โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

(มีอ่านฟรีทุกวัน)ไปต่างโลกเพื่อไปเป็นเทพเซียน ฉบับภารกิจรักข้ามภพ

นิยาย Dek-D

อัพเดต 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา • ภัทรธิชา
(มีอ่านฟรีทุกวัน)ไปต่างโลกเพื่อไปเป็นเทพเซียน ฉบับภารกิจรักข้ามภพ
พิมคือสาวไทยที่กลายเป็นวิญญาณได้ไปอยู่ในร่างของซูมี่ในตอนที่ตายพอดีและยังมีเสียงชายปริศนาที่เข้ามาในหัวของเธอเพื่อคอยแนะนำภารกิจให้เธอไปช่วยพระเอกของโลกการ์ตูนนี้ให้สู้กับมังกรมารที่ชั่วร้าย

ข้อมูลเบื้องต้น

นิยายเรื่องนี้ เหมาะสำหรับคนอ่านชอบแบบสบายๆไม่เครียดอะไรมาก ตามสไตล์ไรต์เช่นเคย

รอบนี้ไรต์เขียนแนวจีนเทพเซียน แนวใหม่สำหรับไรต์และตลกที่เป็นตัวตนของไรต์ 555+

ไม่ฮา เขียนไม่ออก!

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของสาวไทยที่ชื่อพิม เธอได้กลายเป็นซูมี่ นางกำนัลที่มีเบื้องหลังครอบครัวไม่ธรรมดาและตอนนี้เธอก็อยู่ในโลกหนังสือการ์ตูนที่เธอเคยอ่าน

ภารกิจของเธอคือการปราบมังกรมารที่จะบุกมาทำลายทวีปที่เธออาศัยอยู่ นี่เป็นภารกิจของชายปริศนาที่ได้นำพาดวงวิญญาณของเธอมาที่แห่งนี้

พิมหรือซูมี่จะต้องช่วยเหลือหูเทียนฮ่าวซึ่งเป็นพระเอกในเรื่องสยบฟ้าผ่าสวรรค์ปราบมารที่เธอเคยอ่านรวมถึงเพื่่อนๆของเขาให้แข็งแกร่งพอไปสู้กับมังกรมารได้ (สรุปคือเธอต้องไปเป็นพี่เลี้ยงเด็ก)

นี่คือเรื่องราวการผจญภัยของซูมี่ที่ไม่ได้จบแค่การปราบมังกรมารที่จะบุกมาเข่นฆ่ามนุษย์เท่านั้น แต่เธอยังต้องสะสางปัญหาชำระความแค้นให้กับพ่อแม่ของเธอด้วย เรื่องราวจะสนุกแค่ไหน โปรดฝากตามอ่านด้วยนะคะ

นิยายเรื่องนี้มีติดเหรียญขายอ่านล่วงหน้าตั้งแต่ตอนที่13

ไรต์ยังเอ็นดูคนสายงบน้อยนะคะเช่นเคย หากใครชอบฝากสนับสนุนตอนด้วยค่ะ

ขอบคุณค่ะ

นางกำนัลตัวน้อยซูมี่

ในตำหนักพระราชวังสักที่หนึ่ง มีเด็กสาวคนหนึ่งกำลังกวาดใบไม้ใบหญ้าด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แต่ในใจนั้นกำลังสับสนวุ่นวาย เพราะจู่ๆเธอก็กลายมาเป็นนางกำนัลสาวแสนสวยตัวน้อยในวัง บรรยากาศรอบตัวของเธอแทบไม่ต่างจากในหนังเลยสักนิด เหมือนว่าเธอจะหลุดมาในโลกการตูนที่เธออ่านมา

ชื่อเรื่องว่าอะไรนะ?

เอ… เหมือนว่าจะชื่อสยบฟ้าผ่าสวรรค์ปราบมารรึเปล่านะ

ทำไมเธอต้องมาเป็นนางกำนัลที่เป็นมนุษย์ไร้พิษไรภัยด้วย!!!

โลกนี้มีแต่พวกฝึกยุทธและเทพเซียนทั้งหลายทั้งนั้น เฮ้อ… ฉันจะรอดไหมเนี่ย!

เรื่องราวของเด็กสาวที่เธอมาสิงอยู่ในร่างนี้ก็น่าสงสาร ครอบครัวของเธอตายไปเพราะโรคระบาด ป้าของเธอมีนามว่าซูเมิ่ง ป้าเมิ่งได้ไปรับเธอถึงบ้านแม้ว่ามันจะมีโรคระบาดอยู่ก็ตามในตอนนั้น ต่อมาเธอก็ได้รับการรักษาจนหายและได้เดินทางมาอยู่กับป้าของเธอที่พระราชวัง นามของเธอคือซูมี่ แต่ชื่อของเธอจริงๆแล้วคือสุกัญญาหรือมีชื่อเล่นว่าพิม สาวไทยผิวเข้มท้าแดดและทนฝน แถมเป็นสาวโสดที่ไม่เคยมีแฟนมาสามสิบเอ็ดปี เฮ้อ…อยากไถมือถือจังโว้ย! มีการ์ตูนหลายเรื่องเลยนะที่ฉันยังอ่านไม่จบ ฮือ…. เศร้าโว้ย!

ซูมี่ชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาจับจ้องมาที่เธอ เธอหันไปทางซ้าย เธอก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่แต่งตัวไม่ค่อยเรียบร้อยเหมือนพึ่งตื่นนอน ชายคนนี้หน้าตาหล่อเหลาสะท้านฟ้าสะท้านแผ่นดินจัง อายุน่าจะไม่เกินสามสิบห้านะเนี่ย

ซูมี่ทำตาปริบๆพลางคิดในใจ เฮ้…! พี่ชายคนนอกห้ามเข้านะรู้เปล่า

ชายหนุ่มแปลกหน้าได้ปล่อยผมสยาย เขาอยู่ในชุดสีขาวหลวมๆ “เด็กน้อย เสียงถอนหายใจของเจ้าดังไปถึงข้างนอกเลยนะ มีเรื่องทุกข์ใจหรือ?”

ซูมี่มองชายแปลกหน้าที่ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้เธอ “ท่านดูมีเรื่องทุกข์ใจมากกว่าข้าอีกนะเจ้าคะ อย่างน้อยข้ายังได้ระบายบ้างในแบบของข้า”

ชายแปลกหน้ามีสีหน้าแปลกใจ เขาลูบหน้าตัวเอง สีหน้าบนใบหน้าเขาเห็นได้ชัดขนาดนั้นเลยเหรอ?

ชายแปลกหน้ามองซูมี่

นางกำนัลตัวน้อยนางนี่น่าสนใจ

“บอกพี่ชายมาสิ ว่าเจ้ามีปัญหาเรื่องใด เล่ามาสักหน่อยเจ้าจะได้ไม่ต้องยืนถอนหายใจอีก”

“เอ่่อ… ข้ากับท่านไม่ได้สนิทกันนะ”

“ก็จริง พี่ชายชื่อหยุนฟ่าน น้องสาวมีนามว่าอะไร?”

“ซูมี่เจ้าค่ะ”

“ตอนนี้เราสนิทกันแล้วนะ”

ซูมี่ “…” แค่รู้ชื่ออีกฝ่ายก็สนิทกันแล้วเนี่ยนะ!

“พี่หยุนฟ่าน ท่านไม่ไปทำงานทำการรึเจ้าคะ?”

