โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เปิดประวัติ ‘Kiss Curls’ ผมม้วนลอนเปียกสไตล์ทองกวาว ทรงผมยอดฮิตของเซเลบฯ ใน Met Gala 2025 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งยุค Harlem Renaissance

Mirror Thailand

อัพเดต 07 พ.ค. เวลา 13.21 น. • เผยแพร่ 07 พ.ค. เวลา 13.21 น.
ภาพไฮไลต์

เปิดประวัติผมม้วนลอนเปียก ที่ดูละม้ายคล้ายคลึงกับทรงผมของสาวทองกวาว คาแรกเตอร์ในตำนานจากละคร มนต์รักลูกทุ่ง ของไทย ซึ่งในฝั่งฝรั่งเขาเรียกทรงลอนเปียกแบบนี้ว่า ‘Kiss Curls’ ที่เซเลบฯ ทำกันฉ่ำในงาน Met Gala โดยเป็นสัญลักษณ์แห่งยุค Harlem Renaissance ในปี 1920s

ลุคตระการตาในงาน Met Gala 2025 เต็มไปด้วยสูท หมวก จิวเวลรี่ ที่แสดงถึงแฟชั่นและศิลปะการแต่งกายของคนดำออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ในธีม Superfine: Tailoring Black Style และหากสังเกตทรงผมแล้ว ไม่ว่าทั้งหญิงและชาย ก็มักจะมีเกลียวผมประดับอยู่ที่หน้าผาก ซึ่งบ่งบอกเอกลักษณ์ของงานผมในช่วงยุค 1920s

ภาพไฮไลต์

การม้วนผมเป็นลอนเปียก (Finger Wave) ทั้งศีรษะ หรือลอนผมปกหน้า (Kiss Curls) ผมม้วนกลมเหมือนกับรอยจูบ มีต้นกำเนิดจาก Josephine Baker ที่ฉาบผมให้เงาวับและจัดลอนผมตามหน้าผาก เช่นเดียวกับการ์ตูน Betty Boob ที่กลายเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการแสดงตัวตนผ่านสไตล์แฟชั่นของ Dandism ในทุกวันนี้การทำ Kiss Curls ก็ยังเป็นแฟชั่นของคนดำเพื่อทำให้ไรผมดูโดดเด่นเมื่อใส่วิกผม ที่เทรนด์นี้ยังแพร่กระจายไปยังศิลปินหญิงฝั่งเอเชียอีกด้วย

ยุค 1920s เกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง? หากเชื่อมโยงยุคนี้กับวัฒนธรรมคนผิวดำ Harlem Renaissance ยังเป็นยุคที่ถือกำเนิดดนตรีแจ๊ซ อย่างนักตรีและหัวหน้าวง Duke Ellington ผู้แต่งเพลง The Charleston ซาวนด์แทร็กแห่งยุคให้ละครบรอด์เวย์ Runnin’ Wild ปี 1923 ซึ่งเป็นการยกระดับบทบาทของคนดำในฐานะศิลปิน ที่เห็นเด่นชัดพอๆ กับที่นักร้องนักดนตรีแต่งตัวแบบ Dandism

สำหรับด้านแฟชั่นแล้ว เรามักคุ้นหูกับยุคนี้ที่เรียกว่า Flapper Era หรือ Roaring 20s ผู้คนจะเริ่มใส่เสื้อผ้าที่สบายตัวมากขึ้น เดรสเป็นทรงตรงๆ ไม่รัดรูปแต่เปล่งประกายด้วยเลื่อมปัก หรือไว้ผมสั้นบ๊อบ ซึ่งเกิดจากการที่แดนเซอร์ Irene Castle ตัดผมสั้นเท่าติ่งหูเพื่อเข้ารับการผ่าตัด หลังจากนั้นเธอก็ใส่ที่คาดผม กลายเป็นลุคที่ฉีกและแตกต่างจนกลายเป็นทรงผมเอกลักษณ์แห่งยุคไปโดยปริยาย

ซึ่งการม้วนผมลอนเปียก Kiss Curls ก็เป็นส่วนหนึ่งของเทรนด์เด่นๆ ที่เกิดขึ้นในยุคนี้ นั่นทำให้การแต่งหน้าทำผมของเซเลบฯ หลายคนในงาน Met Gala 2025 ก็ยังเลือกทำ Kiss Curls ในการแสดงออกความเป็นตัวตนของตัวเองไม่ว่าจะเป็น ด้านนักร้อง Dua Lipa และ Lana Del Rey รวมถึงนักแสดง Sydney Sweeney และ Quinta Brunson ที่ทำผมเกลียวปกหน้าแบบจัดเต็ม

ส่วนลอนผมเกลียวใหญ่ด้านหน้าสไตล์วินเทจก็ยังเป็นทรงที่เราเห็นกับเซเลบริตี้หลายคนไม่ว่าจะเป็น Bebe Rexha, Gabby Thomas, Simone Biles, Angel Rees, Anok Yai และ Jordan Casteel

หรือเป็นลอนเล็กๆ แบบไม่ตะโกนให้ความเป็นปอยหวานแฟมินีนเบาๆ ที่แร็ปเปอร์หนุ่มอย่าง Bad Bunny และ A$AP Rocky ที่ใช้การบิดของผมเปีย รวมถึง Coco Jones และนักเปียโนสาว Gina Alice Redlinger ที่ทำลอนปอยเล็กดูมีอะไรยิ่งขึ้น

แรปเปอร์สองสาว Nicki Minaj, Megan tree stalion และนักแสดง Ego Nwodim กับทรงเกล้าเวอร์วังที่มีเกลียวแบบทองกวาวที่จอนหู หรือ Teyana Taylor ที่จับคู่ Kiss Curls กับ Durag ที่ผสมผสานความวินเทจและแฟชั่นปัจจุบันของคนดำเข้าด้วยกัน

การทำลอนเปียกแบบ Finger Wave ดั้งเดิมก็เป็นทรงที่ Serena Williams, Lauren Amos และ Jeremy Pope, Justice Smith เลือกทำ หรือบางคนอย่า Breanna Stewart, Cole Escola และ ก็จัดใหญ่จำเต็มกับลอนเปียกเงาวับสร้างความดรามาติกให้กับลุคยิ่งขึ้น

และนี่คือเทรนด์สไตล์ของ Dandism ที่หลายคนเลือกใช้ในการแสดงตัวตนออกมาผ่านศิลปะแฟชั่นอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ในแบบของตัวเอง ที่ยังคงสืบมาและเป็นที่นิยมในทุกวันนี้และแพร่หลายไปทั่วโลก

อ้างอิง

https://www.harpersbazaar.com/beauty/hair/a64675744/kiss-curl-hair-trend-2025-met-gala/

https://www.vogue.com/slideshow/1920s-kiss-curl-finger-waves-met-gala-2025

https://www.vogue.com/article/1920s-fashion-history-lesson

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : Mirror Thailand.com

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...