โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

[END]หยางเสี้ยว หนูน้อยหัวใจแกร่ง

[END]หยางเสี้ยว หนูน้อยหัวใจแกร่ง
มังกร หนุ่มหล่อหน้าใสลูกชาวไร่ชาวนา หลังจบการศึกษาจึงกลับไปทำไร่ทำนาในที่ดินมรดกที่พ่อแม่ทิ้งเอาไว้ให้ ได้ตื่นขึ้นมาในร่างของเด็กชายวัย8ขวบที่ยากจนข้นแค้นกับบ้านที่ผุๆพังๆในโลกคู่ขนานอันห่างไกล

ข้อมูลเบื้องต้น

คำเตือนก่อนอ่านนิยาย

นิยายเรื่องนี้เกิดขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น ไม่อิงประวัติศาสตร์ บุคคล เวลา สถานที่เป็นเพียงสิ่งที่ผู้เขียนสร้างสถานการณ์ขึ้นมาบางสิ่งบางอย่างอาจจะไม่มีมูลความจริงอยู่ การดำเนินเรื่องอาจจะไม่สมเหตุสมผลไปบ้าง ผู้เขียนเพียงแต่หวังว่าให้ผู้อ่านได้รับความสนุกสนานตลอดตั้งแต่ตอนต้นจนถึงตอนสุดท้ายของนิยายเรื่องนี้

คำโปรย

มังกร หนุ่มหล่อหน้าใสลูกชาวไร่ชาวนา อายุ 22 ปี ที่ได้รับทุนเรียนดีจนจบมหาวิทยาลัย ได้แบกร่างกายพาหัวใจอันแตกสลายกลับบ้านเกิดทันทีในวันที่จบการศึกษา เพราะบิดามารดาได้เสียชีวิตกระทันหันทั้งคู่หลังจากกลับจากการนำข้าวไปขายและโดนสิบล้อที่เบรคแตกเสียหลักพุ่งชนรถของพ่อแม่ของมังกร เมื่อสูญเสียพ่อและแม่ไปอย่างกระทันหันเขาจึงกลับบ้านเกิดเพื่อไปทำไร่ทำนาสานฝันของพ่อแม่และนำความรู้ที่ได้เรียนมากลับมาพัฒนาที่ดินมรดกในบ้านเกิด

หากแต่ว่ามังกรยังไม่ทันได้ทำอะไรเขากลับตายลงอย่างไม่ทันตั้งตัว ตายแบบไม่ตั้งใจและไม่เต็มใจที่สุด เขาจำได้เพียงแค่ว่าหลังจากเดินทางกลับมาถึงบ้านเกิดเขาได้ไปไหว้พ่อกับแม่ที่วัดในหมู่บ้าน แล้วก็กลับมานอนแต่พอเขากลับตื่นขึ้นมาในร่างของเด็กชาย อายุ 8ขวบ กับบ้านผุๆพังๆ เขาตื่นมาในร่างของคนอื่นไม่พอ แล้วเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่มันที่ไหน และใครพาเขามา แล้วมังกรจะทำยังไงต่อไปกับชีวิตที่อยู่ในร่างเด็กชายยากจนคนนี้ มาติดตามชีวิตใหม่ของมังกรกันต่อไปค่ะ

ค่าเงิน

1000 อิแปะ เท่ากับ 1 ตำลึงเงิน

การนับช่วงวลา

ยามจื่อ = 23.00 - 24.59 นาที

ยามโฉ่ว = 01.00 - 02.59 นาที

ยามอิ๋น = 03.00 - 04.59 นาที

ยามเหม่า = 05.00 - 06.59 นาที ยามเฉิน = 07.00 - 08.59 นาที

ยามซื่อ = 09.00 - 10.59 นาที

ยามอู่ = 11.00 - 12.59 นาที

ยามเว่ย = 13.00 - 14.59 นาที

ยามเซิน = 15.00 -16.59 นาที

ยามโหย่ว = 17.00 -18.59 นาที

ยามซวี = 19.00 - 20.59 นาที

ยามห้าย = 21.00 - 22.59 นาที

1 เค่อ = 15 นาที

1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง

หน่วยวัดน้ำหนัก

1 จิน = 500 กรัม

1 เหลี่ยง =50 กรัม

1 ลี้ = 500 เมตร

ผลงานที่ผ่านมา

สมบัติแห่งขุนเขา 2เล่มจบ มี ebook

ทะลุมิติไปเป็นคุณแม่มือใหม่ 3เล่มจบ มี ebook

ภรรยาห้าตำลึงเงิน 2 เล่มจบ มี ebook

ฮูหยินบ้านป่า (จบแล้ว) มีebook

สามี ข้าจะเลี้ยงดูท่านเอง (จบแล้ว) มีebook

ลิขิตรักภรรยาตัวร้าย (จบแล้ว) มีebook

ข้าเก็บภรรยาได้ที่ชายหาด (จบแล้ว) มีebook

สวนฟาร์มมหัศจรรย์ยุค 80 (ยังไม่จบ)

©สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ. 2558 ห้ามมิให้คัดลอก ดัดแปลง หรือเผย แพร่เนื้อหานิยายส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด หากยังไม่ได้รับอนุญาติเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้เขียน

นอนหลับอยู่ดีๆ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็..

โลกคู่ขนานในอีกมิติหนึ่ง มังกรรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยความไม่สบายตัว เขาจำได้ว่าเมื่อตอนกลางวันไปไหว้อัฐิพ่อกับแม่ที่วัดกลับมาก็อาบน้ำนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลียการเดินทางโดยนั่งรถประจำทางกลับมาบ้านเกิดไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยเหนื่อยมากจริงๆ พอเขาลืมตาตื่นขึ้นมากลับพบว่าตัวเองอยู่ที่ไหนไม่รู้ แต่ที่แน่ๆที่นี่มันไม่ใช่ห้องนอนของเขาที่บ้านเกิด

หลังคามุงหญ้าฝาผนังทำจากดินโคลนผสมฟาง ที่นี่ที่ไหน หรือเขาโดนจับตัวมาเรียกค่าไถ่ ถึงจะบอกว่าโดดนจับตัวมาเขาก็ไม่มีเงินให้หรอกนะตอนนี้ ก็เหลือตัวคนเดียวแล้วเงินที่ไหนจะมี เรียนก็เพิ่งจบงานก็ยังไม่ได้ทำ จะมีก็แค่เงินประกันของพ่อแม่นิดหน่อยเท่านั้น ไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจหรือเกิดการเข้าใจผิดกันแน่ ถึงได้จับเขามาขังเอาไว้ที่นี่

มังกรนอนคิดเรื่อยเปื่อยจนในที่สุดก็ตัดสินใจว่าตัวเองจะมัวมานอนคิดให้เปลืองสมองทำไม ลุกขึ้นไปดูเลยดีกว่าว่าที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่ หวังว่าคนที่จับเขามาจะให้คำตอบเขาได้ เมื่อตัดสินใจได้แล้วมังกรลุกขึ้นจากเตียงแข็งๆที่นอนจนปวดหลังมาทั้งคืน ยังไม่ทันที่จะก้าวขาลงจากเตียงก็รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาและก็มีความทรงจำของเด็กคนหนึ่งหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเขา มังกรที่ปวดหัวล้มลงไปนอนอยู่บนเตียงเอามือกุมหัวไว้แน่น ตอนนี้เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่

