13 แหล่งมรดกโลกในอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ 3 ศาสนา
ชัชพงศ์ ชาวบ้านไร่ : เรื่อง / UNESCO : ภาพ
จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง “อิสราเอล” และ “กลุ่มฮามาส” ได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วโลก ในอีกมุมหนึ่ง “ประชาชาติธุรกิจ” ขอพาไปรู้จักอิสราเอลและปาเลสไตน์ให้มากขึ้น ในฐานะดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ของ 3 ศาสนา ทั้งยูดาห์ คริสต์ และอิสลาม ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีมรดกโลกทางวัฒนธรรมรวมกันถึง 13 แหล่ง และบางที่ถูกขึ้นทะเบียนในสภาวะที่กำลังตกอยู่ในอันตราย
ความขัดแย้งระหว่าง “อิสราเอล” กับ“ปาเลสไตน์” สามารถย้อนกลับไปได้ถึง 2,000 ปีก่อน ในบริเวณที่เรียกว่า “เยรูซาเลม” ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นข้อพิพาทเรื่อยมา ซึ่งปัจจุบันอิสราเอลถือว่าอยู่ในพื้นที่ของตน เนื่องจากเคยมีชาวยิวครอบครองมาก่อน
บริเวณดังกล่าวเป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญในอดีต ทำให้ตะวันออกกลางมีผู้คนหลากหลายศาสนาเข้ามาปกครองและอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นศาสนายูดาห์ คริสต์ หรือ อิสลาม
เรื่องราวของปาเลสไตน์เริ่มในสมัยจักรวรรดิออตโตมัน ที่เป็นมุสลิมเข้ามาปกครองช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ก่อนจะตั้งชื่อดินแดนนี้ว่าปาเลสไตน์
ความขัดแย้งของอิสราเอลและปาเลสไตน์เริ่มต้นขึ้นเมื่ออังกฤษยกดินแดนปาเลสไตน์ให้ชาวยิวตามที่ตกลงกันไว้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อมาชาวยิวสามารถสถาปนารัฐเอกราชอิสราเอลได้สำเร็จเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 1948 จึงเกิดการแบ่งแยกดินแดนระหว่างชาวยิวและชาวอาหรับ โดยมีเยรูซาเลมเป็นดินแดนร่วม ซึ่งเกิดความขัดแย้งเรื่อยมา โดยชาติตะวันตกหนุนหลังอิสราเอล ส่วนชาติอาหรับก็หนุนหลังปาเลสไตน์
ปัจจุบัน องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ได้ประกาศขึ้นทะเบียนมรดกโลกในอิสราเอลถึง 9 แห่ง และในปาเลสไตน์ 4 แห่ง
มรดกโลกในอิสราเอล
1.สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา “บาไฮ”
“Baha’i Holy Places in Haifa and the Western Galilee” สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา “บาไฮ” ในเมืองไฮฟาและกาลิลีตะวันตก ที่แห่งนี้มีความหมายทางจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้งต่อผู้ศรัทธาในศาสนาบาไฮ สิ่งปลูกสร้างประกอบด้วยสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด 2 แห่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับศาสดา ได้แก่ สถานสักการะ “พระบะฮาอุลลอฮ์” และสถานสักการะ “พระบาบ” มีอาคารอนุสาวรีย์ และสวนอยู่รอบ ๆ
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของบาไฮแสดงให้เห็นถึงประเพณีอันเข้มแข็งและการแสวงบุญที่เติบโตขึ้นในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ซึ่งดึงดูดผู้ศรัทธาจำนวนมากจากทั่วโลกให้มาเยี่ยมเยือนในแต่ละปี โดยยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 2008
