เหตุที่คนเราต้องเกิดมา ต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่นี้ ก็เพื่อมาชดใช้กรรมที่ได้กระทำไว้ เพราะในทางพระพุทธศาสนาเชื่อว่าเวรกรรมมีจริง บุญ-บาปมีจริง นรก-สวรรค์มีจริง และจะได้รับผลแห่งการกระทำนั้น ๆ อย่างแน่นอน จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับกรรมที่แต่ละคนได้สั่งสมไว้
ในเมื่อบาป-บุญมีจริง คนเราก็เลยกลัวกรรมจะตามทัน เกรงว่าบาปจะติดตัว และคิดเอาเองง่าย ๆ ว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยไปทำบุญทีหลัง” หรือคิดเองเออเองว่าการทำบาป การผิดศีลนิด ๆ หน่อย ๆ เป็นเรื่องเล็ก แต่หารู้ไม่ว่าบาป-บุญนั้นเป็นคนละเรื่องกัน
บาปส่วนบาป บุญส่วนบุญ
บุญกับบาปเป็นสิ่งที่ต้องแยกขาดจากกันให้ชัดเจน อย่าหลงละเมอคิดไปว่าทำบาปไปหนึ่งครั้งแล้วทำบุญหนึ่งครั้งก็สามารถหักลบกลบหนี้กันได้
เมื่อบาปเกิดขึ้นแล้ว จะไม่มีวันหายไป ซึ่งก็แปลว่าเมื่อทำบาปแล้ว บาปนั้นจะนำพาผลแห่งกรรมชั่วกลับมา เช่นเดียวกับ “บุญ” ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วและไม่หายไปเช่นกัน และจะนำพากุศลผลบุญหรือกรรมดีกลับมาสู่ผู้ที่ทำบุญนั้น ๆ โดย “บุญ” และ “บาป” จะให้ผลแยกต่างหากออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
นั่นก็หมายความว่าต่อให้ทำบุญมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถทดแทนกับ “บาป” ที่เคยทำไว้ได้ เพราะบาปก็ส่วนบาป บุญก็ส่วนบุญนั่นเอง
ทำบุญ..ล้างบาป ล้างกรรม?
“บาป” เมื่อเกิดขึ้นแล้วแก้ไขหรือเปลี่ยนไม่ได้ ก็เหมือนการกระทำของคนเราที่เมื่อทำลงไปแล้วไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้ เพราะผลแห่งการกระทำนั้น ๆ ได้เกิดขึ้นแล้ว
บางคนหลงถลำทำบาปไว้มาก พอรู้ตัวอีกทีก็คิดอยากจะล้างบาป อยากจะแก้กรรมในสิ่งที่เคยทำไว้ ถามว่าทำแบบนี้ได้หรือไม่ คำตอบก็คือ ลบล้างบาปไม่ได้แต่บรรเทาได้
ดังนั้นการทำบาป 1 ครั้ง จึงไม่สามารถทำบุญ 10 ครั้งแล้วมาหักลบให้เหลือแต่บุญ จนไม่มีบาปได้ เพราะบาปก็ส่วนบาป บุญก็ส่วนบุญ บาปยังคงอยู่ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่บรรเทาเบาบางลง และที่สำคัญเรายังคงได้รับผลแห่งกรรมของบาปที่ทำลงไปอยู่เช่นเดิม
เปรียบเทียบง่าย ๆ การทำบาปก็เหมือนเกลือ ส่วนการทำบุญเหมือนการเติมน้ำ เมื่อเติมน้ำลงไป ยังไงน้ำผสมเกลือจะยังเค็มอยู่ดี แต่ถ้าหมั่นเติมน้ำ แล้วหยุดใส่เกลือ สุดท้ายบาปนั้นก็จะค่อย ๆ เจือจางไป เหมือนน้ำที่ค่อย ๆ ลดความเค็มลง และถึงจะเค็มน้อยลงแต่อย่าลืมว่ายังไงในน้ำก็ยังมีเกลือ
