โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

200 ปีวัดรังษีสุทธาวาส ที่ (แทบ) ไม่มีใครรู้จัก (2)

มติชนสุดสัปดาห์

อัพเดต 22 ธ.ค. 2566 เวลา 07.54 น. • เผยแพร่ 12 เม.ย. 2566 เวลา 01.53 น.

พื้นที่ระหว่างบรรทัด | ชาตรี ประกิตนนทการ

200 ปีวัดรังษีสุทธาวาส

ที่ (แทบ) ไม่มีใครรู้จัก (2)

หลังจากที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส มีแนวคิดในการผนวกรวมวัดรังษีสุทธาวาสเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวัดบวรนิเวศวิหารเพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับการศึกษาของสงฆ์เมื่อปี พ.ศ.2442

เพียงราว 5 ปี คือในปี พ.ศ.2447 ก็ได้มีโครงการก่อสร้างอาคารเรียนหลังแรกขึ้นในพื้นที่วัดรังษีสุทธาวาส โดยมีพระองค์เจ้าอรพินทุ์เพ็ญภาคย์ และ หลวงบรมราชเสวี พร้อมผู้มีจิตศรัทธาอีกหลายคนบริจาคทรัพย์เพื่อสร้างขึ้น

อาคารหลังนี้สร้างขึ้นเป็นตึกขนาด 5 ห้อง หลังคามุงกระเบื้อง เมื่อพิจารณาจาก “แผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ.2550” ทำให้สันนิษฐานได้ว่า ตัวอาคารน่าจะสร้างขึ้นบนพื้นที่ลานหน้าเขตพุทธาวาสของวัด เยื้องมาทางด้านตะวันตก ใกล้กับประตูวัดด้านหน้าติดถนนพระสุเมรุ (ปัจจุบันคือพื้นที่ตึกมนุษนาควิทยาทาน)

หลังจากนั้น ความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่มาพร้อมกับแนวคิดในการผนวกรวมวัดก็เริ่มต้นอย่างจริงจังมากขึ้น

และมาสำเร็จโดยสมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 6

ควรกล่าวไว้ก่อนว่า แม้รูปธรรมของการเริ่มผนวกวัดรังษีสุทธาวาสจะเริ่มขึ้นราว พ.ศ.2442 แต่ความคิดนี้เริ่มถูกพูดถึงมาก่อนหน้านี้นานแล้ว อย่างน้อยตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.2439 ซึ่งเหตุผลในการผนวกรวมครั้งนั้นเกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างอาคารโรงเรียนมหามกุฏราชวิทยาลัย

โดยในครั้งนั้น เจ้าพระยาภาสกรวงษ์ เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ณ ขณะนั้น ได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลผ่านพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสมมตอมรพันธุ์ ราชเลขานุการ ความว่า มหามกุฏราชวิทยาลัยได้ดำเนินการมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว มีความเจริญก้าวหน้าสมควรที่จะต้องสร้างอาคารเรียนสำหรับมหามกุฏราชวิทยาลัยเป็นการเฉพาะขึ้น

และในการเดียวกันนี้ หากเสนาสนะสำหรับพระภิกษุสามเณรที่มาเล่าเรียนมีไม่เพียงพอสำหรับพักอาศัย ก็อยากจะขอพระบรมราชานุญาตให้ผนวกวัดรังษีสุทธาวาสเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของมหามกุฏราชวิทยาลัย เพื่อจะได้ใช้เป็นเสนาสนะสำหรับพระภิกษุต่อไป

อย่างไรก็ตาม รัชกาลที่ 5 มีพระราชดำริ ณ ตอนนั้นว่า การสร้างอาคารเรียนสำหรับมหามกุฏราชวิทยาลัยนั้นยังไม่ถือเป็นการเร่งร้อน จึงขอให้เจ้าพระยาภาสกรวงษ์ทบทวนให้ดีเสียก่อน ซึ่งทำให้การยุบรวมวัดรังษีสุทธาวาสเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวัดบวรนิเวศวิหารจึงยังไม่เกิดขึ้นในช่วงดังกล่าว

แต่เมื่อเวลาล่วงมาถึงสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อ พ.ศ.2458 สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงมีพระดำริที่จะผนวกรวมวัดรังษีสุทธาวาสอีกครั้ง คราวนี้พระองค์ได้ทรงทำจดหมายถึง เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ณ ขณะนั้น เพื่อขอพระบรมราชานุญาต มีใจความสำคัญดังต่อไปนี้