“พี่ว่างมากน่ะ”

ซูมี่ “…”

“ข้ายังกวาดใบไม้ไม่เสร็จเลย”

“เจ้าก็กวาดไปและพูดระบายความในใจออกมาก็ได้นี่”

“ข้าเป็นคนที่ทำได้ทีละอย่างเจ้าค่ะ ข้าไม่ค่อยฉลาดที่จะทำอะไรไปพร้อมกัน”

“งั้นเจ้าหยุดกวาดแล้วมาพูดก่อนก็ได้”

พี่ชายท่านนี้…เรื่องของข้าไม่น่าสนใจหรอกนะ! และข้าไม่พูดเรื่องส่วนตัวกับท่านด้วย!

ซูมี่เห็นว่าหยุนฟ่านไม่คิดจะปล่อยเธอไป เธอจึงจำใจต้องพูดสักเรื่องเพื่อให้มันจบๆ เขาคงเหงามากล่ะมั้ง

“ไม่มีอะไรมากหรอก ข้าแค่เบื่อเท่านั้นเอง ข้าอยากออกจากงานนางกำนัลนี้”

หยุนฟ่านเลิกคิ้ว “กว่าเจ้าจะเป็นนางกำนัลในพระราชฐานชั้นในได้ไม่ง่ายเลยนะ”

ซูมี่พูดแล้วโบกมือไปมาอย่างหน้าตาย “ข้าใช้เส้นเข้ามา ไม่ยากสักนิด”

หยุนฟ่าน “…”

“เจ้าพูดจาตรงไปตรงมาดีนะ แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ชอบงานนี้ล่ะ เงินใช้ไหมพอหรือ?”

“เปล่า ข้าแค่เบื่อ วันๆอยู่แต่ในวัง ออกไปนอกวังทีก็ต้องขออนุญาต ไม่สะดวกเลย”

“เจ้าอย่าออกไปจากที่นี่เลย อยู่ที่นี่ดีกว่า ไปอยู่ข้างนอกเจ้าต้องดิ้นรนนะ”

“ข้ามีความสามารถนะพี่ชาย ตราบใดที่ไม่ตาย ข้ายังสามารถหาเงินได้ ตอนนี้ข้ามีเงินเก็บเยอะพอตัวเลย อยู่ที่นี่แทบไม่ได้ใช้จ่ายเลยด้วยซ้ำ”

“เจ้าชอบอิสระสินะ โลกภายนอกอันตรายนะ มันมีทั้งมาร ทั้งโจร และอันธพาล ไหนจะขุนนางที่ชอบรีดไถ”

ซูมี่เอียงคอ “ขุนนางที่นี่ทำงานไม่คุ้มกับเบี้ยหวัดเลย”

หยุนฟ่านหัวเราะ “ซูมี่… หากเจ้าออกไปจากที่นี่ ข้าคงเหงาแย่เลย”

ปล่อยข้าไปเถอะเจ้าค่ะ!

“เจ้าคิดจะทำงานที่นี่อีกกี่ปี”

“ข้าพึ่งเข้ามาได้สองปี ยังอีกสามปีถึงจะออกไปได้เจ้าค่ะ”

หยุนฟ่านพยักหน้า หยุนฟ่านพูด “ข้าต้องไปแล้ว พรุ่งนี้ข้าค่อยมาทักทายเจ้าใหม่นะซูมี่”

ซูมี่ “…” เธอกำลังคิดเลยว่าจะไม่มาที่นี่อีก

ซูมี่โค้งตัว “แล้วเจอกันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ”

หยุนฟ่านยิ้มกว้างแล้วเดินออกไป ทันทีที่หยุนฟ่านออกไปจนไม่เห็นเงาแล้ว ซูมี่ก็ปาดเหงื่อบนใบหน้า

บ้าเอ้ย! ทำไมฮ่องเต้มาอยู่ตรงนี้ได้วะเนี่ย!

พอเขาบอกว่าชื่อหยุนฟ่าน เธอก็รู้เลยว่ามันเป็นชื่อปลอมของฮ่องเต้อู๋เฉียงอู่ ซูมี่รีบกวาดพื้นทำความสะอาดรอบตำหนักจากนั้นก็มีขันทีหนุ่มน้อยคนหนึ่งเดินมาทางเธอ “มีมี่ ข้ามาแล้ว ขอโทษทีที่มาช้า”

“เฉินเฉิน เจ้าลากข้ามาตำหนักไหนกัน?”

ขันทีน้อยนามว่าเฉินอี้ตอบ “ตำหนักของฮ่องเต้ไง”

ซูมี่ “…”

เธอมองไปที่ตำหนัก ตำหนักของฮ่องเต้ไม่ได้อลังการอย่างที่เธอคิดเลยนะ

เฉินอี้กล่าว “เมื่อก่อนทวีปมังกรทองสวรรค์ของเราเกิดสงครามร้ายแรงน่ะ มันคือสงครามระหว่างเซียนกับมาร”

ซูมี่พยักหน้าหงึกๆ

“เพราะเหตุการณ์นั้นทำให้ราชวงศ์ต้องขายสมบัติตัวเอง ทรงช่วยราษฎรมาหลายร้อยปีด้วยเงินส่วนพระองค์ แต่เรื่องการเงินเศรษฐกิจของทวีปเราไม่ได้ดีขึ้นเลย”

ซูมี่พูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “ว้าว ฝ่าบาทอายุยืนจัง”

เฉินอี้พูด “เพราะเทพเซียนองค์หนึ่งให้ยาวิเศษแก่พระองค์เป็นการขอโทษที่นำพาทวีปเราสู่สงคราม เรื่องนี้น่าเห็นใจมาก”

“ว่าแต่… เฉินเฉิน ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่?”

“ข้าอายุ40แล้ว”

ซูมี่ตกใจ หน้าเด็กโคตร!

เฉินอี้คลี่ยิ้มอย่างอ่อนหวาน

“ไม่น่าเชื่อเลย!”

เฉินอี้ทำหน้าตาน่าสงสาร “เจ้ารังเกียจข้าที่อายุเยอะหรือเปล่า? มีมี่…ข้ามีเจ้าเป็นเพื่อนแค่คนเดียวนะในวังนี้ อย่าตีตัวออกห่างจากข้าไปเลย”

“ก็…ได้ ทำไมท่านถึงยังหน้าเด็กอยู่เลย”

“จริงสิ เจ้าคงไม่รู้ ทวีปเรามีพวกเซียนจากดินแดนเซียนนำสมุนไพรเซียนมาขาย มนุษย์จึงอายุยืนและหน้าคงวัยเยาว์ไว้ได้” สำหรับเฉินอี้ ซูมี่คือเด็กน้อยไร้เดียงสาที่น่าสงสาร เป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่ เขาได้ฟังเรื่องราวของซูมี่จากปากของซูเมิ่งแล้วก็น้ำตาไหลอาบแก้ม ช่างเป็นเด็กน้อยที่น่าสงสารและน่าเวทนาเหลือเกิน

ซูมี่กำลังนึกว่าตอนนี้คือช่วงเวลาไหนนะ พระเอกเกิดยังวะ!

“ท่านเฉิน…”

“พูดกับข้าอย่างเป็นกันเองเหมือนเดิมเถอะมีมี่”

“จะดีเหรอ ท่านแก่กว่าข้ามากนะ”

“ดีสิ หน้าข้าเด็กไม่ใช่เหรอ? ไม่เป็นไรหรอก”

ซูมี่ “…” ฉันต้องไปซื้อสมุนไพรเซียนมาใช้บ้างแล้ว ให้ตายเถอะ! เขาหน้าขาวยังกับหยกขาวแหน่ะ!

