โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

13 แหล่งมรดกโลกในอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ 3 ศาสนา

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 18 ต.ค. 2566 เวลา 10.31 น. • เผยแพร่ 18 ต.ค. 2566 เวลา 09.45 น.
Biblical Tels - Megiddo, Hazor, Beer Sheba

ชัชพงศ์ ชาวบ้านไร่ : เรื่อง / UNESCO : ภาพ

จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง “อิสราเอล” และ “กลุ่มฮามาส” ได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วโลก ในอีกมุมหนึ่ง “ประชาชาติธุรกิจ” ขอพาไปรู้จักอิสราเอลและปาเลสไตน์ให้มากขึ้น ในฐานะดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ของ 3 ศาสนา ทั้งยูดาห์ คริสต์ และอิสลาม ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีมรดกโลกทางวัฒนธรรมรวมกันถึง 13 แหล่ง และบางที่ถูกขึ้นทะเบียนในสภาวะที่กำลังตกอยู่ในอันตราย

ความขัดแย้งระหว่าง “อิสราเอล” กับ“ปาเลสไตน์” สามารถย้อนกลับไปได้ถึง 2,000 ปีก่อน ในบริเวณที่เรียกว่า “เยรูซาเลม” ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นข้อพิพาทเรื่อยมา ซึ่งปัจจุบันอิสราเอลถือว่าอยู่ในพื้นที่ของตน เนื่องจากเคยมีชาวยิวครอบครองมาก่อน

บริเวณดังกล่าวเป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญในอดีต ทำให้ตะวันออกกลางมีผู้คนหลากหลายศาสนาเข้ามาปกครองและอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นศาสนายูดาห์ คริสต์ หรือ อิสลาม

เรื่องราวของปาเลสไตน์เริ่มในสมัยจักรวรรดิออตโตมัน ที่เป็นมุสลิมเข้ามาปกครองช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ก่อนจะตั้งชื่อดินแดนนี้ว่าปาเลสไตน์

ความขัดแย้งของอิสราเอลและปาเลสไตน์เริ่มต้นขึ้นเมื่ออังกฤษยกดินแดนปาเลสไตน์ให้ชาวยิวตามที่ตกลงกันไว้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อมาชาวยิวสามารถสถาปนารัฐเอกราชอิสราเอลได้สำเร็จเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 1948 จึงเกิดการแบ่งแยกดินแดนระหว่างชาวยิวและชาวอาหรับ โดยมีเยรูซาเลมเป็นดินแดนร่วม ซึ่งเกิดความขัดแย้งเรื่อยมา โดยชาติตะวันตกหนุนหลังอิสราเอล ส่วนชาติอาหรับก็หนุนหลังปาเลสไตน์

ปัจจุบัน องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ได้ประกาศขึ้นทะเบียนมรดกโลกในอิสราเอลถึง 9 แห่ง และในปาเลสไตน์ 4 แห่ง

มรดกโลกในอิสราเอล

1.สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา “บาไฮ”

“Baha’i Holy Places in Haifa and the Western Galilee” สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา “บาไฮ” ในเมืองไฮฟาและกาลิลีตะวันตก ที่แห่งนี้มีความหมายทางจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้งต่อผู้ศรัทธาในศาสนาบาไฮ สิ่งปลูกสร้างประกอบด้วยสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด 2 แห่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับศาสดา ได้แก่ สถานสักการะ “พระบะฮาอุลลอฮ์” และสถานสักการะ “พระบาบ” มีอาคารอนุสาวรีย์ และสวนอยู่รอบ ๆ

สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของบาไฮแสดงให้เห็นถึงประเพณีอันเข้มแข็งและการแสวงบุญที่เติบโตขึ้นในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ซึ่งดึงดูดผู้ศรัทธาจำนวนมากจากทั่วโลกให้มาเยี่ยมเยือนในแต่ละปี โดยยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 2008