“…วัดรังษีสุทธาวาสตั้งอยู่ใกล้วัดนี้ (หมายถึงวัดบวรนิเวศวิหาร-ผู้เขียน) ถูกวัดนี้บีบ ย่อมร่วงโรยจำเริญไม่ได้ ทั้งวัดชำรุด ใม่มีกำลังจะปฏิสังขรณ์ ฝ่ายวัดนี้ ถึงน่าพรรษา มีพระจำพรรษามาก หาที่เปนสถานประชุมในการเล่าเรียนของพระสงฆ์สามเณรได้ยาก ศาลาก็เปนที่เล่าเรียนของเด็กเต็มหมด ต้องแออัดมาก ทางแก้ที่จะให้สดวกด้วยกันทั้งสองฝ่าย คือ รวมวัดรังษีเข้าหาวัดนี้…เรื่องนี้ได้รับความรับรองของท่านทั้งหลายเปนอันมาก…” (ดูใน สจช., มร. 6ศ/12 เรื่องรวมวัดรังษีสุทธาวาสเข้าเปนวัดเดียวกันกับวัดบวรนิเวศนวิหาร)

ซึ่งในครั้งนี้ รัชกาลที่ 6 ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ดำเนินการได้ตามพระประสงค์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ แต่เนื่องจากวัดรังษีสุทธาวาสเป็นวัดมหานิกาย ในขณะที่วัดบวรนิเวศวิหารเป็นวัดธรรมยุติกนิกาย

ดังนั้น การรวมวัดเข้าด้วยกันย่อมมีปัญหาในเรื่องการทำสังฆกรรมอยู่บ้าง ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ก็ทรงคิดหาทางแก้ปัญหาดังต่อไปนี้ (ดูใน สจช., มร. 6ศ/12 เรื่องรวมวัดรังษีสุทธาวาสเข้าเปนวัดเดียวกันกับวัดบวรนิเวศนวิหาร)

“… ๑ ย้ายเรือนในรวางสองวัด อันเปนที่ธรณีสงฆ์ของวัดนี้ให้ปลูกในที่ธรณีสงฆ์แห่งอื่นๆ ค่ารื้อค่าปลูก จ่ายทุนของวัดนี้ ฯ

๒ พระสงฆ์มหานิกายวัดรังษี มีน้อยรูป ให้คงอยู่ เว้นแต่บางรูปผู้เปนที่รังเกียจ ฯ

๓ จัดวิธีให้พระมหานิกายได้ทำอุโบสถด้วยประการใดประการหนึ่ง คือ ให้บอกปาริสุทธิในที่ประชุมสงฆ์วัดนี้ เมื่อสวดปาติโมกข์จบแล้ว หรือรูปใดปราถนาจะฟังปาติโมกข์ ก็ให้ไปทำอุโบสถที่วัดอื่นกว่าจะทำอุโบสถร่วมกันได้ ฯ

๔ ในการรับพระกฐิน ถ้าพระสงฆ์วัดนี้ยอม รูปที่ได้รับพระราชทานไตรปี ให้มารับที่วัดนี้ นอกจากนั้น ให้อนุโมทนาในเวลากราน ฯ

๕ ไหว้พระสวดมนต์แลธรรมศรวนะ รวมทำแห่งเดียวกัน ฯ

๖ ย้ายเสนาสนะริมถนนดินสอเข้ามาในคูวัด ปลูกในที่อันเหมาะ ฯ มูลค่าที่จะจ่ายในการนี้ ขอพระราชทานจ่ายรายทรงพระราชอุทิศเพื่อการปฏิสังขรณประจำปี ฯ

๗ ที่เสนาสนะเดิมข้างถนนดินสอนั้น ยกเปนที่ธรณีสงฆ์ สร้างตึกหรือโรงให้คนเช่า ฯ มูลค่าจ่ายทุนกู้มหามกุฎราชวิทยาลัย ฯ

๘ ยกการเรียนชั้นต่ำของเด็กไปตั้งที่วัดรังษี ฯ นี้ต้องหาทุนได้ก่อนจึงจะทำได้ ฯ…”

ด้วยเหตุนี้ นับตั้งแต่ พ.ศ.2458 เป็นต้นมา วัดรังษีสุทธาวาสจึงถูกยุบรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวัดบวรนิเวศฯ และชื่อของวัดก็ได้กลายมาเป็นเพียงชื่อคณะหนึ่งของวัดบวรนิเวศฯ ชื่อว่า “คณะรังษี” จวบจนกระทั่งในปัจจุบัน