ซูมี่ถาม “เฉินเฉิน เจ้าเป็นขันทีคนสนิทของฝ่าบาทรึเปล่า?”

“ไม่เชิงสนิท ข้าก็เป็นข้าราชบริพารทั่วไปเหมือนขันทีคนอื่นๆ ข้ารับใช้พระองค์เรื่องจิปาถะทั่วไปน่ะ”

ซูมี่พยักหน้า “เจ้าออกไปนอกวังบ่อยไหมเฉินเฉิน?”

“ทุกวัน ฝ่าบาทให้ตราเข้าออกนอกวังได้ ข้าต้องไปซื้อของให้ฝ่าบาทบ่อยๆ บางทีก็แอบเอาภาพวาดของพระองค์ไปขาย”

ฮ่องเต้ทวีปนี้ถังแตกสุดๆไปเลย การเงินของทวีปนี้ตกต่ำอย่างมาก

“มีมี่ ปีนี้เจ้าอายุสิบสามแล้วใช่ไหม?”

“ใช่แล้ว”

“เจ้าจะออกจากวังจริงๆหรือ?”

“สำหรับข้า… ในวังไม่เหมาะกับข้าเลย”

“แต่โลกภายนอกอันตรายมากเลยนะ เจ้าไม่มีกำลังภายในหรือศิลปะการต่อสู้เลย เจ้าเป็นแค่คนธรรมดา”

“เจ้าสู้เป็นหรือเฉินเฉิน? ถ้าเป็นก็สอนข้าสิ”

“ข้าไม่เก่ง แต่เก่งเรื่องสมุนไพรอยู่นะ ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่อีกสิบปี ข้าจะสอนเจ้า”

ซูมี่เอียงคอ มีแต่คนอยากให้เธออยู่ในวังทั้งนั้นเลยนะ “ป้าเมิ่งก็อยากให้ข้าอยู่ ข้าก็เป็นห่วงป้าเหมือนกัน อยู่ในวังสบายก็จริง แต่ข้าไม่ชอบการที่มีความรู้สึกเหมือนมีดาบจ่อที่คออยู่ตลอด เจ้าก็รู้ว่าขุนนางใหญ่ทั้งหลายชอบแกล้งนางกำนัลและขันทีอย่างเรามาก”

นั่นเพราะว่าอำนาจของฮ่องเต้ยังไม่แข็งแกร่งพอ ตอนนี้ฝ่าบาทจำเป็นต้องพึ่งพิงขุนนางพวกนั้นเพราะเงินล้วนๆ

จู่ๆเธอก็รู้สึกสงสารฮ่องเต้ขึ้นมา อุตส่าห์ขายสมบัติราชวงศ์เพื่อช่วยราษฎรแต่โดนขุนนางโกงไปหมด

สนมก็มีมากล้นนั่นเพราะว่าขุนนางยัดเยียด จะไม่รับก็ไม่ได้ ตำหนักของพวกฝ่ายในหรูหราอย่างมาก

ที่ฝ่าบาทมาคุยกับเราเพราะป้าเมิ่งกับเฉินเฉินรึเปล่านะ ในวังนี้หาคนจริงใจยากด้วย

ว่าแต่…ฉันดูเป็นคนจริงใจขนาดนั้นเลยเหรอ?

“ขอคิดก่อนนะเฉินเฉิน ข้าเองก็ยังไม่แน่ชัดในอนาคต ข้าแค่อยากมีบ้านหลังเล็กๆและใช้เงินไปกับการมีชีวิตคนเดียวเงียบๆเพื่อการจิบชาและกินขนม นั่นคือสิ่งที่ข้าคิดในตอนนี้”

เฉินอี้พูด “ความสุขของเจ้าเล็กจัง แต่ฟังดู…ผ่อนคลายดี”

ซูมี่ยิ้ม “…” แหงล่ะ โลกนี้อันตรายจะตาย เอะอะก็ฆ่ากันได้ทุกเมื่อ นี่ฉันกำลังหาที่ดินที่อยู่ห่างไกลจากพวกตัวอันตรายอยู่นะ!

“ข้ากลับก่อนนะ”

เฉินอี้พยักหน้าแล้วเอาขนมยื่นให้ “นี่ของเจ้า ข้าซื้อมาฝาก”

“ขอบใจนะ มีอะไรก็เรียกข้าได้เสมอ ยกเว้นเรื่องยืมเงินนะ เจ้าห้ามเรียกข้า”

“ได้สิ”

ซูมี่เดินออกจากที่ตรงนั้นไปทันที “ดูเหมือนว่าเราจะต้องเรียนรู้เรื่องโลกภายนอกให้มากกว่านี้ซะแล้ว”

แม้ว่าเธอจะอ่านมาจนจบแล้วก็จริง แต่ในความเป็นจริงเธอยังไม่เคยสัมผัสถึงความอันตรายของโลกนี้ได้ขนาดนั้น มันเป็นแค่ฉากสั้นๆเท่านั้นเอง เธอรู้ว่าตัวโกงนั้นมีใครบ้าง แต่ก็เป็นตัวละครหลักๆเท่านั้นเอง

ปีนี้ปีมังกรทองรัชศกที่5256สินะ จำได้รางๆว่าพระเอกจะอายุ10 ขวบ ตอนปีมังกรทองรัชศกที่ 5259

อีกสามปีนี่เอง

เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังเข้ามาหูของเธอ เขาบอกให้ช่วยกำจัดมารมังกรดำเฉิงอัน

ซูมี่ขมวดคิ้วและพึมพำเสียงเบา “แม้ฉันจะไม่รู้ว่าคุณเป็นใครถึงได้มอบภารกิจนี้ให้ฉัน แต่คนที่จะปราบมังกรมารที่ชั่วร้ายนี้ได้ มีแต่หูเทียนห้าวเท่านั้น”

เสียงปริศนาดังขึ้นอีกครั้ง ไม่เป็นไรทำเท่าที่เจ้าทำได้ก็พอ…

ซูมี่ถอนหายใจ มีแต่ต้องออกจากวังเท่านั้นถึงไปช่วยหูเทียนห้าวได้!

ว่าด้วยเรื่องทำความสะอาด

ป้าซูเมิ่งมองหลานสาวที่พึ่งเดินกลับมาจากตำหนักฮ่องเต้ “ซูมี่… เฉินอี้กลับมาแล้วหรือ?”

