โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

คู่รักและการทะเลาะ - นิ้วกลม

THINK TODAY

เผยแพร่ 22 ธ.ค. 2561 เวลา 06.05 น. • นิ้วกลม

เช้าวันนั้น ผมเดินไปที่บ้านป๊ากับแม่แล้วพบว่า มีความเงียบประหลาดลอยอวลอยู่ทั่วบริเวณ เมื่อนั่งคุยกับแม่ไปได้สักพัก ป๊าจึงเอ่ยปากบอกสาเหตุของความเงียบอันน่าสะพรึงนั้น เรื่องราวที่ป๊าเล่าไม่ต่างอะไรกับเรื่องที่ผมได้ยินมาตลอดสามสิบกว่าปี มนุษย์เรามักทะเลาะกันด้วยเรื่องเดิมๆ

เรื่องที่ป๊าเล่า หากใครได้ฟังอาจรู้สึกขบขัน เช้าวันนั้นแม่พูดขึ้นมาว่า น่าไปซื้อกุนเชียงมากินกัน ป๊าจึงบอกว่า บ้านเรามีกุนเชียงอยู่ เพราะพี่สาวของผมเพิ่งซื้อมาฝากไม่นานนี้ ว่าแล้วป๊าก็เดินไปหยิบออกมาจากตู้กับข้าว ทันใดนั้นแม่ก็โพล่งขึ้นมาว่า “อีกแล้วเนี่ย ชอบเอาของไปซ่อน” 

เท่านั้นแหละครับ คราวนี้ ป๊าก็ภูเขาไฟระเบิด ร่ายความดีสารพัดที่ทำมาตลอดการใช้ชีวิตคู่ให้แม่ฟัง เสร็จแล้วก็บ่นเป็นหมีกินผึ้งว่า ไม่เคยมองเห็นความดีกัน แล้วชอบพูดอะไรแย่ๆ ใส่ตลอดเวลา

จากนั้นไม่ว่า ถ้อยคำอะไรจะถูกเอ่ยออกจากปากแม่ก็ไม่มีความหมายใดๆ อีกต่อไปแล้ว หูของป๊าปิดสนิทแล้ว แถมยังตั้งป้อมจ้องโต้เถียงกลับมาครบทุกประโยค

นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ใหม่หรือแปลกประหลาดอะไรเลย นี่คือสภาพความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นทุกวันบนโลกใบนี้ เราผิดใจกันด้วยเรื่องที่คนอื่นอาจมองเข้ามาแล้วเห็นว่าเล็กน้อยเหลือเกิน แต่สำหรับตัวเราเอง มันช่างเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่อาจยอมกันได้ง่ายๆ

ผมเชื่อว่าในคู่ความสัมพันธ์ทุกคู่นั้นมักจะมี ‘ปม’ บางอย่างที่ถ้าไปสะกิดโดนก็พร้อมที่จะทำให้ภูเขาไฟระเบิดพลุ่งพล่านออกมาได้ สำหรับป๊าก็คือคำเหน็บแบบคิดน้อยไปหน่อยของแม่ 

ซึ่งแม่เองก็มักจะมี ‘ลูกสร้อย’ ห้อยท้ายตามประโยคคำพูดมาติดปลายนวม ซึ่งผมสังเกตเห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า อันที่จริงแม่ก็มิได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด แต่มันเป็นนิสัยไปแล้ว ทำไงได้เล่า

เวลานั่งฟังหญิงชายวัยเจ็ดสิบกว่าปีงอนกันด้วยเหตุผลของตนเอง ผมมักจะหัวเราะออกมา แล้วบอกกับป๊าว่า เอาน่า ป๊าก็ปล่อยผ่านๆ หูไปบ้างไม่ได้หรือ ไม่ต้องเก็บมาคิดทุกคำก็ได้ และผมมักให้เหตุผลกับป๊าว่า แม่เขาก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว คนเราอายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว มันไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายๆ หรอก