เมื่อผนวกรวมโดยสมบูรณ์แล้ว ความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพก็ได้เกิดขึ้นมากมาย สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ได้มีพระดำริให้ย้ายเสนาสนะที่อยู่ในเขตสังฆาวาส ริมถนนดินสอเข้ามาในเขตสังฆาวาสด้านทิศใต้ทั้งหมด

เปลี่ยนสถานภาพของเขตสังฆาวาสริมถนนดินสอให้กลายเป็น “ที่ธรณีสงฆ์” และให้สร้างตึกแถวขึ้นเพื่อให้คนมาเช่า ส่วนเขตสังฆาวาสด้านทิศใต้ถูกจัดการใหม่โดยแบ่งออกเป็น 3 คณะย่อย คือ คณะเหลืองรังษี คณะแดงรังษี และคณะเขียวรังษี

ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ สามารถเห็นได้ชัดเจนจาก “แผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ.2475” ซึ่งจะพบว่าพื้นที่สังฆาวาสริมถนนดินสอได้ถูกรื้อย้ายออกไปแล้วจนหมดสิ้น และมีตึกแถวสร้างขึ้นตลอดแนวเขตวัดรังษีสุทธาวาสด้านถนนดินสอตามพระดำริสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ

นอกจากการรื้อเสนาสนะลงเป็นจำนวนมากแล้ว “แผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ.2475” ยังแสดงให้เห็นว่า ได้มีการรื้อถอนกำแพงแก้วที่ล้อมเขตพุทธาวาสวัดรังษีสุทธาวาสลงด้วย พร้อมทั้งอาคารเล็กๆ อีก 3-4 หลังซึ่งไม่ทราบได้ว่าเป็นอาคารอะไร

เหตุผลอีกประการที่ทำให้มีการยุบรวมวัดรังษีสุทธาวาส เข้าเป็นส่วนหนึ่งของวัดบวรนิเวศฯ (นอกเหนือไปจากความร่วงโรยของวัดและการจัดการศึกษาของพระสงฆ์) ก็คือ ความต้องการที่จะพัฒนาวัดรังษีสุทธาวาสให้เป็นพื้นที่ในด้านการศึกษาแก่ฆราวาส

แนวคิดดังกล่าวสะท้อนให้เราเห็นจาก จดหมายของ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เสนาบดีกระทรวงศึกษาธิการ ที่ได้ทำบันทึกกราบบังคมทูล รัชกาลที่ 6 ไว้เมื่อ พ.ศ.2464 ความตอนหนึ่งว่า

“…สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ได้ทรงปรารภว่า จำนวนภิกษุสามเณรต่อไปจะต้องน้อยลงโดยเหตุเนื่องด้วยอิคอนอมิกส วัดที่ไม่มีพระอยู่หรือมีพระน้อย ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องร่วงโรย จำต้องคิดแก้ไขให้เป็นที่ชุมนุมคนมากๆ จึงจะครึกครื้น และนำมาซึ่งความสัทธาของมหาชนที่จะช่วยกันทนุบำรุง ผู้ที่จะมาชุมนุมกันอยู่ได้มากๆ ก็คือเด็กนี้เอง วัดใดเป็นที่ชุมนุมเด็กมากๆ แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่า บิดามารดาผู้ปกครองเด็กจะไม่ฝักใฝ่ในกิจการของวัดนั้น จึงทรงเห็นว่าวัดทุกวัดควรจัดเป็นโรงเรียน…นี้เป็นอนาคตของวัดตามพระประสงค์และจะเป็นสิ่งที่วิเศษมากถ้าได้จัดสำเร็จ เพื่อจะให้เป็นตัวอย่างแก่วัดอื่นๆ จะทรงเริ่มด้วยวัดรังษีสุทธาวาสซึ่งกำลังซุดโซมด้วยขาดการบำรุงนั้นก่อน จะทรงขอพระบรมราชานุญาตยุบลงเป็นคณะหนึ่งของวัดบวรนิเวศ…”

(ดูใน สจช., มร. 6ศ/5 โรงเรียนวัดบวรนิเวศฯ (3 มิ.ย. 2456-11 ธ.ค. 2467) เรื่องบันทึกพระดำริห์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ในการจัดการศึกษาของวัดและการฝึกหัดครู, หน้า 10)

จากคำอธิบายดังกล่าว เราจะเห็นว่า การผนวกรวมวัดรังษีสุทธาวาสนั้น ในอีกแง่หนึ่งได้เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมีนัยยะสำคัญต่อประวัติศาสตร์ความเป็นมาของการจัดการศึกษาแบบสมัยใหม่ในพื้นที่วัด หรือพูดอีกอย่างก็คือ “โรงเรียนวัด” นั่นเอง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...