ดังนั้น วิธีที่จะช่วยบรรเทาให้บาปที่เคยก่อไว้เบาบางลง ก็คือการสั่งสมบุญ ทำบุญ ทำความดี บำเพ็ญกุศล อยู่ในศีลในธรรม ซึ่งจะทำให้ผลกรรมที่เกิดขึ้นนั้นทุเลาลง แต่อย่าลืมว่าการทำบุญหากจะให้ได้รับผลบุญ ต้องประกอบด้วยการทำบุญด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ วัตถุที่ให้ต้องบริสุทธิ์ และผู้รับก็ต้องบริสุทธิ์ จึงจะเกิดเป็นผลบุญอันสมบูรณ์ ดังนั้นหากเจตนาคือการทำบุญเพื่อบรรเทาบาปที่ได้เคยทำไว้ สุดท้ายสิ่งที่ได้คือผลบุญที่ไม่สมบูรณ์
ความเห็น 99
kmalakul
BEST
การตักบาตรเป็นการทำบุญขั้นต่ำ การรักษาศีลเป็นการทำบุญขั้นกลางการนั่งวิปัสนากรรมฐานเป็นบุญขั้นสูงคนเดี๋ยวนี้ไม่รักษาศีลข้อ2/3/4โกหกตอเเหลพูดให้คนหลงผิดเป็นชู้เป็นกิ๊กเเละมือไวหยิบของๆคนอื่นเหล่านี้เป็นการสร้างบาปโดยไม่รู้ตัว
04 ม.ค. 2561 เวลา 22.41 น.
BEST
past present future อดีต ปัจจุบัน อนาคต
ละ ปล่อยวาง ทำใจ เดินสายกลางฯลฯ
"ปล่อย"
รอเวลาตาย
อย่าทำให้ตัวเองเดือดร้อน
อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน
เห็นเยอะ สร้างพระประธาน สร้างฯลฯ
จะกินเจ ชื่ออาหาร กระเพราหมูเจ? ยำปลาดูกฟูเจ?
นุ่งขาวห่มขาว แต่เยอะ!? แทนที่จะสงบ
ตั้งตนเป็นครู อาจารย์ สอนผิดๆ
เชื่อพญานาค ไหว้พระ 9 วัด กอดลูบ สิ่งของ
บูชาสิ่งของ
แยกไม่ออก สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน
เลอะเทอะ
04 ม.ค. 2561 เวลา 23.43 น.
บุญก็ส่วนบุญ บาปก็ส่วนบาป ทำบุญบ่อยๆจะบรรเทาบาปได้ ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน เพราะแยกกันไปแล้ว
04 ม.ค. 2561 เวลา 23.22 น.
Thunderteach
มีพรามณ์คนหนึ่งถามพุทธองค์ว่าคนที่ไปล้างบาปในแม่น้ำคงคาจะทำให้บาปหมดไปได้ไปสวรรค์ พุทธองค์ทรงให้ข้อคิดว่ายังงั้นกุ้ง หอย ปู ปลา ในแม่น้ำคงคาทุกตัวตายำปอล้วก้อไปสวรรค์หมดสิ ..คิดคำตอบด้วยเหตุและปลเองนะครับ
04 ม.ค. 2561 เวลา 22.57 น.
Tawin
เมื่อรู้ว่าทำบาป แล้วสำนึกได้ ต่อไปจะไม่ทำอีก อย่างนี้ยังพอจะล้างบาปได้ แต่ทำบาปเสร็จแล้วไปทำบุญแล้วกลับมาทำใหม่ มันบาปหนักมากยิ่งขึ้นอีก อย่างพระทำผิดวินัยสงฆ์แล้วปลงอาบัติได้ ต่อไปก็ทำผิดอีกปลงอาบัติได้อีก ฉิบหายแล้วครับประเทศไทย
04 ม.ค. 2561 เวลา 19.59 น.
ดูทั้งหมด