2.เนินดินในคัมภีร์ไบเบิล
“Biblical Tels-Megiddo, Hazor, Beer Sheba” “เทลส์” หรือ เนินดินที่ตั้งถิ่นฐานก่อนประวัติศาสตร์ เป็นลักษณะเฉพาะของพื้นที่ราบเรียบของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก โดยเฉพาะในเลบานอน ซีเรีย อิสราเอล และตุรกีตะวันออก
จากเทลส์มากกว่า 200 แห่งในอิสราเอล โดยแหล่งโบราณคดี เมกิดโด, คัตซอร์ และเบียร์ชีบา แสดงให้เห็นถึงซากเมืองจำนวนมากที่มีความเกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์ไบเบิล และบอกเล่าเรื่องราวที่ซับซ้อนของลิแวนต์ (Levant) ดินแดนฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน บริเวณจอร์แดน เลบานอน อิสราเอล ปาเลสไตน์ และซีเรีย ในสมัยยุคเหล็ก
สถานที่ทั้งสามแห่งสะท้อนให้เห็นถึงความมั่งคั่งรวมทั้งอำนาจของเมืองในยุคสำริดและยุคเหล็กในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ตามพระคัมภีร์ มีระบบรวบรวมน้ำใต้ดินที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับชุมชนเมืองหนาแน่น ร่องรอยการก่อสร้างตลอดระยะเวลานับพันปีบ่งบอกถึงการมีอยู่ของอำนาจแบบรวมศูนย์ กิจกรรมทางการเกษตรที่เจริญรุ่งเรือง การควบคุมเส้นทางการค้า และขั้นตอนสำคัญของการพัฒนาเมืองในภูมิภาค ยูเนสโกขึ้นทะเบียนเนินดินทั้งสามเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2005
3.ถ้ำมาเรชาและเบต-กุฟรินในที่ราบลุ่มจูเดีย
“Caves of Maresha and Bet-Guvrin in the Judean Lowlands as a Microcosm of the Land of the Caves” ยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนถ้ำมาเรชาและเบต-กุฟรินในที่ราบลุ่มจูเดีย เป็นมรดกโลกเมื่อปี 2557 โบราณสถานแห่งนี้มีห้องใต้ดิน 3,500 ห้อง กระจายอยู่ตามกลุ่มอาคารต่าง ๆ ใต้เมืองเก่าอย่างมาเรชาและเบต-กุฟริน บริเวณทางแยกของเส้นทางการค้าไปยังเมโสโปเตเมียและอียิปต์
สถานที่เหล่านี้บ่งบอกถึงวัฒนธรรมสิ่งทอของภูมิภาคและวิวัฒนาการของพวกเขามานานกว่า 2,000 ปี เมื่อมาเรชาซึ่งเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดถูกสร้างขึ้น จนถึงยุคสงครามครูเสด ถ้ำที่ขุดขึ้นมาเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นถังเก็บน้ำ ปั๊มน้ำมัน ห้องอาบน้ำ คอกม้า สถานที่สักการะทางศาสนา ที่หลบภัย และพื้นที่ฝังศพในเขตชานเมือง ห้องขนาดใหญ่บางห้องมีซุ้มโค้งและเสารองรับ
4.เส้นทางเครื่องหอม-นครทะเลทรายในเนเกฟ
“Incense Route-Desert Cities in the Negev” เส้นทางสายเครื่องหอมและนครทะเลทรายในเนเกฟ กระจายไปตามเส้นทางที่เชื่อมโยงไปยังปลายทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการค้ากำยานและยางไม้ที่ทำกำไรได้อย่างมหาศาลจากอาระเบียตอนใต้ไปจนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่ 200-300 ปีก่อนคริสต์ศักราช ด้วยร่องรอยของระบบชลประทานที่ซับซ้อน สิ่งก่อสร้างในเมือง ป้อมปราการ และกองคาราวาน ล้วนบ่งบอกถึงวิถีการตั้งถิ่นฐานของทะเลทรายอันโหดร้ายเพื่อการค้าและการเกษตร โดยยูเนสโกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2005
5.ป้อมปราการมาซาดา
