โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

นักกม.เตือนรัฐโยกประเด็นความผิด serious tax crime ไปไว้ใน กม.ปปง.ป้องกันหว่านแห

อินโฟเควสท์

อัพเดต 15 ก.ค. 2564 เวลา 07.12 น. • เผยแพร่ 15 ก.ค. 2564 เวลา 07.00 น. • สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ศ.พิเศษ พิภพ วีระพงษ์ และ นางสาว ปรางค์ทิพย์ อนันตวิภาต จาก บริษัท ลอว์อัลลายแอนซ์ จำกัด นำเสนอบทความ " วิภาษภาษี"  โดยระบุว่า ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยเรื่องพิจารณาที่ 7/2563 ว่ามาตรา 37 ตรีแห่งประมวลรัษฎากร เป็นบทบัญญัติที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 26 และมาตรา 37 วรรคหนึ่งและวรรคสอง จึงไม่สามารถนำมาใช้ในการชี้มูลให้การหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญาซึ่งรวมตลอดถึงการยึดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องด้วย ส่งผลให้มาตรา 37 ตรี สิ้นผลบังคับไปโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 8/2564 ลงวันที่ 2 มิถุนายน 2564

คำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นเรื่องที่สำคัญมากและได้วางหลักการตีความกฎหมายไว้หลายประการซึ่งเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับผู้มีหน้าที่เสียภาษีอย่างเราๆ ท่านๆ

การเพิ่มมาตรา 37 ตรี ไว้ในประมวลรัษฎากรดังกล่าว เกิดขึ้นโดยผลของ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 45) พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2560 เป็นต้นไป ไม่นานนักกรมสรรพากรก็จำต้องชี้มูลความผิดทางภาษีเป็นคดีแรกของผู้ประกอบการทัวร์ศูนย์เหรียญที่เกิดขึ้นก่อนหน้าปี พ.ศ. 2560 ก่อนที่กฎหมายจะมีผลใช้บังคับ โดย ปปง. ยืนยันว่าแม้การใช้กฎหมายเพื่อดำเนินคดีอาญาย้อนหลังจะกระทำมิได้ แต่หากใช้เพื่อดำเนินคดีทางแพ่งซึ่งได้แก่การยึดทรัพย์แต่เพียงอย่างเดียว สามารถกระทำย้อนหลังได้เนื่องด้วยมีบรรทัดฐานของศาลรัฐธรรมนูญในคำวินิจฉัยที่ 40-41/2546 วางไว้แล้ว

นับจากนั้นเป็นต้นมามาตรา 37 ตรี ก็ถูกหยิบยกมาใช้ในบริบทของการตรวจสอบภาษีอยู่เนืองๆ ทำให้ผู้เสียภาษีหลายรายแม้จะเชื่อในการตีความที่สุจริตใจของตนเองก็ตาม ไม่กล้าต่อสู้คดีและยอมตกลงระงับข้อพิพาทกับเจ้าพนักงานตรวจสอบ เนื่องจากเกรงว่าหากพลาดพลั้งไปในขั้นตอนของศาลอาจต้องถูกยึดทรัพย์ในที่สุด นอกเหนือไปจากการต้องหาเงินมาชำระหนี้ค่าภาษีอากร มาตรา 37 ตรี จึงกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการตรวจสอบภาษีย้อนหลังและกดดันให้ผู้เสียภาษีต้องยุติข้อพิพาทเพื่อแลกกับการไม่ส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองความผิดทางภาษีอากรที่เข้าข่ายความผิดมูลฐานของกรมสรรพากรชี้มูลความผิดและส่งเรื่องให้ ปปง. ดำเนินคดี

ประเด็นที่น่ากังวลในการใช้กฎหมายอย่างมากได้แก่ แม้ว่าการกระทำความผิดตามมาตรา 37 ตรี ต้องกระทำในลักษณะที่เป็น "กระบวนการหรือเป็นเครือข่าย" ซึ่งไม่ปรากฏนิยามที่ชัดเจนในประมวลรัษฎากรว่าจะต้องมีจำนวนบุคคลที่เกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใด เจ้าพนักงานตรวจสอบหลายรายถือว่าหากมีผู้ร่วมกระทำตั้งแต่สองคนขึ้นไปก็ถือได้แล้วว่าเป็น "กระบวนการหรือเป็นเครือข่าย"

ดังนั้น ผู้เสียภาษีที่มีสถานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายย่อมจะต้องมีพนักงานฝ่ายบัญชีและกรรมการ หรือผู้ถือหุ้นใหญ่ ร่วมรู้เห็นในการกระทำความผิดด้วยเสมอ ซึ่งเปิดโอกาสให้เจ้าพนักงานตรวจสอบบางรายหยิบยกประเด็นการชี้มูลความผิดขึ้นมากดดันให้ผู้เสียภาษีต้องยอมยุติข้อพิพาท