เวลาผ่านไปประมาณ 15นาที อาการปวดหัวถึงได้หายไป จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีความทรงจำของเด็กคนหนึ่งตั้งแต่เกิดจนอายุ 8 ขวบเข้ามาในความทรงจำของตัวเอง เด็กชายที่ชื่อหยางเสี้ยวเกิดในครอบครัวชายบ้านยากจน อาศัยอาชีพเพาะปลูกและหาของป่าประทังชีวิต อาศัยอยู่กับพ่อแม่ น้องชาย อายุ 6 ขวบ แต่เมื่อสามวันที่แล้วหยางเสี้ยวเกิดไม่สบายขึ้นมาและไม่มีเงินพอที่จะไปหาหมอในเมือง ทำได้เพียงแค่ตามหมอเท้าเปล่ามาดูเท่านั้นประจวบกับร่างกายไม่แข็งแรงเพราะขาดสารอาหาร ทำให้เด็กชายสิ้นใจตายไปตั้งแต่เมื่อคืน ส่วนพ่อของเด็กชายตามคนในหมู่บ้านไปล่าสัตว์ในป่าลึกยังไม่กลับมา

“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย แล้วตอนนี้เราอยู่ที่ไหน แล้วความทรงจำนี่มันคืออะไร อย่าบอกนะว่าเราเองก็ตายแล้ว แล้วก็กลายเป็นผีเร่ร่อนเข้ามาอาศัยร่างของเจ้าหนูนี่ เหมือนกับนิยายแฟนตาซีที่เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเล่าให้ฟัง ”

มังกรสำรวจตัวเองก็พบว่าตอนนี้เขากลยเป็นเด็กไปเสียแล้ว ด้วยมือที่เล็กมาก แขนขาเล็กเรียวเรียกว่าผอมแห้งเลยจะดีกว่า เสื้อผ้ามีแต่รอยปะชุน

“นี่มันอะไรกัน เราตายไปทั้งๆที่ไม่รู้ว่าตายไปได้ยังไง ถ้าตายไปแล้วก็แล้วไปเถอะ แต่ทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่ในร่างของเด็กคนนี้ นี่ไม่เท่ากับว่าอีกหน่อยจะได้ตามรอบสองเหรอเนี่ย ทำไมถึงกลั่นแกล้งกันได้ขนาดนี้ แบบนี้ก็ตายไปเลยจะไม่ดีกว่าหรือยังไง”

มังกรได้แต่นั่งทำใจและทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ ไม่รู้วิธีกลับไป และไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตที่ได้มาแบบงงๆอย่างไรต่อไป มังกรนั่งทึ่มทื่ออยู่บนเตียงในตอนที่กำลังตัดสินใจว่าจะลงจากเตียงแล้วออกไปด้านนอกก็มีเด็กชายตัวเล็กๆที่ผอมแห้งอีกคนเข้ามาดูเหมือนว่าจะเป็นหยางเสียนน้องชายของเจ้าของร่างที่มังกรมาอาศัยอยู่

“พี่ใหญ่ ท่านตื่นแล้ว ยังปวดหัวหรือไม่ ข้าจะไปตามท่านแม่นะขอรับ” ว่าจบเด็กน้อยก็หมุนตัววิ่งออกไปทันที

“เฮ้อ จะรอดไหมทำยังไงดีล่ะทีนี้ มาได้ยังไง แล้วที่นี่มันที่ไหน ดูจากสภาพคงได้ตายรอบสองเพราะอดตายแน่” มังกรได้แต่ถอนหายใจ เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจก็มีหญิงสาวอายุไม่น่าจะเกิน30 เข้ามาในห้อง

“เสี้ยวเอ๋อร์ ลูกเป็นยังไงบ้าง ยังรู้สึกปวดหัวอยู่อีกหรือเปล่า ” เสื่นซื่อเฝ้าถามลูกชาย แต่กลับพบว่านอกจากลูกชายของนางจะนั่งจ้องหน้านางแล้วก็ไม่ได้รับคำตอบจากปากของเด็กชายเลยแม้แต่น้อย

มังกรที่เอาแต่นั่งจ้องหน้าผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของเจ้าหนูเจ้าของร่าง น้ำตาของเขาก็ไหลออกมาแม่ของเจ้าหนูมีหน้าตาเหมือนแม่ของเขาที่จากไปแล้วยังกับฝาแฝดหรือว่านี่จะเป็นโลกหลังความตายที่ครอบครัวจะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน เสิ่นซื่อที่เห็นลูกชายไม่พูดไม่จา น้ำตาไหลนองหน้าก็ทำอันใดไม่ถูก น้องเข้าไปจับหน้าฝากลูกชายด้วยความร้อนใจ เมื่อพบว่าไม่มีไข้แล้วถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“เสี้ยวเอ๋อร์ ลูกร้องไห้ทำไม ลูกเจ็บตรงไหนบอกแม่ ลูกอย่าร้อง น้องชายลูกจะร้องตามแล้ว ”

“พี่ใหญ่ท่านเป็นอะไร เจ็บตรงไหนขอรับ”

“ข้า ข้า ไม่เป็นไร ข้าเพียงแต่คิดถึงท่านแม่ขอรับ”

“เจ้าลูกคนนี้นี่ ทำเอาแม่ตกอกตกใจไปหมด เอาล่ะเสียนเอ๋อร์อยู่เป็นเพื่อนพี่ใหญ่ของเจ้า แม่จะไปเอาข้าวต้มมาให้พี่ใหญ่ของเจ้ากิน”

“ขอรับท่านแม่ วางใจได้เลยข้าจะอยู่เป็นเพื่อนพี่ใหญ่เอง”

เสิ่นซื่อออกไปไม่นานก็กลับเข้ามาพร้อมกับชามข้าวต้มและมีถ้วยใส่ยาเต็มที่กลิ่นไม่ค่อยดีเข้ามา มังกรมองไปที่ชามข้าวต้มอย่าเรียกว่าข้าวต้มเลยเรียกว่าน้ำต้มข้าวจะดีกว่าเพราะเขามองไม่เห็นแม้กระทั่งเม็ดข้าว ไม่รู้ว่าครอบครัวนี้ยากจนข้นแค้นขนาดไหนกัน ในใจมังกรรู้สึกเศร้า เสียใจนอกจากเศร้าเสียใจแล้วเขายังมีความหวัง เขาหวังว่าจะพาครอบครัวนี้ผ่านพ้นความยากลำบากไปให้ได้ถึงยังไงเขาก็ไม่ใช่เด็กจริงๆเสียหน่อย เขาอายุ 22 แล้ว ในเมื่อไม่รู้ว่าจะกลับไปได้ยังไง แถมแม่ของเจ้าเด็กเจ้าของร่างยังหน้าตาเหมือนคุณนายเพียงจิตรแม่ของเขาเสียขนาดนี้ ถ้าอย่างงั้นเขาก็จะยอมเป็นลูกที่ดีอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน

“ท่านแม่กับน้องรอง กินข้าวหรือยังขอรับ”

“แม่กับน้องของเจ้ากินแล้ว เจ้ารีบกินเสีย จะได้กินยา”

“แต่ข้าหายแล้วนะขอรับ ยาไม่กินจะได้หรือไม่ กลิ่นเหม็นมากเลย”

“เจ้าลูกคนนี้นี่อดทนกินแค่มื้อนี้เท่านั้น เพราะแม่ไม่มีเงินพอที่จะไปเจียดยามารักษาเจ้า แม่ขอโทษที่แม่ไม่สามารถหาสิ่งที่ดีให้ลูกได้มากกว่านี้ นับว่าสวรรค์เมตตาลูกหายป่วยแล้ว หากว่าเจ้ายังไม่ดีขึ้นแม่เองก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร พ่อเจ้าตามคนในหมู่บ้านเข้าป่าไปล่าสัตว์ยังไม่กลับมาเลย”

“ท่านพ่อจะกลับมาวันไหนหรือขอรับ” มังกรถามออกมาด้วยความอยากรู้ เพราะเขาเองก็อยากรู้ว่าพ่อของเจ้าของร่างจะหน้าตาเหมือนพ่ออาทิตย์ของตัวเองหรือเปล่า

“แม่เองก็ไม่รู้ นี่ก็ไปกันได้ 3-4 วันแล้ว ปกติไม่น่าจะไปนานขนาดนี้ ”

“ท่านแม่อย่ากังวลไปเลยขอรับ มีชาวบ้านไปมากขนาดนั้นท่านพ่อจะต้องปลอดภัยกลับมา”

“แม่ก็หวังให้เป็นเช่นนั้น ”

หลังจากกินน้ำข้าวต้มใสๆและยาต้มสีดำกลิ่นแรงรสชาติขมปี๋เข้าไป มังกรก็ถูกท่านแม่และน้องชายบังคับให้นอนพักผ่อน เขานอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยสายตาจับจ้องอยู่ที่แมงมุมที่กำลังชักใยอยู่บนหลังคา ในสมองตอนนี้ว่างเปล่า สรุปใจความสำคัญว่าตอนนี้เขาชื่อหยางเสี้ยวอายุ 8 ขวบ มีน้องชายชื่อหยางเสียน อายุ 6 ขวบ มีบิดาชื่อหยางเทียน อายุ 28 มีมารดาชื่อเสิ่นเหมย อายุ 27 ตอนนี้พวกเขาอาศัยอยู่ที่ หมู่บ้านหลี่จวง ตำบลหย่งฝู เมืองจางผิง หมู่บ้านลี่จวงเป็นหมู่บ้านในหุบเขาอู๋หลง ชาวบ้านอาศัยการปลูกพืช และหาของป่าเพื่อยังชีพ

นอกจากครอบครัวของเขาที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ ยังมีครอบครัวของปู่ย่าที่อาศัยอยู่กับลุงใหญ่ ส่วนอาเล็กแต่งงานออกไปอยู่หมู่บ้านหลี่เจียง ในความทรงจำของหยางเสี้ยวดูเหมือนว่าป้าสะใภ้จะร่างกายไม่แข็งแรงป่วยกระเสาะกระแสะยิ่งกว่าท่านแม่ของเขาเสียอีก หลังจากนอนคิดเรื่อยเปื่อยไปได้สักพัก มังกรในร่างของหยางเสี้ยวก็นอนหลับไปอีกครั้ง

มังกรตื่นมาอีกทีก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาไหนแล้ว หลังจากลุกอกจากเตียงลงมายืนบนพื้นพร้อมกับถอนหายใจยาวเหยียด ไม่รู้ว่าตัวเองข้ามมิติมาได้ยังไง และเพราะอะไรตอนนี้ก็คงต้องทำได้แค่ทำใจยอมรับกับสิ่งที่เป็นอยู่ตรงหน้านี้และผ่านมันไปให้ได้เท่านั้นเอง พระพุทธองค์เมตตาให้เขาได้มายังสถานที่แห่งนี้ก็นับว่าเมตตาแล้ว อย่างน้อยๆในที่แห่งนี้เขายังมีครอบครัวไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังดังเช่นในสถานที่ที่จากมา

“ต่อไปนี้เราคือหยางเสี้ยวสินะ เอาล่ะในเมื่อมันกลายมาเป็นแบบนี้แล้วก็คงต้องสู้ต่อไป” หลังจากพูดเพื่อให้กำลังใจตัวเองเสร็จแล้วก็ออกไปข้างนอกทันที

“อ๊ะ พี่ใหญ่ท่านตื่นแล้ว หิวหรือไม่ขอรับ รอท่านแม่กลับมาจากหาผักป่าก่อนนะ ตอนนี้ที่บ้านไม่มีอะไรให้กินเลย”

หลังจากได้ฟังน้องชายพูดแล้วเขาได้แต่ถอนหายใจ “พี่ใหญ่ยังไม่หิวหรอก เสียนเอ๋อร์ตอนนี้พี่ใหญ่อยากออกไปเดินเล่นสักหน่อย เสียนเอ๋อร์จะพาพี่ไปได้หรือไม่”

“ได้แน่นอนขอรับ ”

หยางเสี้ยวคิดว่าไหนๆก็ได้มาอยู่ในที่แห่งนี้แล้ว มีป่า มีภูเขา ก็ย่อมจะมีของให้กิน ไม่แน่ว่าอาจจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง ไม่รู้ว่าท่านแม่ไปหาผักป่าที่ไหน แต่ความทรงจำที่ได้รับมาจากร่างเดิม จะมีลำธารสายหนึ่งอยู่หลังบ้านของพวกเขาไปไม่ไกล น่าจะหาอะไรจากลำธารมาได้บ้าง หยางเสี่ยวเดินไปเอาตะกร้าในห้องเก็บฟืนตามความทรงจำเดิม และเอามีดตัดฟืนติดไปด้วย หลังจากได้ของที่ต้องการครบแล้ว เขาจูงมือน้องชายออกจากบ้านไปทันที

“พี่ใหญ่เราจะไปไหนกันดีขอรับ”

“พี่คิดว่าจะไปแถวๆลำธารหลังบ้านน่ะ พี่กลัวว่าถ้าหากเราไปไกลจากบ้านมากหากท่านแม่กลับมาแล้วหาพวกเราไม่เจอท่านแม่จะเป็นห่วงเอาได้”

“ขอรับ”