“Masada” มาซาดาเป็นป้อมปราการธรรมชาติที่มีความงดงามในทะเลทรายจูเดียน ทิวทัศน์สามารถมองเห็นไปได้ถึงทะเลเดดซี เป็นสัญลักษณ์ของอาณาจักรอิสราเอลโบราณในการยืนหยัดของชาวยิวเมื่อครั้งเผชิญหน้ากับกองทัพโรมัน
ในคริสต์ศักราช 73 มาซาดาสร้างขึ้นเป็นพระราชวังในสไตล์คลาสสิกของจักรวรรดิโรมันตอนต้น หลังจากที่แคว้นยูเดียกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน ที่นี่เป็นที่หลบภัยของผู้รอดชีวิตกลุ่มสุดท้ายจากการก่อจลาจลของชาวยิว ด้วยเหตุนี้จึงมีคุณค่าเชิงสัญลักษณ์ โดยยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 2001
6.สุสานเบย์ตเชอาริม
“Necropolis of Bet She’arim : A Landmark of Jewish Renewal” สุสานเบย์ตเชอาริมแห่งนี้ประกอบด้วยสุสานหลายแห่ง ซึ่งพัฒนาขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 2 โดยเป็นสถานที่ฝังศพหลักของชาวยิวนอกกรุงเยรูซาเลม หลังจากความล้มเหลวในการประท้วงของชาวยิวเพื่อต่อต้านการปกครองของโรมัน สุสานใต้ดินเหล่านี้ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองไฮฟา เป็นแหล่งสะสมงานศิลปะและคำจารึกในภาษากรีก อราเมอิก และฮิบรู
นอกจากนี้ สุสานเบย์ตเชอาริม ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะต่อศาสนายิวโบราณ ภายใต้การนำของ “รับบี ยูดาห์” ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ฟื้นฟูชาวยิวหลังปีคริสต์ศักราช 135 โดยยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2015
7.เมืองเก่าแห่งเอเคอร์
“Old City of Acre” เมืองเก่าแห่งเอเคอร์เป็นเมืองท่าที่มีกำแพงล้อมรอบ ตั้งอยู่ทางตะวันตกของบริเวณกาลิลีทางตอนเหนือของอิสราเอล ตัวเมืองตั้งอยู่บนแหลมหรือแผ่นดินที่ยื่นออกไปในทะเล มีการตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยฟินีเซียน เมืองปัจจุบันมีลักษณะเป็นเมืองที่มีป้อมปราการตั้งแต่สมัยออตโตมัน โดยมีองค์ประกอบในเมืองทั่วไป
เช่น ป้อมปราการ มัสยิด และห้องอาบน้ำ เอเคอร์เป็นที่ตั้งมั่นสุดท้ายของนักรบครูเสดใน ค.ศ. 1291 ซึ่งซากเมืองยังเกือบจะสมบูรณ์ ทำให้เห็นภาพผังและโครงสร้างของเมืองหลวงของอาณาจักรครูเสดแห่งเยรูซาเลมในยุคกลางได้อย่างยอดเยี่ยม ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก เมื่อปี 2001
8.แหล่งวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ภูเขาคาร์เมล
“Sites of Human Evolution at Mount Carmel : The Nahal Me’arot / Wadi el-Mughara Caves” แหล่งวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ภูเขาคาร์เมล ตั้งอยู่บนเนินเขาด้านตะวันตกของเทือกเขาคาร์เมล ประกอบด้วยถ้ำหลายแห่ง การวิจัยทางโบราณคดีได้เผยให้เห็นลำดับทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นแหล่งเก็บข้อมูลของชีวิตมนุษย์ยุคแรกในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ที่แสดงถึงวิวัฒนาการของมนุษย์อย่างน้อย 500,000 ปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการดำรงอยู่อันเป็นเอกลักษณ์ของทั้งมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลและมนุษย์ยุคใหม่ทางกายวิภาคยุคแรก
