โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

เลื่อนคดี “ปารีณา” เกี่ยวโยงอาวุธสงครามไป มี.ค. หลังจำเลยร่วมไม่มาศาล

TODAY

อัพเดต 27 ม.ค. 2563 เวลา 08.54 น. • เผยแพร่ 27 ม.ค. 2563 เวลา 08.54 น. • Workpoint News
เลื่อนคดี “ปารีณา” เกี่ยวโยงอาวุธสงครามไป มี.ค. หลังจำเลยร่วมไม่มาศาล

วันที่ 27 ม.ค. ที่ศาลอาญา น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ เดินทางมาตามที่ศาลนัดพร้อมในคดีที่อัยการ ยื่นฟ้อง นายสัชญา สถิรพงษะสุทธิ และ น.ส.ปารีณา ในความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490, พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138,140,371
.
กรณีวันที่ 29 พ.ค.- 15 ก.ค.57 ทั้งคู่ร่วมกันมีปืนเล็กกลและเครื่องกระสุน เสื้อเกราะ-หมวกกันกระสุน
.
ต่อมาศาลได้มีคำสั่งนัดพร้อมใหม่อีกครั้ง วันที่ 9 มี.ค. 63 เนื่องจากนายสัชญา  ไม่ได้รับหมายศาลให้มาสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐาน

น.ส.ปารีณา ได้ยื่นคำร้องขอประกันตัว โดยใช้หลักทรัพย์เดิม 700,000 บาท ที่เคยยื่นไว้ที่ศาลทหาร ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัว
.
สำหรับคดีนี้ โอนมาจากศาลทหารกรุงเทพ โดยเมื่อเดือน ก.ค. 57 ซึ่งอยู่ระหว่างประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร นายสัชญา ถูกควบคุมตัวที่ ซ.สมคิด ถ.เพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน พร้อมอาวุธสงครามที่ผู้ครอบครองต้องได้รับอนุญาต คือ กล้องส่องเวลากลางคืน เสื้อเกราะกันกระสุน และหมวกเกราะกันกระสุน รวมทั้งอาวุธที่มีทะเบียน คือ ปืนพกออโตเมติกขนาด .38 SUPER พร้อมกระสุน 31 นัด และอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์กับกระสุนปืนลูกกรดจำนวน 8 นัด

ขณะที่คำฟ้องระบุถึงพฤติการณ์ ตอนหนึ่งว่า จำเลยกับพวกที่หลบหนี ร่วมกันมีอาวุธปืนกลเล็ก พร้อมซองกระสุนปืน 1 อัน ซึ่งเป็นลูกกระสุนระเบิดยิงชนิดระเบิดเจาะเกราะ จำนวน 19 นัด อันเป็นอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่ใช้เฉพาะแต่การสงคราม ซึ่งไม่ใช่ประเภท ชนิด และขนาดที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ได้ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 11 (พ.ศ.2522) ข้อ 2,3 ออกตามความใน พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490 ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย
.
หลังถูกจับนายสัชญา ซัดทอดว่า น.ส.ปารีณา มีส่วนรู้เห็นและของกลางส่วนหนึ่งเป็นของ น.ส.ปารีณา ซึ่ง นายทวี ไกรคุปต์ อดีต ส.ส.ราชบุรี พ่อของ น.ส.ปารีณา ชี้แจงเรื่องนี้เมื่อปี 2557 ว่า ลูกสาวตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและเป็นผู้แจ้งเบาะแสให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจนจับกุมและยึดของกลางได้ แต่นายสัชญา กลับอ้างว่าเป็นของ น.ส.ปารีณา ซึ่งน่าจะมาจากทั้งคู่เคยคบหากันและเคยมีกรณีขู่จะทำร้ายกัน เมื่อถูกแจ้งเบาะแสจึงโกรธแค้น

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0