เริ่มต้นชีวิตใหม่ ในชื่อหยางเสี้ยว

สองพี่น้องเดินออกจากบ้านและไม่ลืมที่จะปิดประตูรั้วให้เรียบร้อย หยางเสียนเด็กน้อยวัย 6 ขวบเป็นเด็กร่าเริงและรู้ความ ถึงแม้ว่าครอบครัวจะยากจน อาหารการกินไม่พอ แต่เด็กน้อยเองไม่เคย งอแงเลยสักครั้งกลับกัน ท่าทางของเจ้าหนูน้อยมีความเป็นผู้ใหญ่เกินวัยอยู่มาก อาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่สอนให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยก็เป็นได้

ทั้งสองคนเดินลัดเลาะตามเส้นทางเล็กๆที่ไม่ค่อยมีคนผ่านมาเท่าไหร่ เพราะลำธารสายนี้ไม่นับว่าใหญ่มาก ไม่เหมือนกับลำธารที่อยู่ทางฝั่งบ้านของท่านปู่ท่านย่า อีกทั้งบ้านของพวกเขาอยู่ถึงท้ายหมู่บ้านจึงทำให้ไม่ค่อยมีคนผ่านไป หยางเสี้ยวพาน้องชายเดินมุ่งหน้าไปทางลำธาร ระหว่างทางก็สอดส่ายสายตามองหาเผื่อว่าจะพบเจออะไรที่สามารถเอากลับไปกินได้ แต่เดินมาจนเกือบถึงลำธารแล้วก็ยังไม่หาของที่กินได้ไม่พบเลยสักอย่าง ตอนนี้ได้แต่ภาวณาว่าเมื่อถึงลำธารแล้วยังจะพอมีอะไรให้กินได้บ้าง

“พี่ใหญ่ ข้าคิดถึงท่านพ่อขอรับ หลายวันมานี่ท่านแม่เองก็มีสีหน้าทุกข์ใจ ยิ่งยามที่ท่านป่วยไข้นอนไม่ได้สติอยู่สองวัน ข้าเห็นท่านแม่แอบร้องไห้ในห้องครัวด้วยขอรับ”

“เป็นพี่ใหญ่ที่ไม่ดีเอง พี่ใหญ่อ่อนแอ ทำให้เจ้ากับท่านแม่ต้องเป็นห่วง พี่ใหญ่ขอโทษเจ้า ต่อไปนี้พี่ใหญ่สัญญาว่าจะไม่ล้มป่วยอีกแล้ว พี่ใหญ่จะหาของกินอร่อยๆให้เจ้ากับท่านแม่ ท่านพ่อได้กิน”

“ดียิ่งขอรับ ข้าเองก็จะช่วยพี่ใหญ่ด้วยนะขอรับ”

“ตกลง รีบไปกันเถอะ จะได้รีบกลับ พี่ไม่รู้ว่าในลำธารจะมีปลาอยู่หรือไม่”

“ปลาหรือขอรับ ถ้าเป็นปลาย่อมต้องมีแน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าเราจะจับปลาได้ยังไง ปลาว่ายน้ำเร็วมาก ที่สำคัญนะพี่ใหญ่ปลาในลำธารหลังบ้านของเราส่วนมากจะเป็นปลาที่ก้างเยอะมาก และก็มีกลิ่นคาวแรงด้วย หายากที่จะมีปลาตัวใหญ่และก้างน้อย ไม่เหมือนกับสำธารสายใหญ่ที่อยู่อีกฟากของหมู่บ้านที่นั่น น้ำลึกและมีปลาตัวใหญ่อยู่”

“พี่รู้ ชาวบ้านเลยไม่นิยมมาจับปลากันแถวบ้านเรา แต่ว่านะ พี่คิดว่าพี่มีวิธีจัดการกับปลาพวกนั้น เอาไว้พี่จะทำให้เจ้ากินรับรองได้เลยเจ้าจะต้องชอบ”

“ตกลงข้าจะรอกินนะขอรับ แต่ว่านั่นต้องหมายถึงเราต้องจับปลาให้ได้เสียก่อน”

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”

สองพี่น้องเดินจับมือกันไปด้วยความสุข ถึงแม้ว่าครอบครัวจะยากจนข้นแค้นไปบ้างแต่ยังมีความสุขที่เรียบง่ายความรักความผูกพันและความเข้าใจความเห็นอกเห็นใจของคนภายใสนครอบครัว นับเป็นพื้นฐานสำคัญของสถาบันครอบครัวหยางเสี้ยวค่อนข้างพอใจครอบครัวเล็กๆที่ได้รับมาใหม่นี้มากถึงแม้ว่าจะยังไม่เคยเจอบิดาผู้ให้กำเนิดของร่างเดิมก็ตามที แต่ในความทรงจำของร่างเดิมนั้น หยางเทียนเป็นคนดี ขยันซื่อสัตย์และรักครอบครัวมาก

“พี่ใหญ่ถึงแล้ว น้ำใสจังเลย แต่ท่านแม่สั่งเอาไว้ห้ามลงเล่นน้ำถ้าหากไม่มีท่านพ่อมาด้วย เมื่อไหร่ท่านพ่อจะกลับมานะ ครั้งนี้ท่านลุงใหญ่ก็ไปด้วย ไม่รู้ว่าท่านพ่อกับท่านลุงจะล่าสัตว์ได้บ้างหรือเปล่านะ”

“ต้องได้อยู่แล้วสิท่านพ่อท่านลุงไปด้วยกันต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว จะว่าไปเขาอู๋หลงของพวกเราก็มีสัตว์ป่าอยู่มากมายทำไมชาวบ้านถึงไม่ขึ้นเขาอู๋หลงไปล่ากัน จะได้ไม่ต้องเดินทางไกลออกจากบ้านไปหลายวัน” หยางเสี้ยวพูดออกมาด้วยความไม่เข้าใจ

“ก็ไม่ใช่เพราะลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านบอกว่ามีเสืออยู่ในเขาอู๋หลงไม่ใช่หรือไง ทำให้ชาวบ้านกลัวจนไม่กล้าขึ้นเขาไปล่าสัตว์ ทำได้แค่หาผักป่าที่เชิงเขาเท่านั้น” หยางเสียนพูดออกมาด้วยความหงุดหงิด

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ เหตุใดพี่ไม่เห็นจำได้เลยล่ะ ”

“มีสิ พี่ใหญ่ลืมไปแล้วน่ะสิ แต่ข้าว่านะ ลูกชายหัวหน้าหมู่บ้านอาจจะโกหกก็ได้ เพราะทุกครั้งข้าไม่เคยได้ยินท่านพ่อว่าลูกชายหัวหน้าหมู่บ้านรวมกลุ่มกับชาวบ้านไปล่าสัตว์สักที แต่เขากลับมีสัตว์ป่าไปขายในตำบลตลอดเลยนะพี่ใหญ่ ”

“ก็อาจจะเป็นได้ เรื่องนี้เอาไว้ค่อยว่ากันเถอะ ตอนนี้เดินดูรอบๆแถวนี้ก่อนเผื่อว่าจะมีอะไรที่พอให้เอากลับไปได้บ้าง”