“เจ้าค่ะท่านป้า”

ซูมี่มองอาหารที่ป้าของเธอกำลังทำอยู่ ซูมี่สูดกลิ่นอาหารแล้วกลืนน้ำลายลงคอ

นี่เป็นของฝ่าบาททั้งนั้น ดีจังเลยน้า…

นางกำนัลคนอื่นมองซูมี่ด้วยหางตาเล็กน้อย เดิมทีเธอไม่สมควรได้มาเป็นนางกำนัลในพระราชฐานชั้นในได้เลยด้วยอายุของเธอ แต่จะทำยังไงได้ล่ะ เธอไม่มีครอบครัวมีแต่ป้าเท่านั้น ฝ่าบาทจึงอนุญาตให้เธอมาเป็นนางกำนัล

ป้าของเธอมีตำแหน่งใหญ่โตในวังพอสมควรถึงขนาดไปขอร้องฮ่องเต้ได้ หรือเพราะว่าฮ่องเต้ชอบฝีมือการทำอาหารของป้าเธอกันนะ ห้องพระเครื่องต้นฝ่ายในมีป้าของเธอเป็นผู้ดูแล ป้าเมิ่งเป็นขุนนางหญิงที่ได้รับการแต่งให้มาดูแลตรงนี้ ตั้งแต่ป้าของเธอมาทำงานตรงนี้ก็ไม่เคยเกิดเรื่องการวางยาพิษหรือมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในอาหาร

ฮ่องเต้สามารถเสวยพระกายาหารได้อย่างสบายใจมานับร้อยปีแล้ว ว่าแต่ป้าของเธออายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย!

ซูเมิ่งมองหลานที่มีสายตาเหมือนปลาตายแต่หัวคิ้วกับชนกันจนเป็นปม เด็กคนนี้ทำไมชอบทำหน้าตาหน้าเกลียดอยู่เรื่อยเลยนะ

“ซูมี่มากินข้าวเถอะ ป้าแยกอาหารให้หลานแล้ว”

ซูมี่เดินไปดูอาหารของเธอ ไก่ย่าง หมั่นโถ ผัดผักห้าสี

โห…ไก่ย่างย่างได้สวยงาม หนังคงจะกรอบมากแน่ๆ

ซูมี่นั่งกินเงียบๆ

ซูมี่เป็นเด็กฉลาด ไม่มีนิสัยชอบสอดรู้เรื่องของเจ้านาย เธอมักจะนั่งนับเงินเป็นงานอดิเรกซะมากกว่า

เธอมักไปช่วยงานแทนขันทีและนางกำนัลเพื่อแรกกับเงินเล็กๆน้อยๆ เหมือนอย่างวันนี้ที่เฉินอี้ขอร้องให้ซูมี่ไปช่วยทำความสะอาดรอบตำหนักฮ่องเต้

ซูเมิ่งสั่งพวกพ่อครัวและนางกำนัลให้นำอาหารไปส่งตามตำหนักของฮ่องเต้ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครแล้วเธอก็มานั่งข้างๆซูมี่

“หลานมีเรื่องอะไรสงสัยก็ถามป้ามาเถอะ”

“ท่านป้ามาเป็นขุนนางหญิงได้ยังไงเจ้าคะ?”

“หลานสนใจเป็นขุนนางหญิงหรือ? มันไม่ง่ายนักหรอกนะ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเกินเอื้อม”

ซูมี่ลังเลว่าจะเล่าเรื่องเมื่อเช้าที่เธอได้เจอฮ่องเต้ดีไหม แต่คิดอีกที… ช่างมันเถอะ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร

“หลานดูกลมกลืนกับที่นี่แล้วนะ”

“ไม่ดีหรือเจ้าคะ หลานไม่อยากสร้างปัญหาให้ท่านป้า”

“แน่นอนว่าย่อมดี แต่ป้าคิดว่าหลานดูเคร่งเครียดมากเกินไป เหมือนแบกบางสิ่งไว้ตลอดเวลา”

ใช่ ตอนนี้เธอกำลังแบกชะตากรรมของอนาคตของผู้คนในทวีปนี้อยู่ เธอจะต้องปราบมังกรดำเฉิงอันให้ได้ แน่นอนว่าต้องช่วยหูเทียนฮ่าวให้เป็นพระเอกที่สามารถเป็นเซียนขั้นเทพให้ได้ ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าหูเทียนฮ่าวอยู่ที่ไหนและที่สำคัญเธอออกไปจากที่นี่ไม่ได้อีกด้วย ชีวิตในวังช่างน่าเบื่อเหลือเกิน

ซูมี่ถาม “ป้ากับแม่เป็นถึงลูกของขุนนางใหญ่ ทำไมพ่อกับแม่ถึงไปอยู่ที่ห่างไกลแบบนั้นล่ะเจ้าคะ”

ซูเมิ่งมีสายตาปวดใจ “หลานอุตส่าห์เอ่ยปากสงสัยทั้งที มันคงถึงเวลาเล่าให้หลานฟังแล้ว”

ซูมี่คิดในใจ ยอมเล่าง่ายๆกว่าที่เธอคิดไว้ซะอีก

ตกค่ำหลังจากที่เธออาบน้ำและแต่งตัวแล้ว เธอก็เดินไปหาป้าเธอที่ห้องของป้า

“ท่านป้า ซูมี่เองเจ้าค่ะ”

“เข้ามาเถิด”

ซูมี่เปิดประตูแล้วเข้าไปในห้อง

ซูเมิ่งกวักมือให้หลานสาวมานั่งข้างเตียง จากนั้นป้าเธอก็เอาบางอย่างออกมา “มันเป็นอุปกรณ์สร้างเขตแดน ไม่ว่าเราจะพูดอะไร ก็ไม่มีใครได้ยิน”

ซูมี่จ้องกล่องสีดำนั้นไม่วางตา “ท่านป้า มันมีอุปกรณ์บันทึกเสียงหรือไม่”

“มีสิ สามารถบันทึกภาพด้วยนะ แต่มันแพงมากและมันเป็นอุปกรณ์เซียนระดับสูงด้วยจ๊ะ”

ซูมี่ตาลุกวาว “ท่านป้าข้าอยากได้”

“ตายจริง มีมี่ตัวน้อยของป้าจะเอาไปทำอะไรจ๊ะ?”

ซูมี่ตอบ “หนูคิดว่ามันเป็นของที่สมควรพกติดตัวไว้เจ้าค่ะ”

ซูเมิ่ง “…” ทำไมจู่ๆเธอก็รู้สึกว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องดีถ้าเธอซื้้อมาให้ซูมี่ใช้จริงๆ

ซูเมิ่งกระแอมเปลี่ยนเรื่อง “หนูอยากรู้เรื่องพ่อกับแม่ไม่ใช่เหรอจ๊ะ มาฟังเรื่องนี้ดีกว่า”

ซูมี่พยักหน้าตามน้ำ

“อย่างที่รู้ๆกันอยู่ ว่าตระกูลซูของแม่หลานนั้นเป็นตระกูลผู้ดีที่ใหญ่โตและมีอำนาจมากล้น ตระกูลซูเดิมเป็นตระกูลแม่ทัพที่เกรียงไกร สำหรับผู้หญิงการแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญ แน่นอนว่าผู้หญิงนั้นไม่มีสิทธิและเสียงค้านใดๆต่อบิดามารดา”

ซูมี่พยักหน้า ดราม่าแบบจริงจังเลยแฮะ

“เดิมพ่อของหลานเป็นแค่นายทหารตัวเล็กๆเท่านั้น ตาของหลานไม่เห็นด้วย แม้ว่าพ่อของหลานจะเก่งกล้าสามารถก็ตาม เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในเรื่องทางทหารอย่างมาก ป้ายังแอบชื่นชมเลย”

“คนที่ตาอยากให้แต่งมีตำแหน่งในวังสูงมากเลยใช่ไหมเจ้าคะ”

“ใช่จ๊ะ เขาเป็นถึงตำแหน่งรัชทยาทเลยนะจ๊ะ ใน…ตอน…นั้น…”

ซูมี่ช็อก เอ่อ… “รัชทายาทคนนั้นก็คือ…”

“ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไงจ๊ะ”

บ้าบออออ…ที่สุดดดดดดด!

