้ เป็นของหานตงตั้งแต่แรก”เฒ่าหานมองนางหลี่ด้วยใบหน้าดำมือ เมื่อเห็นความโลภของอีกฝ่าย

“ไม่ได้ ห้องทางตะวันตก ข้าจะยกให้ลูกสาม หากเขากับจากเล่าเรียนเขาจะได้มีห้องอยู่กับครอบครัวของเขา”นางหลี่ เอาลูกชายที่เป็นความหวังของเธอและตาเฒ่าหานขึ้นมาอ้าง ทำให้อีกฝ่ายชะงัก

“ท่านพ่อไม่ต้องขอรับ ข้าไม่ต้องการอยู่ที่นี่ ท่านพอให้ที่อื่นข้าเถอะ”หานตง มองความลำบากใจของผู้เป็นบิดา เขาเข้าใจ และอีกอย่างเขาไม่อยากอยู่บ้านหลังนี้อีกต่อไป เขาไม่ไว้ใจ เขาห่วงลูกเมียจะถูกรังแกอีกครั้ง

“แต่มันเป็นสมบัติของมารดาเจ้าครึ่งหนึ่ง”เฒ่าหานยังมีความลำบากใจ และติดละอายใจไม่น้อย ที่ไม่สามารถรักษาสมบัติของภรรยาคนแรก ให้บุตรชายได้

“งั้นก็เอาที่ดินติดชายเขา บ้านเดิมไปก็แล้วกัน”เฒ่าหานเอ่ยด้วยความหนักใจ ที่ดินบ้านเดิม ติดชายเขามีมีบ้านเดิมขนาด สองห้อง อยู่หลังหนึ่ง ซึ่งทรุดโทรมไปมากแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะใช้การได้ไหม กับที่ดินอีกสิบหมู่

“ไม่ได้ ไม่ให้”นางหลี่ตวาดแหวด้วยความไม่พอใจ เธอไม่ต้องการให้อะไรลูกเลี้ยงคนนี้ ไปแม้แต่อย่างเดียว

“จะมากไปแล้วนะนางหลี่ ที่ดินตรงนั้น ก็เป็นสินเดิมของมารดาหานตง เจ้าจะไม่ให้อะไรเขาไปซักอย่างเลยรึไง”ผู้ใหญ่บ้านอดที่จะโมโหความเห็นแกตัวของนางหลี่ไม่ได้

“ท่านพ่อขอรับข้า..”หานตงรู้สึกถึงความลำบากใจของบิดา

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ผู้ใหญ่บันทึกไปเลย ที่ตรงตีนเขาบ้านเดิมนั้น ให้หานตรง พร้อมที่ดินสิบหมู่ยกให้เขา”เฒ่าหานไม่สนใจนางหลี่ เอ่ยกับผุ้ใหญ่บ้านโดยตรง หานตงมองบิดาด้วยความซาบซึ่ง นางหลี่ได้แต่ทำเสียงฮึดฮัด

“ส่วนของใช้ในบ้าน และอาหาร”เฒ่าหาน เอ่ยขึ้น เตรียมแบ่งสิ่งของภายในบ้าน

“ไม่ได้ ข้าไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว นอกจากของในห้องตะวันตก ข้าจะไม่ได้ลูกเจ้ามาหยิบอะไรออกไปจากบ้านข้าได้แม้แต่อย่างเดียว”นางหลี่ ลุกขึ้นตะโกนด้วยความโมโห เมื่อเห็นสามีกำลังจะเข้ามาก้าวกายภายในเรือน

“ท่านแม่ ท่านควรให้อาหารพี่ใหญ่ไปบ้างนะขอรับ ถ้าไม่ให้ แล้วเด็กๆจะเอาอะไรกิน”บุตรชายคนเล็กพูดขึ้น เมื่อแม่เขาไม่คิดมีน้ำใจให้ผู้เป็นพี่ใหญ่และหลานๆของเขาเลยแม่แต่น้อย ทั้งยังรู้สึกระอายใจในสิ่งที่มารดาทำ

“อย่ามายุ่ง”มารดาหันไปตวาดบุตรชายคนเล็ก ที่อายุสิบห้าปี เมื่ออีกฝ่ายกำลังเข้าข้างคนอื่น โดยมีพี่สาวอย่างอวี่เอร์เบะปากมองน้องชายอย่างรังเกียจ

“ท่านพ่อขอรับ ไม่ต้องขอรับ ข้าพร้อมจะไปโดยไม่เอาหารก็ได้ขอรับ”หานตงใบหน้าเคร่งขรึม เอ่ยกับใบหน้า

“เจ้ามันช่างเห็นแก่ตัว ใจดำ”เฒ่าหานใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ มองภรรยาราวกับไม่เคยเห็น