หยางเสี้ยวเดินเลาะไปตามริมลำธาร ในลำธารมีผักบุ้งที่กำลังชูยอดอวบอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากผักบุ้งแล้วยังมีบัวบก ผักกูด ผักเหล่านี้ล้วนแล้วแต่สามารถกินได้ แต่ทว่าในมิติแห่งไม่มีผู้ใดรู้ว่าผักเหล่านี้กินได้ มิเช่นนั้นก็คงไม่เหลืออยู่มากมายถึงเพียงนี้ ในลำธารยังมีกุ้งฝอย ปลาตัวเล็กๆที่ลักษณะคล้ายกับปลาซิวแต่ลำตัวจะขาวใสและมีขนาดยาวกว่าเล็กน้อย หยางเสี้ยวมองเห็นปลาตะเพียนตัวใหญ่เท่าสองฝ่ามือของผู้ใหญ่ว่ายผ่านไปอยู่หลายตัว

จากความรู้ที่รับการบอกเล่ามาจากเพื่อนร่วมชั้นถึงวิธีการขุดหลุมกับดักเอาไว้สำหรับจับปลาในนิยายทะลุมิติที่เพื่อนร่วมชั้นได้อ่านและถ่ายทอดให้เขาฟังอย่างละเอียดถี่ยิบ หยางเสี้ยวไม่รู้ว่ามันจะใช้ได้ผลกับเหตุการณ์จริงตรงหน้าหรือไม่ เขาทำได้เพียงต้องลองทำดูเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีความเป็นไปได้

“น้องชายพี่ใหญ่คิดวิธีหนึ่งได้ล่ะ พวกเราจะขุดหลุมกับดักเอาไว้สำหรับดักปลากัน”

“ตกลงพี่ใหญ่ข้าจะช่วยท่านขุดเอง”

ไม่รอช้าหยางเสี้ยวลงมือขุดหลุมด้านข้างลำธารทันที หลังจากขุดหลุมขนาดความกว้าง ประมาณ 1หมี่(1) ลึก 2หมี่ จากนั้นเขาก็ขุดทางน้ำจากลำธารมายังหลุมที่ขุดเอาไว้และทางน้ำเล็กๆเขาได้นำเอากดินโคลนในลำธารทาเอาไว้อีกด้วยจากนั้นก็ชวนน้องชายไปเดินหากิ่งไม้เพื่อวางปิดปากหลุม หลังตากเอากิ่งไม้วางเอาไว้เรียบร้อยดีแล้วขั้นตอนต่อไปก็นำใบไม้วางทับบนกิ่งไม้อีกทีเป็นอันเสร็จ

“พี่ใหญ่ วิธีนี้จะได้ผลจริงๆใช่หรือไม่ขอรับ”

“พี่เองก็ไม่รู้เราได้แต่ต้องรอดูแล้วล่ะ”

หลังจากจัดการหลุมกับดักเสร็จเรียบร้อยแล้ว หยางเสี้ยวเดินไปเก็บผักบุ้ง เพื่อที่จะนำไปทำอาหาร เมื่อหยางเสียนเห็นพี่ใหญ่ของตัวเองเด็ดยอดหญ้าน้ำขึ้นมาก็ถามออกมาด้วยความสงสัย เพราะหญ้าน้ำเขาไม่เคยเห็นใครกินเก็บไปกินเลยสักครั้ง

“พี่ใหญ่ เก็บยอดหญ้าน้ำไปทำไมหรือขอรับ มันกินไม่ได้สักหน่อยหรือว่าพี่ใหญ่ลืมไปแล้วขอรับ ”

“กินได้สิ ตอนนั้นพี่ใหญ่เคยเห็นคนต่างหมู่บ้านกิน เขาบอกว่ามันอร่อยมากพี่ยังคิดว่าทำไมพวกเราไม่ลองเก็บไปลองกินดูล่ะ”

“คนต่างหมู่บ้านที่ไหนขอรับ"

“พี่ใหญ่เองก็ไม่รู้ พี่ใหญ่เคยเห็นตอนที่เข้าไปขายสัตว์ป่ากับท่านพ่อน่ะ ตอนนั้นน้องชายเพิ่งสองขวบเอง เรื่องมันก็นานมากแล้วจนพี่เองก็ลืมไป พอวันนี้มาเห็นเจ้านี่ยอดอวบพี่ถึงได้นึกได้น่ะ คนผู้นั้นเรียกยอดหญ้าน้ำว่าผักบุ้ง เพียงแต่เป็นชนิดที่เกิดและเติบโตในน้ำเท่านั้น ต่างจากผักบุ้งที่เราปลูกอยู่เล็กน้อย พี่ใหญ่รับรองว่ามันไม่มีพิษแน่นอน” นับว่าเป็นการโกหกครั้งแรกของหยางเสี้ยวเลยทีเดียว

“ถ้าพี่ใหญ่บอกว่ากินได้ก็ต้องกินได้ ข้าเชื่อพี่ใหญ่ขอรับ”

หลังจากช่วยกันเด็ดผักบุ้งได้พอสมควรแล้ว หยางเสี้ยวจูงมือน้องชายเดินเลียบลำธารไปจนถึงแนวป่าไผ่ ไม่รู้ว่าจะมีหน่อไม้หลงเหลือให้ขุดเอากลับไปกินบ้างหรือไม่ คงต้องได้แต่วัดดวงแล้ว

“เอ๋พี่ใหญ่ ท่านพาข้ามาทำไมที่ป่าไผ่ขอรับ”

“มาหาหน่อไม้น่ะสิ เจ้าช่วยพี่หาดูว่าตรงไหนมีหน่อไม้อยู่บ้าง เจ้าใช้ไม้อันนี้เขี่ยใบไผ่ออกหาดูว่ามีตรงไหนที่ดินมีรอยแตกเหมือนมีอะไรดันขึ้นมาจากข้างล่างแบบนี้ หากเจอแล้วเรียกพี่ใหญ่ พี่ใหญ่จะเป็นคนขุดหน่อไม้ใต้ดินขึ้นมาเอง”

“พี่ใหญ่ ปกติหน่อไม้ก็ไม่มีคนกินเพราะมันทั้งขมและไม่อร่อย แล้วพี่ใหญ่จะลำบากหาหน่อไม้ใต้ดินทำไมขอรับ พี่ใหญ่ดูด้านนั้นสิ หน่อไม้เยอะเลย”

“โอ้ จริงด้วย ตอนนี้ขุดกลับไปก่อนเดี๋ยวพี่ค่อยคิดหาวิธีทำให้มันหายขม หลังจากขุดหน่อไม้แล้วพวกเราค่อยกลับไปดูหลุมดักปลาดีหรือไม่”

“ดีขอรับ”

หลังจากที่ขุดหน่อไม้ที่ทั้งอวบอ้วนและมีขนาดใหญ่ได้ 4 หน่อ หยางเสี้ยวพาน้องชายเดินกลับมาเพื่อดูว่ามีปลาตกลงไปในหลุมที่เขาขุดเอาไว้หรือไม่ อีกอย่างพวกเขาสองพี่น้องออกจากบ้านมานานแล้ว กลัวว่ามารดาที่กลับมาจะหาพวกเขาไม่พบและเป็นห่วงเอาได้ เขาจึงไม่รั้งขุดหน่อไม้ต่อ เดินกลับมาจนถึงหลุมดักปลาหยางเสี้ยวยกกิ่งไม้ใบไม้ออกจากปากหลุมก็พบว่าในหลุมมีปลาตะเพียนขนาดใหญ่อยู่ 4 ตัว