“แล้วฝ่าบาทแค้นท่านแม่ไหมเจ้าคะ หลานคิดว่าหลานพอเดาได้ว่าเรื่องราวมันประมาณไหน”

“หลานของป้าฉลาดนัก ฮ่องเต้ไม่ได้แค้นเคืองแม่ของหลานเลยจ๊ะ แน่นอนว่าพระองค์ก็ตกหลุมรักแม่ของหลาน น่าเสียดายที่เป็นการรักข้างเดียว หลานคงจะอยากรู้แล้วสินะหลังจากที่พ่อของหลานพาแม่หนีได้เกิดอะไรขึ้น”

ซูมี่พยักหน้าหงึกๆ

“ตาของหลานโมโหมากที่ทั้งสองคนกล้าหนีตามกันไป นี่เป็นการฉีกหน้าท่านตาของหลาน”

“เอ่อ… ขอโทษนะเจ้าคะ ท่านตายังมีชีวิตอยู่ไหม?”

“ยังอยู่จ๊ะ แข็งแรงมากเพราะผลไม้ของเซียน”

ซูมี่ “…” ในอนาคตเธอต้องได้เจอตาคนนี้แน่ๆ

“หลานอยากเจอตาไหมจ๊ะ”

“ไม่ค่ะ”

ซูเมิ่ง “…” ซูมี่คงจะโกรธท่านพ่ออยู่แน่ๆ แม้สีหน้าของเธอจะนิ่งมากก็ตาม

ซูมี่คิดในใจ เธอยังไม่ได้เตรียมใจ ไปเจอเลยไม่ได้เลยหรอก ท่าทางจะเป็นคนจุกจิกน่ารำคาญซะด้วย

“แล้วท่านตาตามเจอไหมคะ?”

“เจอจ๊ะ แต่พ่อแม่ของหลานก็หนีไปได้อีก”

พ่อเธอเก่งจังเลย

ซูเมิ่งเล่าต่อ “ต่อมาป้าก็ตามหาพ่อกับแม่ของหลานด้วยตัวเอง ป้าใช้เวลาหลายปีเลยกว่าจะได้เจอกัน ป้าเจอตอนพ่อแม่ของหลานยังไม่ตั้งท้องเลยจ๊ะ และป้าก็ได้รับรู้ว่า แท้จริงแล้ววพ่อของหลานนั้นเป็นเซียน”

ซูมี่คิดในใจ พีคได้อีก!

“พ่อของหลานหนีมาที่นี่เพื่อหนีจากการลอบสังหารของคนตระกูล ลุงๆของหลานตามล่าพ่อหลาน เขาเลยต้องหนีมาที่ทวีปนี้ เรื่องนี้ป้าแทบไม่อยากจะเชื่อเลยจ๊ะถ้าไม่ได้เห็นพ่อของหลานแสดงพลังของเซียนออกมา”

“เพราะอย่างนี้พ่อจึงให้หนูใช้นามสกุลซูใช่ไหมคะ?”

“ในตอนนั้นพ่อของหลานเข้ามาสมัครเป็นทหารในค่ายของตา เขาก็ใช้นามสกุลซูตามตระกูลของเราจ๊ะ ในตอนนั้นพ่อของหลานอ้างว่าไม่มีความจำเรื่องครอบครัวของตัวเอง จึงไม่รู้ชื่อและนามสกุล ตาของหลานก็เลยให้เขาใช้นามสกุลซู แล้วก็ตั้งชื่อให้ใหม่ซูจินเป่า ป้ามารู้ตอนหลังว่าจริงๆแล้วเดิมทีพ่อของหนูก็นามสกุลซูเหมือนกันจ๊ะ”

“พ่อหนูเป็นเซียน เขาตายด้วยโรคระบาดได้ยังไงคะ?”

“มันไม่ใช่โรคระบาดธรรมดาจ๊ะ มันเป็นโรคระบาดที่เกิดจากไอพิษของมาร ช่วงนั้นเกิดสงครามนานนับสิบปี ต่อให้เป็นร่างของเซียนก็รับไม่ไหวถ้าโดนไอพิษของมารเข้มข้นเล่นงานทุกวัน ทว่าพ่อแม่ของหลานไม่ได้ตายเพราะไอพิษมาร แต่เป็นเพราะคนในตระกูลฝ่ายพ่อของหลานเจอตัวเขาแล้ว”

ซูมี่กุมหัว ความทรงจำของเธอปรากฎชายชุดขาวคนหนึ่งถือกระบี่แทงชายคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายเธอ

ซูเมิ่งตกใจ “มีมี่ หลานปวดหัวอีกแล้วหรือ! แย่แล้ว ป้าจะไปต้มยาให้เดี๋ยวนี้เลย”

ซูมี่คว้าข้อมือของซูเมิ่ง “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ตอนนี้หลานดีขึ้นแล้ว”

ซูเมิ่งพูด “ความทรงจำของหลานกำลังจะกลับมา หากหนูไม่อยากคิดถึงอดีต ก็ไม่ต้องคิดก็ได้จ๊ะ”

ซูมี่พูด “ป้าเมิ่งอย่าได้โทษตัวเองอีกเลยนะเจ้าคะ หนูรู้ว่าป้าช่วยพ่อกับแม่เต็มที่แล้ว”

ซูเมิ่งจำวันที่ซูหลิงฝากซูมี่ได้ดี “ป้าจะปกป้องหลานให้ดีที่สุดจ๊ะ”

ซูมี่รู้สึกอบอุ่นหัวใจ เธอกอดป้าอย่างโหยหาความรัก

ในคืนนั้นสองสาวก็นอนกอดกันอย่างอบอุ่นไปทั้งคืน

เช้าวันต่อมา ซูมี่ตื่นแต่เช้ามืดเพื่อมาอาบน้ำแปรงฟัน จากนั้นเธอก็ไปปัดกวาดเช็ดถูตามตำหนักที่เธอได้รับมอบหมาย แม้ว่าซูมี่จะเป็นนางกำนัลเล็กๆที่ไม่มีตำแหน่งสูงใดๆ แต่เธอมีเบื้องหลังอย่างป้าของเธอคุ้มครองอยู่ จึงไม่ค่อยมีใครกล้ามาหาเรื่อง ซูมี่เองก็ไม่ชอบเอาตัวเข้าไปอยู่ในในตำแหน่งที่วุ่นวาย เธอไม่อยากไปรับใช้พวกชายาหรือนางสนมของฮ่องเต้

วันนี้เธอมากวาดใบไม้ที่สวนสนามหญ้า มันอยู่ใกล้กับตำหนักฮ่องเต้พอสมควร

ซูมี่คิดในใจ พื้นที่ตรงนี้ถ้าปลูกผักผลไม้ไว้จะดีกว่า ปล่อยให้หญ้าขึ้นไปวันๆช่างน่าเสียดาย เฮ้อ…

ซูมี่ปัดกวาดใบไม้ที่หล่นบนสนามหญ้าจนกลายเป็นกองขนาดใหญ่ย่อมๆ ต่อมาเธอก็รู้สึกว่าคนกำลังจ้องเธอ

เมื่อซูมี่หันไปก็พบว่าเป็นหยุนฟ่านอีกแล้ว!