ศาลรัฐธรรมนูญในคดีนี้ได้วางหลักการที่สำคัญสองประการ กล่าวคือ การใช้กฎหมายย้อนหลังแม้จะเป็นมาตรการในทางแพ่ง เช่น การยึดทรัพย์ จะกระทำไม่ได้และมีผลไม่ต่างจากการริบทรัพย์สินซึ่งเป็นบทลงโทษในคดีอาญา กรณีต่างจากความผิดมูลฐานดั้งเดิมอันเป็นที่มาของคำวินิจฉัยที่ 40-41/2546 ซึ่งเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมร้ายแรง เช่น ยาเสพติด ก่อการร้าย ค้ามนุษย์ ซึ่งกฎหมายต้องการตัดวงจรทางการเงินให้สิ้นซาก แต่ปัจจุบันมูลความผิดถูกขยายขอบเขตให้ครอบคลุมฐานความผิดที่ไม่ร้ายแรงด้วย จึงจำต้องตีความเคร่งครัดและต้องพิจารณาเป็นรายมูลฐานไป ดังนั้น จึงมีผลเป็นการจำกัดสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 37 วรรคหนึ่งและวรรคสอง

ลำพังแต่เพียงประเด็นการใช้มาตรา 37 ตรี ย้อนหลัง คงไม่เป็นที่น่าสนใจมากนัก เนื่องจากกรมสรรพากรไม่พึงใช้กฎหมายย้อนหลังแต่แรกแม้ว่าจะเป็นมาตรการทางแพ่งก็ตาม เนื่องจากมีสภาพบังคับและเป็นบทลงโทษต่อประชาชน จึงไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม ประเด็นที่สำคัญในคดีนี้ ได้แก่ ศาลรัฐธรรมนูญได้กล่าวต่อไปว่ามาตรา 37 ตรี มีผลเป็นการเพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุตามความในรัฐธรรมนูญมาตรา 26 วรรคหนึ่ง

และหากถือว่าเป็นกรณีความผิดเกี่ยวกับภาษีที่ร้ายแรง (serious tax crime) ก็สมควรจะกำหนดเพิ่มให้เป็นความผิดมูลฐานใน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินโดยตรง เพื่อให้เห็นความมุ่งหมายและการใช้กฎหมายอย่างเป็นระบบที่ชัดเจน เพราะหากปล่อยให้กฎหมายต่างๆ เพิ่มบทบัญญัติให้ความผิดของตนเป็นความผิดมูลฐานได้ตามใจชอบ ก็จะไม่คำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ และเป็นการลิดรอนสิทธิในการประกอบอาชีพและทรัพย์สินของประชาชนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 26 วรรคหนึ่ง และอาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติโดยไม่ชอบธรรม เป็นการจำกัดสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลเกินความจำเป็น

ด้วยเหตุผลของศาลรัฐธรรมนูญในประการหลังนี่เองที่มีผลให้การใช้บังคับมาตรา 37 ตรี ต้องสะดุดลงแม้ว่าจะไม่ได้ใช้ย้อนหลังกับความผิดที่ได้กระทำก่อนวันที่ 2 เมษายน 2560 ก็ตาม คำถามที่สำคัญก็คือรัฐบาลจะทำอย่างไรต่อไปกับมูลฐานความผิดทางภาษีดังกล่าว

หลายท่านคงจำกันได้ว่าการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 37 ตรี ในประมวลรัษฎากรนั้น เกิดจากพันธะกรณีที่ประเทศไทยในฐานะสมาชิกของสหประชาชาติ จำต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของ Financial Action Task Force (FATF) ซึ่งเป็นคณะทำงานที่กำหนดมาตรฐานสากลเพื่อป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้าย ให้เพิ่มความผิดเกี่ยวกับภาษีที่ร้ายแรงหรือ serious tax crime ให้เป็นความผิดมูลฐานของการฟอกเงินภายใต้การกำกับดูแลของ ปปง. มานานแล้ว แต่ประเทศไทยก็มิได้ดำเนินการดังกล่าว จนเกิดเหตุการณ์ที่คนไทยหลายรายที่มีบัญชีธนาคารในต่างประเทศเพื่อการประกอบธุรกิจ ถูกธนาคารของกลุ่มประเทศ จี 7 สั่งปิดบัญชีโดยไม่ทราบสาเหตุหลายรายด้วยกัน จนนำไปสู่การออก พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 45) พ.ศ. 2560 ในที่สุด เหตุการณ์ดังกล่าวจึงยุติลง

ดังนั้น ถ้ารัฐบาลยังไม่ดำเนินการแก้ไขโยกย้ายมาตรา 37 ตรี ไปไว้ใน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินให้เหมาะสม ไม่ช้าก็เร็ว คนไทยที่ต้องติดต่อค้าขายกับต่างประเทศก็คงจะต้องประสบกับมาตรการบีบบังคับทางอ้อมของกลุ่มประเทศ จี 7 อีกรอบ และเราก็อาจจะได้เห็นการแก้ไขกฎหมายในมูลฐานความผิดเรื่อง serious tax crime อีกครั้งหนึ่ง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ก.ค. 64)

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...