“พี่ใหญ่ ปลาล่ะ ในหลุมมีปลาตัวใหญ่ตั้งสี่ตัว แล้วจะเอามันขึ้นมาได้ยังไง”

“เอาผักกับหน่อไม้ที่เราขุดมาออกจากตะกร้า แล้วส่งตะกร้ามาให้พี่ใหญ่เราจะใช้ตะกร้าตักมันขึ้นมา”

“ขอรับ”

หลังจากตักปลาขึ้นมาจนครบสี่ตัวแล้ว หยางเสี้ยวก็เอากิ่งไม้ใบไม้มาปิดปากหลุมเหมือนเดิมตั้งใจเอาไว้ว่าพรุ่งนี้จะกลับมาดูใหม่ จากการพิสูจน์ทฤษฎีที่ได้ฟังมาจากเพื่อนร่วมเรียน หยางเสี้ยวนึกชื่นชมนักเขียนเจ้าของผลงานที่ได้มีการเขียนบรรยายเอาไว้ในนิยายอย่างละเอียด จนทำให้เขาสามารถสร้างหลุมดักปลานี้ได้สำเร็จ

จัดการกับหลุมดักปลาให้กับมาเป็นเหมือนเดิมเสร็จก็เอาผักและหน่อไม้ใส่เข้าไปในตะกร้าหยางเสี้ยวยกตะกร้าขึ้นสะพายหลัง จับจูงมือน้องชายกลับบ้านไปทันที บนใบหน้าผอมแห้งของหยางเสียนมีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา ในแววตายังมีความยินดีและตื่นเต้น อีกทั้งหยางเสี้ยวมองเห็นถึงความดีใจของน้องชาย อย่างน้อยๆตอนนี้เขาไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ อย่างน้อยวันนี้ก็หาอาหารได้พอกินไปมื้อหนึ่งแล้ว พรุ่งนี้เขาคงต้องตามท่านแม่ขึ้นไปขุดผักป่า ไม่แน่ว่าบนภูเขาอู๋หลงอีกด้านอาจจะมีของที่สามารถนำมากินได้

รอยยิ้มของน้องชาย

เสิ่นซื่อที่กลับมาจากขุดผักป่ากับเพื่อนบ้าน เมื่อมาถึงกลับพบว่าลูกชายทั้งสองไม่อยู่ในบ้าน นางหาจนทั่วแล้วแต่หาลูกชายทั้งสองไม่พบ สวนหลังบ้านก็ไม่มี เมื่อไปดูในห้องเก็บฟืนถึงได้รู้ว่าตะกร้าสะพายหลังของลูกชายทั้งสองหายไป นี่ไม่เท่ากับว่าสองพี่น้องพากันขึ้นเขาไปหรือ

ลูกชายของนางยังไม่ทันได้หายดีก็ขึ้นเขาไปอีกแล้ว ด้วยความร้อนใจเสิ่นซื้อรีบออกไปตามหาทันที แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ก้าวขาออกไปพ้นประตูบ้านก็พบว่าสองพี่น้องจูงมือกันกลับมา และได้ยินเสียงลูกชายคนเล็กหัวเราะคิกคักดังลอยมา เสิ่นซื่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ

“เสี้ยวเอ๋อร์เจ้าพาน้องไปที่ใดมา ไม่ใช่ว่าแม่บอกให้เจ้าพักผ่อนหรือ เจ้ายังไม่หายดีด้วยซ้ำ เสียนเอ๋อร์เหตุใดเจ้าไม่ห้ามปรามพี่ชาย ไม่ใช่แม่บอกให้เจ้าอยู่ดูแลพี่ชายหรือ”

“ท่านแม่ ท่านแม่ขอรับ ข้าเป็นน้องชายเผื่อท่านแม่จะลืม ท่านพี่บอกว่าหายแล้ว อยากออกไปเดินเล่นพวกเราไม่ได้ไปไหนไกลเลยนะขอรับ ไปแค่ลำธารหลังบ้านเอง”

“เจ้าลูกคนนี้นี่ ไม่ใช่ว่าเจ้ารบเร้าให้พี่ใหญ่ของเจ้าพาออกไปหรอกนะ ”

“ท่านแม่ขอรับ อย่าตำหนิน้องเลยขอรับเป็นข้าเองที่ชวนน้องชายออกไป ข้าหายแล้วจริงๆ ขอรับ ข้านอนมากเกินไปจนปวดหัวไปหมดเลยชวนน้องเล็กไปที่ลำธารหลังบ้านขอรับ”

“ใช่แล้วล่ะท่านแม่ ท่านดูสิพี่ใหญ่เก่งมากเลย พวกเราได้ของกินกลับมาเยอะแยะเลยขอรับ” หยางเสียนพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจในตัวพี่ชาย

“ท่านแม่เข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่าขอรับอย่ายืนอยู่ตรงนี้กันเลย”

“เสี้ยวเอ๋อร์ ลูกเก็บยอดหญ้าน้ำมาทำอันใดรึมันกินไม่ได้หรอกนะลูก แล้วไหนจะหน่อไม้นี่อีก มันขมเสียขนาดนั้นมันไม่อร่อยหรอกนะลูก แม่ขอโทษพวกเจ้าพี่น้องที่แม่ไม่มีความสามารถมากกว่านี้นะลูก ทำให้พวกเจ้าต้องหิวโหยหลายต่อหลายครั้ง” เสิ่นซื่อเห็นสิ่งที่ลูกชายเก็บกลับมาก็น้ำตารื้นขึ้นมาทันที

“ท่านแม่ ยอดหญ้าน้ำพวกนี้กินได้ขอรับข้าเคยเห็นคนหมู่บ้านอื่นเก็บไปกินกัน มันมีชื่อว่าผักบุ้งขอรับ เพียงแค่ผักบุ้งชนิดนี้เจริญเติบโตได้ดีในน้ำเป็นคนละพันธุ์กับผักบุ้งที่เราปลูกขอรับ ส่วนหน่อไม้ข้าจะคิดหาวิธีกำจัดความขมของมันออกไปขอรับ”

“ท่านแม่ขอรับ พี่ใหญ่ยังจับปลา ตัวใหญ่ได้ตั้ง 4ตัว ท่านแม่ดูสิขอรับเท่านี้เราก็มีเนื้อกินแล้ว”หยางเสียนพูดไปรื้อของในตะกร้าออกจนหมด เสิ่นซื่อมองลงไปในตะกร้าก็เห็นปลา ตัวขนาดน่าจะหนักถึงตัวละ5ชั่งอยู่ 4ตัว