“หึ เจ้าก็เห็นแก่ตัวจะแบ่งอาหารให้ลูกเจ้า แล้วลูกข้าอีก สี่คนล่ะ ใหนจะสะใภ้อีกสอง แล้วหลานอีก ถ้าให้พวกเขา แล้วลูกข้าจะพอกินได้อย่างไร แล้วไม่ต้องพูดถึงเรื่องแบ่งเงินนะ ข้าไม่มีให้ ข้าต้องเตรียมไว้สำหรับค่าเล่าเรียนของลูกสาม และลูกสี่ที่กำลังจะออกเรือน”นางหลี่แจกแจงอย่างเห็นแก่ตัว ทำเอาคนที่ได้ฟังถึงกับเบือนหน้าหนี รับไม่ได้ ร่างสูงใหญ่ของเฒ่าหานสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ

“ท่านพ่อ ข้าไม่เอาขอรับ แค่ท่านให้ครอบครัวข้าแยกตัวออกไป ข้าก็พอใจแล้วขอรับ”หานตงมองผู้เป็นบิดา อย่างเข้าใจ เขารู้ถึงความลำบากใจของบิดา

“ได้ พ่อขอโทษเจ้า ที่ทำให้เจ้าลำบาก”เฒ่าหานพูดกับบุตรชายแววตาเสียใจ ที่เขาช่วยอะไรลูกชายไม่ได้เลย

“ในเมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ก็ลงชื่อซะ นับแต่นี้ หานตง เจ้าก็แยกออกไปใช้ชีวิตให้ดีเล่า”ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยกับสองพ่อลุกอย่างเห็นใจ พร้อมยื่นเอกสารให้ปั้มลายนิ้วมือ และให้ชาวบ้านที่ยังไม่ยอมแยกตัวออกไป มาเป็นพยาน โดยมีนางหลี่ยืนหน้าบูดบึ้งด้วยความไม่พอใจ

“ลำบากท่านแล้วขอรับ”หานตงโค้งตัวให้ผู้ใหญ่บ้าน เมื่อทุกอย่างจบลง

“ไม่เป็นไร เป็นหน้าที่ข้าอยู่แล้ว เจ้าจะซ่อมบ้านเก่าเมื่อไหร่ ให้คนไปบอกข้า ข้าจะให้ชาวบ้านไปชวนเจ้า”ผู้ใหญ่บ้านพูดกับหานตงด้วยความเห็นใจ

“ข้าคงต้องไปดูก่อน ว่าต้องซ่อมอะไรบ้างขอรับ”หานตงกล่าวอย่างนอบน้อม ตอนนี้สภาพจิตใจของเขาดีขึ้น เมื่อได้แยกบ้านแล้ว

“ดี งั้นข้าก็จะกลับแล้ว”ผู้ใหญ่พยักหน้า ก่อนเอ่ยลาและเดินออกไป

“พรุ่งนี้พ่อจะไปดูกับเจ้า ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง”บิดาตบไหล่ผุ้เป็นบุตรชาย พร้อมกับเดินเข้าบ้านพร้อมกับไหล่ที่ไม่อาจตั้งตรงได้อย่างเดิม พร้อมกับนางหลี่และลูกสาว ที่สะบัดหน้าหนีด้วยความไม่พอใจ เดินตามหลังเฒ่าหลี่เข้าบ้าน

“พี่ใหญ่ข้าก็จะไปช่วยท่านเช่นกัน”น้องชายคนเล็กกล่าวกับพี่ชายที่เขานับถือมาโดยตลอด

“ขอบใจมากน้องเล็ก”หานตงมองเด็กหนุ่มอย่างซาบซึ้ง อย่างน้อยน้องคนนี้ก็มีน้ำใจกับเขาและครอบครัวมาโดยตลอด

ตอนที่ 3

“ลูกเป็นอย่างไรบ้าง หลันเออร์”หานตงเดินเข้าไปที่เตียงอย่างเร่งรีบ พร้อมกับเอ่ยถามผู้เป็นภรรยา ที่กำลังเช็ดตัวให้บุตรสาว ที่ยังนอนแน่นิ่ง

“ทานหมอบอกว่า ศีรษะได้รับบาดเจ็บ ต้องรอดูอาการเจ้าค่ะท่านพี่ ข้าเจ็บปวดใจเหลือเกินที่ช่วยลูกไม่ได้”หลันฮวาปล่อยน้ำตาไหลอาบแก้ม มองดูบุตรสาวที่นอนนิ่งด้วยความเจ็บปวด

“เป็นข้าที่ดูแลพวกเจ้าไม่ดี เป็นความผิดของพี่เอง พี่มันอ่อนแอ”หานตงดวงตาแดงก่ำมองไปยังบุตรชายหญิงด้วยความปวดใจ