พบหลักฐานการฝังศพจำนวนมากและสถาปัตยกรรมหินในยุคแรก ๆ แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากวิถีชีวิตแบบนักล่ามาสู่การเกษตรและการเลี้ยงสัตว์ เป็นผลให้ถ้ำเหล่านี้กลายเป็นสถานที่สำคัญสำหรับวิวัฒนาการของมนุษย์ โดยเฉพาะในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของลิแวนต์ ซึ่งยูเนสโกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2012
9.นครสีขาวแห่งเทลอาวีฟ
“White City of Tel-Aviv – the Modern Movement” ก่อตั้งขึ้นในปี 1909 พัฒนาเป็นเมืองมหานครภายใต้อาณัติของอังกฤษ ส่วนนครสีขาวแห่งเทลอาวีฟสร้างขึ้นต้นทศวรรษ 1930-1950 อาคารได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกที่ได้รับการฝึกฝนในยุโรป ได้รับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมแบบเบาเฮาส์ (Bauhaus) เยอรมนี เน้นความเรียบง่าย โดยคำนึงถึงประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นและสภาพภูมิอากาศ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 2003
มรดกโลกในปาเลสไตน์
1.แหล่งโบราณคดี เทล เอส-สุลต่าน
“Ancient Jericho/Tell es-Sultan” หรือ แหล่งโบราณคดี เทล เอส-สุลต่าน ตั้งอยู่ในเมืองเจริโค ในเขตเวสต์แบงก์ของปาเลสไตน์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การยึดครองของอิสราเอล
เมืองโบราณเจริโค และเทลเอส-สุลต่านประกอบด้วยเนินรูปไข่หรือเนินดิน ซึ่งบ่งบอกถึงกิจกรรมของมนุษย์ที่มีอายุย้อนกลับไปประมาณ 10,500 ปีก่อนคริสตกาล และบ่อน้ำพุซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญสำหรับผู้อยู่อาศัยในบริเวณนี้มานานนับพันปี
การแบ่งชั้นหินของโบราณสถานแห่งนี้แสดงให้เห็นถึงบริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม 2 ยุค ได้แก่ ยุคหินใหม่ และความเป็นเมืองในลิแวนต์ตอนใต้ช่วงยุคสำริด
ช่วง 8,000-9,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เมืองเจริโคและเทลเอส-สุลต่าน ในยุคหินใหม่ได้กลายมาเป็นชุมชนถาวรขนาดใหญ่แล้ว เห็นได้จากลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่หลงเหลืออยู่ เช่น กำแพงที่มีคูน้ำและหอคอย ต่างบ่งบอกถึงการพัฒนาในยุคนั้น และการเปลี่ยนแปลงของมนุษยชาติไปสู่วิถีชีวิตชุมชนที่มแหลางที่อยู่ชัดเจน รวมทั้งเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจแบบยังชีพใหม่ การเปลี่ยนแปลงในการจัดระเบียบทางสังคมและการพัฒนาแนวทางปฏิบัติทางศาสนาด้วย
ส่วนวัสดุโบราณยุคสำริดตอนต้นก็เผยถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการวางผังเมือง ในขณะที่ร่องรอยจากยุคสำริดตอนกลางบ่งบอกการมีอยู่ของนครรัฐคานาอันขนาดใหญ่ พร้อมด้วยศูนย์กลางเมืองและป้อมปราการเชิงเทินที่เป็นนวัตกรรม ซึ่งครอบครองโดยประชากรที่มีความซับซ้อนทางสังคม โดยยูเนสโกเพิ่งประกาศขึ้นทะเบียเป็นมรดกโลกในเดือนกันยายน 2023 ที่ผ่านมา
2.สถานที่ประสูติของพระเยซู