“นี่พวกเจ้าจับปลามาได้อย่างไรกันไม่ใช่ว่าพวกเจ้าลงไปในลำธารใช่หรือไม่ ไม่ถูกสิปลาพวกนี้ว่ายน้ำเร็วมาก พวกลูกไม่รู้วิธีจับปลาเหตุใดถึงได้จับปลามาได้ ขนาดท่านพ่อของพวกเจ้า ยังไม่เคยจับปลาตัวใหญ่ขนาดนี้ได้เลยนะ”

“ท่านแม่ขอรับพี่ใหญ่ รู้วิธีดักปลาขอรับ ท่านแม่อย่าไปบอกใครเชียวล่ะ นี่เป็นความลับของพี่ใหญ่ ”

“เจ้าลูกคนนี้นี่แม่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรพูด เจ้าเห็นแม่เป็นเด็กๆหรือยังไง เอาล่ะบอกความจริงแม่มาได้แล้ว ”

“ท่านแม่ขอรับพวกเราไม่ได้ลงไปในลำธารขอรับ เพียงแต่ข้าลองขุดหลุมดักปลาขึ้นมาตามที่ข้าบังเอิญได้ยินนายพรานต่างหมู่บ้านพูดกันตอนตามท่านพ่อไปขายสัตว์ป่าในเมืองขอรับ ข้าก็เลยลองทำตามที่ได้ยินมาเท่านั้น ปรากฏว่ามันได้ผล ต่อไปนี้พวกเราจะมีปลากินทุกวันขอรับ ท่านแม่ขอรับเราแบ่งปลาไปให้บ้านท่านปู่ท่านย่า 2 ตัวได้หรือไม่ขอรับ ลุงใหญ่เองก็ไม่อยู่ ป้าสะใภ้เองก็เจ็บไข้อยู่ตลอดเวลา ท่านย่าเองก็อายุมากแล้ว จะได้ต้มน้ำแกงบำรุงร่างกาย”

“ได้สิ ทำไมถึงจะไม่ได้ล่ะ เช่นนั้นหน่อไม้กับผักบุ้งของลูกจะทำยังไงกับมัน ”

“ท่านแม่ช่วยข้าปอกเปลือกหน่อไม้ จากนั้นนำไปต้ม ตอนต้มใส่เกลือลงไปเล็กน้อย ต้มจนหน่อไม้สุกจากนั้นท่านแม่นำออกมาล้างน้ำและชิมดู ถ้ายังขมท่านแม่นำกลับไปต้มอีกครั้ง ขอรับ ข้าคิดว่าเท่านี้น่าจะได้แล้ว ”

“ตกลงแม่จะลองดู วิธีนี้ลูกก็ได้ยินพวกนายพรานพูดกันอีกหรือ”

“ขอรับ” หยางเสี้ยวได้แต่แอบเอานิ้วไขว้กันอยู่ด้านหลัง เขาไม่ได้อยากจะโกหกสักหน่อย แต่มันจำเป็นเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว

สองพี่น้องเดินจับจูงมือกันไปบ้านของท่านปู่ หยางเสี้ยวสะพายตะกร้าระหว่างที่เดินไปบ้านของท่านปู่นั้นเด็กชายรู้สึกได้ว่าหมู่บ้านลี่จวงแห่งนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่ฐานะยากจนเสียส่วนใหญ่ มีเพียงหลานชายของหัวหน้าหมู่บ้านเท่านั้นที่มีโอกาสได้เรียนหนังสือในตำบล ทั้งสองคนเดินมาได้ไม่นานก็มาถึงบ้านของท่านปู่ ถึงแม้ว่าบ้านของท่านปู่จะมีสภาพดีกว่าบ้านของเขาอยู่เล็กน้อยแต่รวมๆแล้วคือมันเก่าจวนเจียนจะพังลงมาเสียให้ได้ ไม่รู้ว่าด้วยสภาพบ้านแบบนี้พวกเขาจะผ่านฝนผ่านหนาวไปได้อย่างไร

“ท่านปู่ ท่านย่า พวกข้ามาแล้ว มีใครอยู่บ้างขอรับ ป้าสะใภ้อยู่บ้านหรือไม่ขอรับ” หยางเสียนยังคงเป็นเด็กน้อยร่าเริงที่ส่งเสียดังเรียกหาคนในบ้าน

“เสียนเอ๋อร์เองหรอกหรือเสี้ยวเอ๋อร์ก็มาด้วยหลานหายดีแล้วหรือ ถึงได้ออกมาข้างนอก” หานซื่อถามไถ่หลานชายด้วยความเป็นห่วง

“ท่านย่าข้าหายดีแล้วขอรับ วันนี้ข้ากับน้องจับปลาได้เลยเอามาให้ท่านป้าสะใภ้ต้มน้ำแกงบำรุงให้ท่านปู่ท่านย่ากินขอรับ แล้วนี่ท่านปู่ไปที่ใดหรือขอรับ”

“ปู่ของเจ้าออกไปเก็บฟืนประเดี๋ยวก็กลับแล้วล่ะ ส่วนป้าสะใภ้ของเจ้าไปซักผ้าอีกเดี๋ยวก็คงกลับมาแล้วล่ะ"

“เช่นนั้นข้าเอาปลาไปไว้ที่ห้องครัวนะขอรับท่านย่า”

“ไม่ต้องๆ ย่าเอาไปเองได้ เจ้ากับเสียนเอ๋อร์นั่งรอย่าที่นี่ล่ะ ”หานซื่อยกตะกร้าเข้าไปในครัวหลังจากเอาใบไม้ที่ปิดอยู่ด้านบนออก ก็ต้องตกใจเพราะปลาที่หลานชายนำมาให้นั้นตัวใหญ่มากทีเดียว

“เสี้ยวเอ๋อร์ ครั้งหน้าไม่ต้องแบ่งปลามาให้ย่ามากขนาดนี้หลานเอาไปขายให้บ้านตาเฒ่าฟู่กุ้ย จะได้มีเงินเอาไว้ใช้ในบ้าน”

“ท่านย่านี่ถือเป็นความกตัญญูจากพวกเรานะขอรับ อีกอย่างข้ามีวิธีจับปลา แต่ว่าจะมากพอนำไปขายหรือไม่นั้นต้องดูอีกที แต่ข้าอยากให้ท่านย่าท่านปู่ ท่านป้าสะใภ้ รวมถึงทุกคนในครอบครัวของพวกเราร่างกายแข็งแรงมากกว่าขอรับ ถ้าหากร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยเราก็ไม่ต้องหาเงินเพื่อจ่ายค่ายาแบบนี้ดีกว่าขอรับ ท่านย่ากินน้ำแกงปลาให้สบายใจได้เลย พรุ่งนี้ข้าจะเอาปลามาให้อีกนะขอรับ ตอนนี้ข้ากับน้องกลับบ้านก่อนท่านแม่อยู่บ้านคนเดียว”

“เช่นนั้นก็กลับบ้านดีๆล่ะ ขอบใจหลานมาก”

“ข้ากลับก่อนนะขอรับท่านย่า”