2.เนินดินในคัมภีร์ไบเบิล

“Biblical Tels-Megiddo, Hazor, Beer Sheba” “เทลส์” หรือ เนินดินที่ตั้งถิ่นฐานก่อนประวัติศาสตร์ เป็นลักษณะเฉพาะของพื้นที่ราบเรียบของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก โดยเฉพาะในเลบานอน ซีเรีย อิสราเอล และตุรกีตะวันออก

จากเทลส์มากกว่า 200 แห่งในอิสราเอล โดยแหล่งโบราณคดี เมกิดโด, คัตซอร์ และเบียร์ชีบา แสดงให้เห็นถึงซากเมืองจำนวนมากที่มีความเกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์ไบเบิล และบอกเล่าเรื่องราวที่ซับซ้อนของลิแวนต์ (Levant) ดินแดนฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน บริเวณจอร์แดน เลบานอน อิสราเอล ปาเลสไตน์ และซีเรีย ในสมัยยุคเหล็ก

สถานที่ทั้งสามแห่งสะท้อนให้เห็นถึงความมั่งคั่งรวมทั้งอำนาจของเมืองในยุคสำริดและยุคเหล็กในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ตามพระคัมภีร์ มีระบบรวบรวมน้ำใต้ดินที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับชุมชนเมืองหนาแน่น ร่องรอยการก่อสร้างตลอดระยะเวลานับพันปีบ่งบอกถึงการมีอยู่ของอำนาจแบบรวมศูนย์ กิจกรรมทางการเกษตรที่เจริญรุ่งเรือง การควบคุมเส้นทางการค้า และขั้นตอนสำคัญของการพัฒนาเมืองในภูมิภาค ยูเนสโกขึ้นทะเบียนเนินดินทั้งสามเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2005

3.ถ้ำมาเรชาและเบต-กุฟรินในที่ราบลุ่มจูเดีย

“Caves of Maresha and Bet-Guvrin in the Judean Lowlands as a Microcosm of the Land of the Caves” ยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนถ้ำมาเรชาและเบต-กุฟรินในที่ราบลุ่มจูเดีย เป็นมรดกโลกเมื่อปี 2557 โบราณสถานแห่งนี้มีห้องใต้ดิน 3,500 ห้อง กระจายอยู่ตามกลุ่มอาคารต่าง ๆ ใต้เมืองเก่าอย่างมาเรชาและเบต-กุฟริน บริเวณทางแยกของเส้นทางการค้าไปยังเมโสโปเตเมียและอียิปต์

สถานที่เหล่านี้บ่งบอกถึงวัฒนธรรมสิ่งทอของภูมิภาคและวิวัฒนาการของพวกเขามานานกว่า 2,000 ปี เมื่อมาเรชาซึ่งเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดถูกสร้างขึ้น จนถึงยุคสงครามครูเสด ถ้ำที่ขุดขึ้นมาเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นถังเก็บน้ำ ปั๊มน้ำมัน ห้องอาบน้ำ คอกม้า สถานที่สักการะทางศาสนา ที่หลบภัย และพื้นที่ฝังศพในเขตชานเมือง ห้องขนาดใหญ่บางห้องมีซุ้มโค้งและเสารองรับ

4.เส้นทางเครื่องหอม-นครทะเลทรายในเนเกฟ

“Incense Route-Desert Cities in the Negev” เส้นทางสายเครื่องหอมและนครทะเลทรายในเนเกฟ กระจายไปตามเส้นทางที่เชื่อมโยงไปยังปลายทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการค้ากำยานและยางไม้ที่ทำกำไรได้อย่างมหาศาลจากอาระเบียตอนใต้ไปจนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่ 200-300 ปีก่อนคริสต์ศักราช ด้วยร่องรอยของระบบชลประทานที่ซับซ้อน สิ่งก่อสร้างในเมือง ป้อมปราการ และกองคาราวาน ล้วนบ่งบอกถึงวิถีการตั้งถิ่นฐานของทะเลทรายอันโหดร้ายเพื่อการค้าและการเกษตร โดยยูเนสโกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2005