“ท่านแม่ ท่านพ่อ”ร่างเล็กสามร่างโถมเข้ามาบิดามารดา กอดกันร้องไห้ อย่างหนัก

ร่างเล็กที่นอนนิ่งบนเตียงขมวดคิ้ว เธอนอนฟังเรื่องราวต่างๆมากมาย แล้วไหนจะอาการต้องปวดหัวเพราะแผลที่ศีรษะ ไหนจะต้องปวดหัวเพราะจู่ๆความทรงจำเดิมๆของร่างนี้ ก็หลั่งไหล เข้ามาในศีรษะราวกับสายน้ำ ทำเอาเธอถึงกับสลบไปพักใหญ่ ก่อนจะฟื้นขึ้นมาจากเสียงร้องไห้รุนแรงของครอบครัวที่น่าสงสารนี้

อะไรคือย้อนเวลา อะไรคือจู่ๆมาโผล่ในร่างแสนอ่อนแอนี่ เธอคิดหัวแทบแตกก็คิดไม่ออก แถมยังโผล่มายังครอบครัวที่น่าสงสาร แถมยากจนแบบนี้อีก เฮ้อ จากสาวยุค2000 ที่ยังสาวสวยรวยโสด โผล่มายุคจีนโบราณนี่นะ แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไป แค่คิดก็กลุ้มแล้ว

“น้องเล็ก ฟื้นแล้ว ท่านพ่อ”เสียงเด็กชายที่แหบพร่า เพราะเพิ่งจะแตกวัยหนุ่ม เอ่ยเรียก มือเห็นใบหน้าเล็กๆของน้องสาวขมวดยุ่งและดวงตาเริ่มกระพรือไหว

“จิวเออร์ จิวเออร์ลูกแม่ เป็นยังไงบ้าง”หลันฮวาประครองมือเล็กไว้ด้วยความห่วงใย

จิวจิว ลืมตามองขึ้น พร้อมกับกวดตามองไปยังสายตาห้าคู่ที่กำลังจ้องเธอด้วยความเป็นห่วง ทำให้เธอรู้สึกอุ่นวาบภายในใจ นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ไม่เคยได้รับสายตาเป็นห่วงเป็นใยจากคนในครอบครัว ทำเอาดวงตาร้อนผ่าว ไม่รู้สึกสึกนิดว่ามีน้ำใสๆกำลังไหลอ่อล้นดวงตาหงส์คู่งาม

“อย่างร้องเลยจิวเออร์ของพ่อ ไม่เป็นไหร่แล้วคนเก่งของพ่อ”หานตง ไล้นิ้วหัวแม่มือไปยังแก้มของบุตรสาว พร้อมเอ่ยปลอบอีกฝ่าย

“น้องเล็ก”เสียงเรียกเล็กนั้นทำให้เธอละสายตาจากผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นบิดาหันไปมอง เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ผอมแห้ง แต่ดวงตากลมโตนั้น ทำให้เจ้าตัวดูน่ารักไม่ใช่เล่น ที่กำลังส่งยิ้มยินดีมาให้เธอ น่าจะเป็นพี่สาวของร่างนี้ ที่ชื่อ เสี่ยวหลิน และเกิดก่อนเจ้าของร่างเพียงสองปี และร่างนี้ยังมี พี่ชายอีกสอง พี่ใหญ่อายุ 14 พี่รอง อายุ 12 พี่สามอายุ 11 และเจ้าของร่างที่อายุเพียง 9 ขวบ

“ต้าหลง ไปเอายามาให้น้องเร็วเข้า”หานตงบอกลูกชายคนโต

“ดื่มยานี่ก่อนนะจิวเออร์ของแม่ จะได้หายเร็วๆ”ยาดำปี๋ถูกจ่อมาตรงหน้าเธอ ทำหน้ร่างเล็กถึงกับผงะ สมุนไพรดำปี๋ขนาดนี้ รับรองว่าขมสุดๆ ทำเอาเธอถึงกับขยาด

“ดื่มยาแล้ว เดี๋ยวจะได้กินข้าว แล้วเจ้าค่อยนอนนะจิวเออร์”เสียงปลอบประโลม พร้อมกับแววตาเอาใจช่วยจากคนทำครอบครัว ทำเอาเธอทำใจลำบาก จำต้องยอม กลืนยาขมปี้ในลงไปทันที ดีที่ท่านพ่อของร่างนี้ รีบส่งน้ำตามให้ทันทีถึงชะล้างสิ่งที่ขมปี๋นั้นไปได้บ้าง ใบหน้าทุกคนพลันดีขึ้นทันที ที่ร่างเล็กตรงหน้า กินยา ลงไปได้ง่ายกว่าทุกครั้ง