หลานชายทั้งสองกลับไปแล้วหานซื่อได้แต่มองตามแผ่นหลังของเด็กทั้งสองคน นางมีลูกทั้งหมดสามคน ลูกชายสองคนส่วนลูกสาวคนเล็กนั้นแต่งออกไปอยู่หมู่บ้านอื่นไม่รู้ว่าจะได้รับความลำบากใจจากแม่สามีบ้างหรือไม่ เพราะครอบครัวของนางยากจนสินเดิมเจ้าสาวไม่สามารถจัดหาได้มากมายนัก ถึงแม้ว่าลูกเขยจะเป็นคนดีมากคนหนึ่ง แต่หน้ามือก็มารดาหลังมือก็ภรรยาย่อมลำบากใจอยู่บ้าง

หลินซื่อกลับมาจากซักผ้าเห็นแม่สามียืนเหม่ออยู่หน้าบ้านไม่รู้ว่าในใจนางคิดอะไรอยู่ดูแล้วท่าทางทุกข์ใจไม่น้อย นางเองก็ร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่คลอดลูกคนเล็ก ทำให้ไม่สามารถทำงานหนักๆได้เหมือนเดิม ภาระทั้งหลายจึงตกอยู่ที่แม่สามี

“ท่านแม่ ทำไมถึงมายืนอยู่ตรงนี้เจ้าคะ แล้วนี้ เด็กๆยังไม่กลับจากตัดหญ้าให้หมูหรือเจ้าคะ”

“อ่อ ข้าออกมาส่งเสี้ยวเอ๋อร์กับเสียนเอ๋อร์น่ะ พวกของเจ้าใหญ่กับน้องๆยังไม่กลับมาหรอก เจ้ารีบไปตากผ้าเถอะประเดี๋ยวแม่จะไปทำกับข้าวรอพ่อเจ้า วันนี้เสี้ยวเอ๋อร์กับเสียนเอ๋อร์เอาปลามาให้ตัวใหญ่เลยล่ะ”

“ปลาหรือเจ้าคะ ปลาจากที่ใดกัน”หลินซื่อถามออกมาด้วยความตกใจ หยางเสี้ยวอายุน้อยกว่าลูกชายของนางถึง 2 ปี

“เห็นบอกว่าจับมาจากลำธารหลังบ้าน เลยแบ่งมาให้พวกเราต้มน้ำแกงบำรุงร่างกาย”

“เจ้าค่ะ”

หญิงต่างวัยทั้งสองคนแยกกันงานหลินซื่อนำผ้าที่ซักขึ้นตากเสร็จพอดี พ่อสามีก็แบกฟืนกลับมาพร้อมด้วยลูกชายทั้งสามคนของนาง หยางเซวียน อายุ 10 ขวบพี่เป็นใหญ่ หยางชิง อายุ 8 ขวบเท่ากับหยางเสี้ยว หยางอิน อายุ 6 ขวบเท่ากับหยางเสียน

“โอ๊ะ ท่านย่าทำอันใดกินหอมมาก ท้องข้าร้องประท้วงแล้ว”หยางอินตัวน้อยวิ่งเข้ามาในลานบ้านพร้อมกับตะโกนออกมา

“น้องสามเก็บความตะกละเอาไว้บางเถอะ” หยางชิง

“พี่ใหญ่พี่รองว่าข้า” หยางอินฟ้องพี่ชาย

“พอได้แล้วพวกเจ้าสองคน เอาผักป่าพวกนี้ไปให้หมูก่อนจะได้ล้างมือมากินข้าว เซวียนเอ๋อร์หลานพาน้องเอาผักป่าพวกนี้ไปที่เล้าหมูก่อนแล้วค่อยมากินข้าว อย่านานล่ะ”

“ขอรับท่านปู่”

หยางไห่นำฟืนที่หามาได้วันนี้ไปเก็บไว้ในห้องเก็บฟืนจากนั้นก็รีบไปล้างมือเพื่อเตรียมกินมื้อกลางวันที่ล่าช้ามานาน เพราะวันนี้พวกเขาปู่หลานออกไปหาฟืนและตัดหญ้าเพื่อนำมาเลี้ยงหมูไกลกว่าเดิมทำให้เสียเวลาไปกลับนานกว่าปกติ

“ยายเฒ่าข้ากลับมาแล้ว วันนี้เจ้าทำอันใดกินข้าได้กลิ่นเหมือนน้ำแกงปลา”

“จมูกดีจริงนะตาเฒ่า ข้าก็ทำน้ำแกงปลาน่ะสิ เสี้ยวเอ๋อร์กับเสียนเอ๋อร์ เอาปลามาให้ตัวใหญ่เชียวล่ะ”

“หลานไปเอาปลามาจากไหน”

“เห็นบอกว่าจับมาจากลำธารหลังบ้าน ”

“จริงรึ เสี้ยวเอ๋อร์จับเองเลยรึ”

“เอ๊ะ ตาเฒ่านี่ เสี้ยวเอ๋อร์บอกว่าจับเองก็จับเองสิ เจ้าไม่เชื่อในตัวหลานหรือ ”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ข้าเพียงแต่คิดว่าปลาว่ายน้ำเร็วมาก เสี้ยวเอ๋อร์อาจจะมีวิธีจับปลาก็เป็นได้ หากว่าข้าจะไปถามหลานเจ้าว่าจะเป็นการเห็นแก่ตัวหรือไม่”

“เจ้าไม่ต้องไปถามหลาน หากหลานอยากบอกหลานจะบอกเอง อย่าทำให้หลานลำบากใจ เสี้ยวเอ๋อร์ยังบอกว่าหากจับปลาได้อีกจะเอามาให้ เจ้ารอกินก็พออย่าไปสร้างความอึดอัดใจให้หลาน”

“ข้าเข้าใจแล้ว”

หยางเสี้ยวกลับมาถึงบ้านเสิ่นซื่อก็ต้มหน่อไม้สุกพอดีเมื่อชิมดุแล้วไม่หลงเหลือรสขมอีกมีเพียงรสหวานเท่านั้น เสิ่นซื่อดีใจจนน้ำตาไหล นางตั้งใจว่าจะไปขุดหน่อไม้แล้วนำมาต้มตากแดดเพื่อเก็บไว้เป็นเสบียง หลังจากจัดการหน่อไม้เสร็จแล้ว หยางเสี้ยวล้างผักบุ้งมาส่งให้ที่ห้องครัว เสิ่นซื่อผัดผักบุ้งใส่เพียงเกลือนิดหน่อยเท่านั้น และผัดหน่อไม้ตามคำแนะนำของลูกชายอีกหนึ่งจาน อาหารวันนี้ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์กว่าวันไหนๆ มีผัดหน่อไม้ ผัดผักบุ้ง น้ำแกงปลา อาหารธรรมดาแต่ดูหรูหราสำหรับครอบครัวชาวบ้านจนๆ

“เสียดายที่ท่านพ่อยังไม่กลับมา ไม่เช่นนั้นท่านพ่อก็จะได้กินน้ำแกงปลาแล้ว” หยางเสียน

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ
0
0