เคยมีคำกล่าวว่า ภาพหนึ่งภาพแทนคำพูดได้นับพัน (a picture is worth a thousand words) แต่ถ้าเรามีรูปถ่ายเป็นพัน หนึ่งพันรูปของเรานั้นจะมีค่าแค่ไหน…
ในยุคดิจิตอลที่การกดถ่ายรูปง่ายแสนง่ายเหมือนกะพริบตา เมื่อรีวิวรูปได้ เราทุกคนจึงต้องการช็อตที่ดีที่สุด วิวที่สวยที่สุด มุมกล้องที่ดูผอมและสวยหล่อมากที่สุด เกิดพฤติกรรมคนยุคดิจิตอลที่ถ่ายภาพวิวเดิมคล้ายๆ กัน แต่ถ่ายซ้ำๆเยอะๆ ไว้ก่อนเพื่อให้ได้ 1 รูปที่เพอร์เฟกต์ แล้วค่อยมาไล่ลบรูปที่ไม่ใช้ออกทีหลัง หรือหลายๆคนก็เก็บรูปที่ถ่ายซ้ำๆ ไว้ในเครื่องอย่างนั้น
วิธีนี้ทำให้สมองเราต้องประมวลภาพมากมายไม่หยุดหย่อนในแต่ละวัน
ในทางจิตวิทยา การมีรูปเยอะเกินไป หรือ Image Overload มีผลต่อตัวเราตั้งแต่ความเครียดไปจนถึงผลกระทบต่อความทรงจำ
เมื่อมีรูปเยอะ การจำทุกรูปได้เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ การจัดเก็บรูปและย้อนกลับไปดูรูปเก่าๆ ที่มีความทรงจำดีๆ และมีความหมายเป็นไปได้ยากขึ้นด้วย ยังไม่นับการย่อยภาพของเพื่อนๆในโซเชียลที่ขึ้นมาในฟีดไม่หยุดหย่อนในแต่ละวันอีก
แม้รูปถ่ายจะเป็นสิ่งที่ใช้เก็บความทรงจำอยู่ แต่คนรุ่นใหม่เริ่มหันไปใช้รูปเพื่อปฎิสัมพันธ์มากขึ้นด้วย ทั้งถ่ายเพื่อลงโซเชียล เพื่อลงไอจีสตอรี่ เพื่อให้คนอื่นรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ มีการกดไลค์และคอมเมนต์รูปกันไปมา ความสัมพันธ์ของคนกับรูปจึงเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน
เมื่อยุคดิจิตอลมีรูปมากเกินไปทำให้เราเริ่มเหนื่อยล้า จึงมีกระแส “Slow Photography” เกิดขึ้น เช่น การกลับไปถ่ายกล้องฟิล์มซึ่งเป็นการถ่ายรูปที่ให้ความสำคัญระว่างกระบวนการถ่ายมากกว่าผลลัพธ์รูปถ่ายตอนสุดท้าย
แม้รูปจากกล้องดิจิตอลและกล้องฟิล์มจะดีคนละแบบ แต่ผู้ที่ถ่ายกล้องฟิล์มก็มักจะจดจำภาพจากฟิล์มได้ชัดเจนกว่า เพราะกระบวนการถ่ายไปจนถึงล้างรูปมีขั้นตอนและระยะเวลาพอสมควร
ลองหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาดูภาพที่ถ่ายไว้ หากมีภาพยิบย่อยที่ไม่สำคัญมากเกินไป และเราจดจำเหตุการณ์จากภาพได้ไม่ชัดเจน อาจจะต้องลองคิดว่า ถึงเวลาที่เราควรกดถ่ายรูปให้ถี่น้อยลงหรือยัง
ที่มา:
About Me
Instagram: http://www.instagram.com/faunglada
Facebook: http://www.facebook.com/faunglada
Youtube: http://www.youtube.com/faunglada
Twitter: @faunglada
Website: www.faunglada.com