“ซูมี่… เจ้าอยู่นี่นี่เอง ข้าไม่เห็นเจ้าอยู่ที่เดิม ข้าเลยออกมาเดินหาเจ้าแถวนี้”

“พี่ชายหยุนตามหาข้าทำไมหรือ?”

“ข้าแค่คิดถึงสายตาปลาตายของเจ้าก็เท่านั้น”

ซูมี่ “…”

“ข้าหยอกเจ้าเล่นน่ะ วันนี้เจ้าอารมณ์ดีขึ้นรึยัง?”

“เจ้าค่ะ”

“ไม่มีเรื่องกังวลใจแล้วหรือ”

“ปกติคนเราก็ต้องมีเรื่องกังวลใจอยู่แล้วเจ้าค่ะ”

หยุนฟ่านคลี่ยิ้ม “นั่นสิ มันเป็นเรื่องปกติ”

“งั้นข้าจะเล่าปัญหาให้เจ้าฟังดีไหม?”

“ไม่ฟังได้ไหมเจ้าคะ?”

“เรื่องมันมีอยู่ว่า…”

ซูมี่ “…” จะถามเพื่อ!

“ข้าแกล้งเจ้าเฉยๆ ฮ่าๆ ซูมี่…เจ้าทานข้าวรึยัง?”

“ยังเจ้าค่ะ แต่จิบน้ำมาแล้ว”

“ไม่หิวแย่หรือ?”

“ข้ากลัวว่าข้าจะกวาดใบไม้พวกนี้ไม่เสร็จก่อนก่อนเที่ยงเจ้าค่ะ”

“ดูเจ้าจะชอบงานกวาดและทำความสะอาดมาก”

ซูมี่พยักหน้า “เจ้าค่ะ ข้าไม่ชอบสิ่งสกปรก ชอบอะไรที่มันสะอาด”

“งานทำความสะอาดเป็นงานที่ทำยังไงก็ไม่วันจบ เพราะวันต่อไปมันก็กลับมาสกปรกเหมือนเดิม เจ้าไม่เบื่อบ้างหรือ?”

“ไม่เจ้าค่ะ การทำความสะอาดอาจจะเหนื่อยและใช้เวลา แต่หากสะสมความสกปรกไว้นานๆจะทำให้การทำความสะอาดในวันต่อๆไปยากขึ้นและเสียเวลามากขึ้น เราไม่ควรละเลยในเรื่องนี้ ความสะอาดและสิ่งสกปรกเป็นของคู่กันก็จริง แต่ไม่ว่าอย่างไร ความสะอาดก็ดีกว่าเสมอ”

หยุนฟ่านเอามือไขว้หลังและเงยหน้ามองบนฟ้า “คงถึงเวลาที่ต้องทำความสะอาดแล้วจริงๆ อย่างที่เจ้าว่า ความสะอาดดีกว่าเสมอ”

ซูมี่มองไปที่ชุดของหยุนฟ่าน “เสื้อผ้าของท่านชุดนี้คือตัวเมื่อวานนี่เจ้าคะ หากข้ารับใช้ท่านขี้เกียจซัก ก็มาฝากข้าซักก็ได้เจ้าค่ะ”

หยุนฟ่าน “…”

แต่งหน้า

วันต่อมาในตอนเช้า ซูมี่ถอนหญ้าที่เริ่มสูงรอบๆสระบัว เธอดึงหญ้าแล้วสะบัดดินเบากับพื้นจากนั้นก็เอาหญ้าที่ดึงออกมาได้ใส่ในกระสอบที่เธอเย็บแบบสะพายข้างได้

เฉินอี้เดินมาหาซูมี่ “มีมี่…! กำลังถอนหญ้าอยู่เหรอ!”

“ข้ากำลังหายใจอยู่”

เฉินอี้ “…” นี่เล่นมุกหรือด่าว่าเขาไม่มีตาหรือเปล่านะ?

“กระสอบของเจ้าดูแปลกๆดีนะ เจ้าทำสายสะพายเองเลยเหรอ”

“อืม มันสะดวกดีเวลาถอนหญ้า”

เฉินอี้มองเศษดินที่เปื้อนบนเสื้อผ้าของซูมี่ “แดดกำลังจะแรงขึ้นแล้วนะ ซูมี่…ให้ข้าช่วยไหม”

“ไม่เป็นไร ข้าใกล้ทำเสร็จแล้ว เจ้าอย่าทำให้ตัวเองเปื้อนเลย”

เฉินอี้คลี่ยิ้ม “เจ้าร่าเริงดีนะวันนี้”

“วันนี้ป้าเมิ่งจะสอนหนังสือให้ข้าล่ะ”

“เจ้าชอบเรียนหนังสือหรือ?”

“ใช่ ข้าว่าข้าควรจะเรียนไว้เพื่อวันข้างหน้า ข้าต้องออกจากวังเพื่อไปใช้ชีวิตของตัวเอง”

เฉินอี้ทำปากงอ “เจ้ายังคิดจะไปจากข้าอีกเหรอ”

ชายคนนี้ดูไม่เหมือนคนอายุสี่สิบเลยนะ

ซูมี่พูด “เอาเป็นว่า ข้ามีสิ่งที่ต้องไปทำนอกวัง ข้าจะมาเยี่ยมเจ้าบ้างดีไหม”

“ไม่่ดี” เฉินอี้ทำเสียงไม่พอใจ

ซูมี่ส่ายหัว “เจ้ามีเรื่องอะไรรึเปล่า?”

“ไม่มีอะไร ข้าแค่รู้สึกปวดใจ เพราะไปได้ยินปัญหาบ้านเมือง ตอนนี้ผู้คนกำลังลำบากและมีผู้คนอดอยากมากขึ้นเรื่อยๆเลย ตอนฝ่าบาทได้ผักพันธุ์ใหม่มาแล้ว แต่ปลูกได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก คงเพราะไม่ใช่ผักของทวีปเรารึเปล่าก็ไม่รู้”

ซูมี่พยักหน้า

“เจ้าอยากดูไหม รูปร่างหน้าตาของมันค่อนแปลกมาก มีหลายตา แต่ว่ามันคือหัวมันนะ”

ซูมี่เอียงคอ คุ้นๆแฮะ

“เจ้ารีบถอนหญ้าเถอะเดี๋ยวข้าพาไปดู”

ซูมี่บอก “รอก่อนนะ ข้าจะรีบทำให้เสร็จเดี๋ยวนี้เลย”

ทันใดนั้นเอง เฉินอี้ก็ต้องอ้าปากค้างให้กับทักษะการถอนหญ้าอย่างรวดเร็วของซูมี่ ซูมี่เอามือปัดดิน “ไปข้าไปล้างมือก่อนนะ เดี๋ยวมา”

ซูมี่ล้างมือเสร็จเธอก็เดินสะพายกระสอบหญ้าไปตั้งไว้ลานเผาขยะ จากนั้นทั้งสองก็เดินไปที่เรือนสวนเพาะชำเล็กที่อยู่หลังตำหนักของฮ่องเต้

ซูมี่มองหัวมันฝรั่งที่ถูกขุดขึ้นมาในเรือนเพาะชำ เธอคิดไม่ถึงจริงๆว่าด้านหลังตำหนักของฮ่องเต้จะมีเรือนเพาะชำอยู่ด้วย “ว่าแต่ปลูกมันยังไงน่ะ”

“เอามันนี้ใส่เข้าไปในหลุมแล้วกลบดิน จากนั้นก็พรมน้ำให้ชุ่ม”