5.ป้อมปราการมาซาดา

“Masada” มาซาดาเป็นป้อมปราการธรรมชาติที่มีความงดงามในทะเลทรายจูเดียน ทิวทัศน์สามารถมองเห็นไปได้ถึงทะเลเดดซี เป็นสัญลักษณ์ของอาณาจักรอิสราเอลโบราณในการยืนหยัดของชาวยิวเมื่อครั้งเผชิญหน้ากับกองทัพโรมัน

ในคริสต์ศักราช 73 มาซาดาสร้างขึ้นเป็นพระราชวังในสไตล์คลาสสิกของจักรวรรดิโรมันตอนต้น หลังจากที่แคว้นยูเดียกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน ที่นี่เป็นที่หลบภัยของผู้รอดชีวิตกลุ่มสุดท้ายจากการก่อจลาจลของชาวยิว ด้วยเหตุนี้จึงมีคุณค่าเชิงสัญลักษณ์ โดยยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 2001

6.สุสานเบย์ตเชอาริม

“Necropolis of Bet She’arim : A Landmark of Jewish Renewal” สุสานเบย์ตเชอาริมแห่งนี้ประกอบด้วยสุสานหลายแห่ง ซึ่งพัฒนาขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 2 โดยเป็นสถานที่ฝังศพหลักของชาวยิวนอกกรุงเยรูซาเลม หลังจากความล้มเหลวในการประท้วงของชาวยิวเพื่อต่อต้านการปกครองของโรมัน สุสานใต้ดินเหล่านี้ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองไฮฟา เป็นแหล่งสะสมงานศิลปะและคำจารึกในภาษากรีก อราเมอิก และฮิบรู

นอกจากนี้ สุสานเบย์ตเชอาริม ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะต่อศาสนายิวโบราณ ภายใต้การนำของ “รับบี ยูดาห์” ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ฟื้นฟูชาวยิวหลังปีคริสต์ศักราช 135 โดยยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2015

7.เมืองเก่าแห่งเอเคอร์

“Old City of Acre” เมืองเก่าแห่งเอเคอร์เป็นเมืองท่าที่มีกำแพงล้อมรอบ ตั้งอยู่ทางตะวันตกของบริเวณกาลิลีทางตอนเหนือของอิสราเอล ตัวเมืองตั้งอยู่บนแหลมหรือแผ่นดินที่ยื่นออกไปในทะเล มีการตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยฟินีเซียน เมืองปัจจุบันมีลักษณะเป็นเมืองที่มีป้อมปราการตั้งแต่สมัยออตโตมัน โดยมีองค์ประกอบในเมืองทั่วไป

เช่น ป้อมปราการ มัสยิด และห้องอาบน้ำ เอเคอร์เป็นที่ตั้งมั่นสุดท้ายของนักรบครูเสดใน ค.ศ. 1291 ซึ่งซากเมืองยังเกือบจะสมบูรณ์ ทำให้เห็นภาพผังและโครงสร้างของเมืองหลวงของอาณาจักรครูเสดแห่งเยรูซาเลมในยุคกลางได้อย่างยอดเยี่ยม ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก เมื่อปี 2001

8.แหล่งวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ภูเขาคาร์เมล

“Sites of Human Evolution at Mount Carmel : The Nahal Me’arot / Wadi el-Mughara Caves” แหล่งวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ภูเขาคาร์เมล ตั้งอยู่บนเนินเขาด้านตะวันตกของเทือกเขาคาร์เมล ประกอบด้วยถ้ำหลายแห่ง การวิจัยทางโบราณคดีได้เผยให้เห็นลำดับทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นแหล่งเก็บข้อมูลของชีวิตมนุษย์ยุคแรกในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ที่แสดงถึงวิวัฒนาการของมนุษย์อย่างน้อย 500,000 ปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการดำรงอยู่อันเป็นเอกลักษณ์ของทั้งมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลและมนุษย์ยุคใหม่ทางกายวิภาคยุคแรก