“ท่านพี่ เมื่อครู่ท่านพ่อเรียกท่านไปทำไมรึเจ้าค่ะ”หลันฮวาเอ่ยถามสามี หลังจากประคองลูกสาวนอนนอนหลังตามเดิม

“ท่านพ่อยอมให้เราแยกบ้านแล้วหลันเออร์”หานตงบอกผู้เป็นภรรยา และลูกๆ

“จริงรึค่ะท่านพี่”เสียงถามด้วยน้ำเสียงยินดีปนไม่แน่ใจจากภรรยา หานตงเพียงพยักหน้ารับ

“ดีจังเลยค่ะท่านพ่อ เสี่ยวหลินอยากแยกบ้าน”เสียวหลินตบมือด้วยความดีใจ ใบหน้าผอมเรียวยกยิ้มยางยินดี

“แล้วพวกเจ้าล่ะ ต้าหลง หยางหลง”หานตงยิ้ม พร้อมยกมือขึ้นลูบผมบุตรสาวอย่างเอ็นดู

“พวกเรา ก็อยากแยกบ้านขอรับ ข้าสงสารท่านแม่ และน้องสาวที่ต้องทำงานหนัก แต่กับไม่ได้กินอิ่ม”บุตรชายคนโต เอ่ยตอบบิดาด้วยน้ำเสียงเศร้าใจ เมื่อนึกถึงความลำบากที่พวกเขาได้รับตลอดมา

“ข้าก็อยากแยกบ้านเช่นเดียวกับพี่ใหญ่ขอรับ”หยางหลงพยักหน้าสนับสนุนคำพูดของพี่ชาย

“งั้นเราจะได้แยกบ้าน ปู่ของเจ้ายกที่ดินเชิงเขา สิบหมู่พร้อมบ้านเก่าให้เรา เพียงแต่มันทรุดโทรมไปมาก ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้รึเปล่า และเราไม่ได้อะไรนอกจากของในห้องนี่เท่านั้น คงต้องลำบากพวกเจ้าแล้ว”บิดาเอ่ยตอบบุตรชาย ดวงตาเศร้าหมอง ที่ไม่อาจมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ครอบครัวได้ เพราะความเห็นแก่ตัวของแม่เลี้ยง

“พวกเราไม่กลัวลำบาก ท่านพี่ ขอเพียงครอบครัวเราได้อยู่ร่วมกัน ไม่แยกยากก็พอแล้ว”หลันฮวายังหวาดกลัวไม่หาย ที่เธอเกือบสูญเสียลูกสาวทั้งสองคนไป

“ใช่เจ้าค่ะท่านพ่อ ทุกอย่างต้องดีขึ้นแน่ ข้าจะช่วยท่านพ่อกับท่านแม่ทำงานเองเจ้าค่ะ”เสี่ยวหลินกหพยักหน้าปลอบบิดามารดาน้ำเสียงหนักแน่น เรียกรอยยิ้มจากทุกคนขึ้นมาได้บ้าง

“ได้ งั้นพรุ่งนี้เราไปดูบ้านใหม่เรากัน ส่วนเจ้าดูแลจิวเออร์ที่นี่ พี่จะไปดูกับลุกๆเอง”หานตง หันมาบอกภรรยาด้วยความเป็นห่วง

“ได้เจ้าค่ะ”หลันฮวาพยักหน้าตอบสามี

โฮ้ย เธอเพิ่งมาถึงก็เจอความลำบากแล้วรึ ต้องแยกบ้าน ไปอยู่บ้านเก่า ที่ยังไม่รู้เลยว่าจะอยู่ได้รึเปล่า แถมไม่ให้อะไรติดตัวไปอีกต่างหาก เราจะเอาอะไรกิน เงินล่ะ ข้าวล่ะ ตายแน่ๆ จิวจิวในร่างเด็กน้อย ได้แต่กรอกตาไปมาครวญครางอยู่ในใจ กับชะตาชีวิตที่ไม่ผิดเพี้ยนของตัวเอง

เมื่อได้เวลาทานอาหาร ครอบครัวห้าคนต่างล้อมวงกัน มีเพียงโจ๊กใสๆจางๆเท่านั้น เม็ดข้าวแทบจะนับได้ ในถ้วยอาหารของแต่ละคน กับผัดผักป่าจานเดียว แต่มื้อนี้กับเป็นมื้อที่ทั้งครอบครัวมีความสุขที่สุด เมื่อทุกคนต่างมีความหวังกับชีวิตใหม่ แม้ไม่รู้ว่าจะลำบากแค่ไหน แต่ทุกคนต่างยินดีที่จะก้าวออกไปเผชิญมัน

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0