ซูมี่พูด “อ้อ…งั้นเหรอ”

“ที่จริงผลผลิตน่าจะได้เยอะกว่านี้”

ซูมี่พูด “ข้าขอสักสองสามหัวได้ไหม เอามาให้ข้าลองก่อน”

“ได้สิ”

ซูมี่ชี้ไปที่ตะกร้าสานกองหนึ่ง "ข้าอยากได้ตะกร้าสานที่ระบายน้ำได้ดี แต่ไม่อยากได้รู้ใหญ่ขนาดนั้น"

“เจ้าจะปลูกเองหรือ? ปลูกบนดินก็ได้นะ”

“มันจะสะดวกกว่าถ้าข้าเอาไปดูแลเองที่เรือนของป้าข้า ตอนเช้าเจ้ามาช่วยข้าสิ ข้าต้องการดินกับตระกร้าสามสานแบบที่ข้าบอกสามใบ”

ซูมี่เลือกหัวมันฝรั่งที่มีหน่อสีเขียวๆโผล่ออกมาสามลูก “แล้วเจอกันพรุ่งนี้เฉินเฉิน”

“แล้วเจอกันมีมี่”

วันต่อมา เฉินอี้พร้อมขันทีสองคนที่หิ้วกระสอบดินมาด้วยมายืนอยู่หน้าเรือนของซูเมิ่ง

ซูมีมี่เดินออกมาพอดี “มากันแล้วเหรอ วางๆเลย”

ขันทีที่ตามเฉินอี้สองคนวางกระสอบดินและตระกร้าสานสามใบลง ซูเมิ่งเดินออกมาพร้อมชะโงกหน้าดูหลานของเธอ “จะทำอะไรหรือ?”

เฉินอี้ตอบ “ท่านหญิงซูเมิ่ง มีมี่คิดจะลองปลูกมันฝรั่งที่นำมาจากทวีปมังกรดินขอรับ”

ซูเมิ่งถาม “หลานเคยปลูกมันเหรอ?”

“หลานฟังจากคำอธิบายของเฉินเฉินแล้ว ดินที่พวกเขาปลูกน่าจะแฉะเกินไป หลานคิดว่าจะทดลองปลูกมันดู ลองรดน้ำเฉพาะตอนเช้าและนำตะกร้าไปวางในที่มีแดด หากฝนตกก็ยกมันเข้าเรือน” ซูมี่นำมีดมาหั่นเป็นเป็นชิ้น ทุกชิ้นจะมีหน่อสีเขียวอยู่ ซูมี่นำดินใส่ครึ่งตะกร้า จากนั้นก็วางมันฝรั่งที่หั่นไว้ลงไป และตามด้วยกลบดินอีกทีแล้วพรมน้ำพอเหมาะไม่แฉะเกินไป จากนั้นก็ไปวางในที่จะมีแดดส่องเต็มที่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้

“หลังจากนี้ข้าจะรดน้ำพวกมันทุกเช้า เมื่อไหร่ที่หน่อมันพ้นดิน ข้าก็จะเอาดินกลบเหมือนที่ทำแบบเมื่อกี้ ลองดูสักสามเดือนเถิด”

เฉินอี้มีสีหน้าไม่แน่ใจ “เจ้าหั่นเป็นชิ้นๆแบบนั้นมันจะโตเหรอมีมี่?”

“มันก็เหมือนเวลาตอนกิ่งนั่นแหละ หัวมันพวกนี้มันน่าจะมีวิธีขยายพันธุ์ในแบบของมัน แค่สามหัวเอง เจ้าไม่พอใจหรือ?”

“ข้ากลัวว่ามันจะเสียเวลาน่ะสิ”

ซูมี่พูด “การสงสัย เรียนรู้ ศึกษาและทดลองต้องมีเวลาถึงจะรู้ถึงผลของมันว่าดีหรือไม่ มันไม่สูญเปล่าหรอกหากไม่ได้ผล อย่างน้อยเราก็สามารถรับรู้ถึงสิ่งที่ผิดพลาด ข้าเองก็ไม่มีปัญหาในการดูแลพวกมัน แค่รดน้ำและสังเกตพวกมันเท่านั้นเอง จะเสียเวลาไปมากแค่ไหนกันเชียว”

เฉินอี้พูด “ปกติเจ้าไม่พูดเยอะแบบนี้ เจ้าทำตัวเหมือนพวกอาจารย์เลย”

ซูมี่ส่ายหัว “ข้าแค่มีนิสัยละเอียดรอบคอบและช่างสังเกตเท่านั้น”

เฉินอี้คิดในใจ จะว่าไปแล้ว ซูมี่ก็ฉลาดในการเลือกเส้นทางและรู้จักหลีกหนีเหล่าขุนนางกับคนชั้นสูงเป็นอย่างดี

มีมี่ฉลาดเป็นกรด เขาคิดว่ามีมี่อายุเท่าเขาซะอีกนะเนี่ย

เฉินอี้พูด “จะมีงานเลี้ยงเร็วๆนี้แล้วนะมีมี่ เจ้าไม่มีทางหลบหนีพวกพระชายาและสนมได้หมดหรอกนะ”

“ดูเหมือนว่าเจ้าอยากให้ข้าเจอพวกนางมาก”

เฉินอี้หัวเราะคิกคัก “มันต้องสนุกมากแน่ๆ”

ซูมี่ “…”

ซูเมิ่งส่ายหัว

เฉินอี้กล่าว “หากปัญหามันใหญ่ ข้าจะรีบตะบึงไปขอร้องฝ่าบาทให้เอง เจ้าวางใจเถอะมีมี่”

ซูมี่ “…” หนักกว่่าเดิมอีก!

หลายวันต่อมาก่อนงานเลี้ยงน้ำชาหนึ่งวัน งานเลี้ยงน้ำชาจะถูกจัดขึ้นในสวนดอกไม้ของฮองเฮา ซูมี่วุ่นวายอย่างมากเพราะต้องทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูไปทั่วตลอดจนทางเดินไปสวนดอกไม้ของฮองเฮา ซูมี่มองทางเดินที่สะอาดฝุ่นและดินหายไปเหมือนมันไม่เคยมีตัวตนอยู่เลย นางกำนัลคนอื่นๆมองซูมี่อย่างเหลือเชื่อ พวกเธอรู้ว่าซูมี่เป็นที่ชอบทำความสะอาดและทักษะนี้มันน่าทึ่งมากจริงๆ หวงมามาแค่บอกว่าต้องให้สะอาดหมดจด ไม่มีหญ้ารกร้าง กิ่งไม้ ไม่มีใบไม้แห้งเหี่ยวตกไปทั่ว ไม่มีเศษดินตรงทางเดิน แต่ที่คาดไม่ถึงคือมันสะอาดแวววาววับทุกระเบียดนิ้ว ต้นหญ้าก็สั้นเสมอกันเป๊ะๆ ไม่มีโผล่ออกมาแบบแปลกๆแม้แต่นิดเดียว โต๊ะเก้าไม้ก็แวาวาวสวยงามวิบวับจนตาของพวกเธอแทบบอด

ซูมี่ยิ้มอย่างพอใจ น้ำยาทำความสะอาดที่เธอผสมเองสุดยอดจริงๆ คิดไม่ผิดที่ลองทำมันดู รอบหน้าไปเสนอขายให้กับหัวหน้าฝ่ายจัดซื้อของใช้ในวังดีกว่า

อันฉีถามอย่างแปลกใจ “ซูมี่ เจ้าใช้อะไรน่ะ ทำไมทางเดิน โต๊ะ เก้าอี้ถึงแววแบบนี้ ฝุ่นก็ไม่เกาะติดเหลืออยู่เลย”

“นี่คือน้ำยาที่ข้าคิดค้นขึ้นมาเพื่อทำความสะอาดพื้น โต๊ะและเก้าอี้โดยเฉพาะ”

อันฉีและนางกำนัลหลายสิบคนมองหน้ากันไปมา “ข้าขอแบ่งน้ำยาเอาไปใช้บ้างได้หรือไม่”

“ได้สิ วันนี้ข้าให้เจ้าไปลองก่อน วันถัดมาหากพวกเจ้าอยากได้ ข้าคิดขวดละหนึ่งตำลึงเงิน”

อันฉีและนางกำนัลคนอื่นยิ้มแห้งๆ “ได้สิ”

แพงจังเลย!