พบหลักฐานการฝังศพจำนวนมากและสถาปัตยกรรมหินในยุคแรก ๆ แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากวิถีชีวิตแบบนักล่ามาสู่การเกษตรและการเลี้ยงสัตว์ เป็นผลให้ถ้ำเหล่านี้กลายเป็นสถานที่สำคัญสำหรับวิวัฒนาการของมนุษย์ โดยเฉพาะในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของลิแวนต์ ซึ่งยูเนสโกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2012

9.นครสีขาวแห่งเทลอาวีฟ

“White City of Tel-Aviv – the Modern Movement” ก่อตั้งขึ้นในปี 1909 พัฒนาเป็นเมืองมหานครภายใต้อาณัติของอังกฤษ ส่วนนครสีขาวแห่งเทลอาวีฟสร้างขึ้นต้นทศวรรษ 1930-1950 อาคารได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกที่ได้รับการฝึกฝนในยุโรป ได้รับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมแบบเบาเฮาส์ (Bauhaus) เยอรมนี เน้นความเรียบง่าย โดยคำนึงถึงประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นและสภาพภูมิอากาศ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 2003

มรดกโลกในปาเลสไตน์

1.แหล่งโบราณคดี เทล เอส-สุลต่าน

“Ancient Jericho/Tell es-Sultan” หรือ แหล่งโบราณคดี เทล เอส-สุลต่าน ตั้งอยู่ในเมืองเจริโค ในเขตเวสต์แบงก์ของปาเลสไตน์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การยึดครองของอิสราเอล

เมืองโบราณเจริโค และเทลเอส-สุลต่านประกอบด้วยเนินรูปไข่หรือเนินดิน ซึ่งบ่งบอกถึงกิจกรรมของมนุษย์ที่มีอายุย้อนกลับไปประมาณ 10,500 ปีก่อนคริสตกาล และบ่อน้ำพุซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญสำหรับผู้อยู่อาศัยในบริเวณนี้มานานนับพันปี

การแบ่งชั้นหินของโบราณสถานแห่งนี้แสดงให้เห็นถึงบริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม 2 ยุค ได้แก่ ยุคหินใหม่ และความเป็นเมืองในลิแวนต์ตอนใต้ช่วงยุคสำริด

ช่วง 8,000-9,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เมืองเจริโคและเทลเอส-สุลต่าน ในยุคหินใหม่ได้กลายมาเป็นชุมชนถาวรขนาดใหญ่แล้ว เห็นได้จากลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่หลงเหลืออยู่ เช่น กำแพงที่มีคูน้ำและหอคอย ต่างบ่งบอกถึงการพัฒนาในยุคนั้น และการเปลี่ยนแปลงของมนุษยชาติไปสู่วิถีชีวิตชุมชนที่มแหลางที่อยู่ชัดเจน รวมทั้งเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจแบบยังชีพใหม่ การเปลี่ยนแปลงในการจัดระเบียบทางสังคมและการพัฒนาแนวทางปฏิบัติทางศาสนาด้วย

ส่วนวัสดุโบราณยุคสำริดตอนต้นก็เผยถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการวางผังเมือง ในขณะที่ร่องรอยจากยุคสำริดตอนกลางบ่งบอกการมีอยู่ของนครรัฐคานาอันขนาดใหญ่ พร้อมด้วยศูนย์กลางเมืองและป้อมปราการเชิงเทินที่เป็นนวัตกรรม ซึ่งครอบครองโดยประชากรที่มีความซับซ้อนทางสังคม โดยยูเนสโกเพิ่งประกาศขึ้นทะเบียเป็นมรดกโลกในเดือนกันยายน 2023 ที่ผ่านมา

2.สถานที่ประสูติของพระเยซู

“Birthplace of Jesus: Church of the Nativity and the Pilgrimage Route, Bethlehem” หรือ โบสถ์พระคริสตสมภพ เป็นมหาวิหารในเมืองเบธเลเฮม ปาเลสไตน์ อยู่ห่างจากเมืองเยรูซาเลมไปทางใต้ 10 กิโลเมตร ในพื้นที่ภูเขาหินปูนอันอุดมสมบูรณ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 เป็นอย่างน้อย ผู้คนต่างเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่ประสูติของพระเยซู เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งของศาสนาคริสต์