“Birthplace of Jesus: Church of the Nativity and the Pilgrimage Route, Bethlehem” หรือ โบสถ์พระคริสตสมภพ เป็นมหาวิหารในเมืองเบธเลเฮม ปาเลสไตน์ อยู่ห่างจากเมืองเยรูซาเลมไปทางใต้ 10 กิโลเมตร ในพื้นที่ภูเขาหินปูนอันอุดมสมบูรณ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 เป็นอย่างน้อย ผู้คนต่างเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่ประสูติของพระเยซู เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งของศาสนาคริสต์
ในช่วงระยะเวลา ตลอด 1,700 ปีที่ผ่านมา เบธเลเฮมและโบสถ์พระคริสตสมภพเคยเป็นและยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของผู้แสวงบุญ ปลายด้านตะวันออกของเส้นทางดั้งเดิมจากกรุงเยรูซาเลมไปยังโบสถ์ รู้จักกันในชื่อเส้นทางจาริกแสวงบุญ
ณ จุดที่เชื่อว่าพระเยซูประสูติ สร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 565 ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งในศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม โดยได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งแรกในดินแดนปาเลสไตน์เมื่อปี 2012 และอยู่ในรายชื่อแหล่งมรดกโลกที่ตกอยู่ในภาวะอันตรายถึงปี 2019
3.เมืองเก่าเฮบรอน อัลคาลิล
“Hebron/Al-Khalil Old Town” หรือ เมืองเก่าเฮบรอน/อัลคาลิล การใช้หินปูนในท้องถิ่นทำให้เกิดการก่อสร้างเมืองเก่าเฮบรอนและอัลคาลิลในช่วงปี 1250 ถึง 1517 ศูนย์กลางที่น่าสนใจของเมืองคือที่ตั้งของมัสยิดอัล-อิบราฮิมิ และอาคารต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 1 เพื่อปกป้องสุสานของอับราฮัมและครอบครัวของเขา
สถานที่แห่งนี้กลายเป็นที่แสวงบุญของศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน ได้แก่ ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม โดยเมืองนี้ตั้งอยู่ที่สี่แยกเส้นทางการค้าสำหรับคาราวานที่เดินทางระหว่างปาเลสไตน์ตอนใต้ ไซนาย จอร์แดนตะวันออก และทางตอนเหนือของคาบสมุทรอาหรับ ซึ่งต่อมาของยุคออตโตมัน ราว ค.ศ. 1517-1917 ได้ประกาศการขยายเมืองไปยังพื้นที่โดยรอบ และเพิ่มสถาปัตยกรรมจำนวนมาก โดยยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2017 ซึ่งปัจจุบันเป็นมรดกโลกที่ตกอยู่ในสภาวะอันตราย
4.ปาเลสไตน์ : ดินแดนแห่งมะกอกออลิฟและเหล้าองุ่น
“Palestine: Land of Olives and Vines – Cultural Landscape of Southern Jerusalem, Battir” หรือ ปาเลสไตน์: ดินแดนแห่งมะกอกออลิฟและเหล้าองุ่น ภูมิทัศน์วัฒนธรรมทางทิศใต้ของเยรูซาเลม สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเลมไปทางตะวันตกเฉียงใต้เพียงไม่กี่กิโลเมตร ในที่ราบสูงตอนกลางระหว่างนาบลุสและเฮบรอน ภูมิทัศน์เนินเขาบะตรี ประกอบด้วยหุบเขาที่ทำเกษตรกรรมหลายแห่ง โดยมีระเบียงหินที่มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งบางแห่งมีการชลประทานสำหรับการผลิต ในขณะที่บางแห่งแห้งแล้ง มีการปลูกองุ่นและต้นมะกอก
การพัฒนาเกษตรกรรมแบบขั้นบันไดในพื้นที่ภูเขาดังกล่าวได้รับการสนับสนุนด้วยเครือข่ายชลประทานจากแหล่งน้ำใต้ดิน เพื่อแบ่งปันน้ำที่รวบรวมระหว่างครอบครัวต่าง ๆ ในหมู่บ้านบะตีรที่อยู่ใกล้เคียง ยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2014 ปัจจุบันในสภาวะอันตรายเช่นกัน
อ้างอิง : แหล่งมรดกโลก อิสราเอล และ ปาเลสไตน์ จาก ยูเนสโก
เรื่องที่เกี่ยวข้อง