ผมพูดแบบนั้นทั้งที่ก็ทราบดีว่า ป๊าเองก็อายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว ก็เปลี่ยนไม่ได้เช่นกัน ป๊าก็หงุดหงิดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ไปอีกชั่วกาลนาน แม่ก็คงจะหลุดคำพูดเหน็บๆ โดยไม่มีเจตนาร้ายแบบนี้ไปจนชั่วกัลปาวสานเช่นกัน

สรุปคือ คาดหวังให้ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย

แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปคือ ตัวผมเอง ‘ดราม่า’ กับห้วงเวลาที่สองคนนี้งอนกัน โกรธกัน หรือทะเลาะกัน น้อยลงมาก ผมมักจะอยู่ร่วมในห้วงเวลานั้น เพราะรู้สึกว่า เวลาที่คนเราแบ่งโลกเป็นขาว-ดำ ถูก-ผิด ดี-ชั่ว ฉัน-เธอ การมีบุคคลที่สามอยู่ด้วยจะช่วยทำให้เส้นแบ่งพร่าเลือนลง เมื่อเส้นแบ่งพร่าลง ก็มีโอกาสสนามฉันท์กันง่ายขึ้น

หลังจากผมนั่งยิ้มให้กับสิ่งที่ป๊างอน และแกล้งติแม่เล่นๆ ว่า แม่ก็ไปว่าป๊าเขาทำไม ไม่นานนัก แม่ก็เอ่ยปากขอโทษป๊า และกล่าวชมเชยว่า ป๊าช่วยดูแลแม่ทุกอย่าง ซื้ออาหารให้กิน พาไปโรงพยาบาล ช่วงพยุงเวลาจะไปไหนมาไหน “ถ้าไม่ได้ป๊านี่ลำบากเลย” แม่บอก ว่าแล้วก็บอกป๊าว่า “ขอโทษที่พูดไม่ดีออกไป”

แน่ล่ะ ป๊าไม่ได้ยอมคืนดีด้วยทันทีหรอก ก็ไว้ฟอร์มกันอีกหลายชั่วโมง

วันรุ่งขึ้น ผมเดินไปที่บ้านอีกครั้ง ป๊ากำลังพยุงแม่ขึ้นรถ แล้วบอกว่า วันนี้ครบกำหนดต้องไปโรงพยาบาลอีกแล้ว ผมกับป๊าแบ่งหน้าที่กัน โดยป๊ามักจะเป็นคนพาแม่ไปโรงพยาบาลอยู่เสมอ

ความเงียบเมื่อวานหายไปแล้ว

ผมได้เรียนรู้สิ่งหนึ่งว่า ความรักนั้นไม่ใช่การอยู่ด้วยกันโดยปราศจากความขัดแย้ง การทะเลาะเบาะแว้ง หรือความไม่เข้าใจกัน หากคือการดำเนินชีวิตไป โดยมีสิ่งทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นองค์ประกอบอยู่บ้างในความสัมพันธ์ แต่เมื่อเหตุการณ์ในแง่ลบเกิดขึ้นแล้ว คนรักกันย่อมสามารถวางเรื่องร้ายเหล่านั้นลง แล้วดำเนินชีวิตคู่ของกันและกันต่อไปตามวิถีที่ต้องเป็น

ผมเห็นภาพป๊าจูงแม่ขึ้นรถไปโรงพยาบาล, ใช่ครับ, ผมเห็นภาพนี้ตั้งแต่วันที่ทั้งคู่ทะเลาะกันจนไม่พูดคุยกันแล้ว ผมทราบดีว่า ไม่ว่าจะงอนกันอย่างไร ป๊าก็จะพาแม่ไปโรงพยาบาลด้วยความห่วงใย

เป็นเช่นนี้เสมอมา

ความรักมิได้มีเฉพาะด้านสวยงาม

หากคือความงามที่ยังคงอยู่เสมอในหัวใจ แม้ผ่านเรื่องราวร้ายระหว่างกัน

ผมยิ้มให้กับภาพที่เห็น และรู้ดีว่า อีกไม่กี่วันเดี๋ยวสองคนนี้ก็หาเรื่องมางอนกันอีก

แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลใจอะไรหรอก

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0