ในช่วงระยะเวลา ตลอด 1,700 ปีที่ผ่านมา เบธเลเฮมและโบสถ์พระคริสตสมภพเคยเป็นและยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของผู้แสวงบุญ ปลายด้านตะวันออกของเส้นทางดั้งเดิมจากกรุงเยรูซาเลมไปยังโบสถ์ รู้จักกันในชื่อเส้นทางจาริกแสวงบุญ

ณ จุดที่เชื่อว่าพระเยซูประสูติ สร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 565 ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งในศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม โดยได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งแรกในดินแดนปาเลสไตน์เมื่อปี 2012 และอยู่ในรายชื่อแหล่งมรดกโลกที่ตกอยู่ในภาวะอันตรายถึงปี 2019

3.เมืองเก่าเฮบรอน อัลคาลิล

“Hebron/Al-Khalil Old Town” หรือ เมืองเก่าเฮบรอน/อัลคาลิล การใช้หินปูนในท้องถิ่นทำให้เกิดการก่อสร้างเมืองเก่าเฮบรอนและอัลคาลิลในช่วงปี 1250 ถึง 1517 ศูนย์กลางที่น่าสนใจของเมืองคือที่ตั้งของมัสยิดอัล-อิบราฮิมิ และอาคารต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 1 เพื่อปกป้องสุสานของอับราฮัมและครอบครัวของเขา

สถานที่แห่งนี้กลายเป็นที่แสวงบุญของศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน ได้แก่ ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม โดยเมืองนี้ตั้งอยู่ที่สี่แยกเส้นทางการค้าสำหรับคาราวานที่เดินทางระหว่างปาเลสไตน์ตอนใต้ ไซนาย จอร์แดนตะวันออก และทางตอนเหนือของคาบสมุทรอาหรับ ซึ่งต่อมาของยุคออตโตมัน ราว ค.ศ. 1517-1917 ได้ประกาศการขยายเมืองไปยังพื้นที่โดยรอบ และเพิ่มสถาปัตยกรรมจำนวนมาก โดยยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2017 ซึ่งปัจจุบันเป็นมรดกโลกที่ตกอยู่ในสภาวะอันตราย

4.ปาเลสไตน์ : ดินแดนแห่งมะกอกออลิฟและเหล้าองุ่น

“Palestine: Land of Olives and Vines – Cultural Landscape of Southern Jerusalem, Battir” หรือ ปาเลสไตน์: ดินแดนแห่งมะกอกออลิฟและเหล้าองุ่น ภูมิทัศน์วัฒนธรรมทางทิศใต้ของเยรูซาเลม สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเลมไปทางตะวันตกเฉียงใต้เพียงไม่กี่กิโลเมตร ในที่ราบสูงตอนกลางระหว่างนาบลุสและเฮบรอน ภูมิทัศน์เนินเขาบะตรี ประกอบด้วยหุบเขาที่ทำเกษตรกรรมหลายแห่ง โดยมีระเบียงหินที่มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งบางแห่งมีการชลประทานสำหรับการผลิต ในขณะที่บางแห่งแห้งแล้ง มีการปลูกองุ่นและต้นมะกอก

การพัฒนาเกษตรกรรมแบบขั้นบันไดในพื้นที่ภูเขาดังกล่าวได้รับการสนับสนุนด้วยเครือข่ายชลประทานจากแหล่งน้ำใต้ดิน เพื่อแบ่งปันน้ำที่รวบรวมระหว่างครอบครัวต่าง ๆ ในหมู่บ้านบะตีรที่อยู่ใกล้เคียง ยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2014 ปัจจุบันในสภาวะอันตรายเช่นกัน

อ้างอิง : แหล่งมรดกโลก อิสราเอล และ ปาเลสไตน์ จาก ยูเนสโก

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...