ของฟรีไม่ในโลกหรอกนะ!

ส่วนผสมมากจาสมุนไพรเซียนแปลกๆที่ขุนนางส่งมาให้ฮ่องเต้

สมุนไพรที่ขุนนางถวายฮ่องเต้ไม่ใช่ของมีประโยชน์ต่อร่างกายของพระองค์ นี่เป็นการแอบวางยาพิษโดยใช้สมุนไพรเซียนบังหน้า

ป้าของเธอได้เก็บไว้ในตู้เหมือนไม่ใช่ของล้ำค่า เธอเห็นมันตั้งเฉยๆเหมือนของไร้ค่า เธอเลยนำพวกมันมาลองทำเป็นน้ำยาทำความสะอาดซะเลย

มันแพงเพราะมันทำมาจากสมุนไพรเซียนนั่นแหละ ป้าของเธอไม่ได้สนใจที่เธอนำมาทำน้ำยาทำความสะอาด

กลับดีใจด้วยซ้ำที่เห็นเธอใช้มัน หลานสาวสนุกได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ย่อมต้องสนับสนุนหลานอยู่แม้ว่าสมุนไพรนั้นจะเป็นของล้ำค่าระดับเซียนก็ตาม ซูมี่คิดว่าสมุนไพรพวกนี้เป็นระดับเซียนก็จริง แต่ก็เป็นของเกรดต่ำที่พวกเซียนยังไม่ใช้เลย

มันคือของไร้ประโยชน์สำหรับพวกเขา

หวงมามาเข้ามาตรวจงาน “หือ… ยอดเยี่ยมมาก”

ซูมี่และเหล่านางกำนัลยืนเรียงกันรอให้หวงมามาตรวจงานของพวกเธอ “พวกเจ้าทำได้ดีมาก”

“ขอบคุณเจ้าค่ะหวงมามา”

“วันพรุ่งนี้พวกเจ้ายังต้องเหนื่อยกันอีกเยอะ พวกเจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว”

“เจ้าค่ะ”

ซูมี่เดินตามอันฉี เมื่อพ้นจากตำหนักของฮองเฮาแล้วพวกเธอก็เริ่มคุย ส่วนใหญ่จะพูดเรื่องการแต่งหน้า วันพรุ่งนี้จะมีเหล่าขุนนางใหญ่โตและเหล่าองค์ชายมาในงานด้วย

ไม่เกินปีนี้หรือปีหน้านางกำนัลบางคนก็จะได้ออกจากวังแล้ว หากพวกเธอเข้าตาขุนนางหรือองค์ชาย พวกเธอก็จะสบายเพราะมีหลักประกันแล้วว่าได้ใช้ชีวิตสะดวกสบายแน่นอน รวมถึงนางกำนัลที่มาจากตระกูลชั้นสูงของขุนนางใหญ่ด้วย ตำแหน่าพระชายาและสนมเป็นอะไรชวนหอมหวานมากสำหรับพวกเธอ

ซูมี่ลอบสงสารฮ่องเต้ในใจ มีแต่จ่ายทั้งนั้น

เครื่องประดับของใช้มาจากเงินเบี้ยหวัดที่ฝ่าบาทหามาทั้งนั้น

จะว่าไปแล้ว นี่ก็ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่เราจะหาเงินได้นี่นา

“อันฉี ข้าสามารถแต่งหน้าให้เจ้าดูโดดเด่นสวยงามได้นะ ทดลองแต่งได้นะ ไม่มีคิดเงิน หากเจ้าสนใจ ข้าจะแต่งหน้าให้ในราคาไม่แพง”

อันฉีพูด “เจ้าขยันขูดรีดเงินกับพวกเรานักซูมี่”

ซูมี่ทำตาปริบๆ ข้าทำแบบนั้นหรือ?

จินจินพูด “ลองดูสิอันฉี ถ้าซูมี่แต่งออกมาสวย ฉันก็จะใช้บริการของซูมี่”

อันฉีกลอกตามองบน “ทำไมต้องเป็นข้าให้ซูมี่ทดลองด้วย”

“รับรองว่าใช้ของดี หน้าไม่มีแพ้แน่นอน” ซูมี่ยังคงขายของต่อไป

“ข้าว่าเจ้าต้องเป็นเฒ่าแก่เนี้ยแน่ๆในอนาคต เฮ้อ… ขายของเก่งซะเหลือเกิน”

จินจินหัวเราะ “ข้ายังคิดไม่ออกเลยนะว่ามีอะไรบ้างที่ซูมี่ทำไม่ได้”

ซูมี่ยักไหล่เบาๆ

ซูมี่และเพื่อนนางกำนัลอีกห้าหกคนไปที่เรือนของซูเมิ่ง ซูมี่พาทุกคนเข้าห้องนอนของเธอ

จินจินพูด “เรือนพักของท่านหญิงซูเมิ่งดูโออ่าสบายดีจัง”

เสวี่ยจิงถามอย่างสงสัย “เจ้าเป็นหลานสาวของท่านซูเมิ่งเลยนะ ทำไมเจ้าทำตัวเหมือนคนไม่มีเงินเลยล่ะ”

อันฉีหัวเราะ “พวกเรารู้นะว่าเจ้ารวยมาก”

“ในอนาคตข้าจะออกไปดูโลกกว้างน่ะ ข้าเลยต้องขยันเก็บเงิน” ซูมี่พูดเสียงเรียบๆ

อันฉีพูด “โลกภายนอกน่ากลัวมากเลยนะ อยู่ในวังสบายกว่านะซูมี่”

จินจินพยักหน้า “ข้ามาจากสำนักกระเรียน พวกเจ้าคงได้ยินมาบ้างว่าข้ามาจากตระกูลผู้ฝึกยุทธ โลกภายนอกตอนนี้ไม่สงบสุขเลย มีทั้งมารและปีศาจเต็มไปหมด”

อันฉีกล่าว “เจ้าสมัครมาเป็นนางกำนัลด้วยตัวเองเพราะกลัวโลกภายนอกหรือ?”

จินจินพูด “พ่อของข้ากลัวข้าตกอยู่ในอันตราย ตอนนี้มีมารที่ดูดกลืนวิญญาณของมนุษย์ไปทั่วเลยน่ะสิ”

ทุกคนต่างมีสีหน้าตื่นตระหนก

ซูมี่ลูบคาง หัวคิ้วของเธอขมวดจนชนกัน “นี่แย่กว่าที่คิดไว้”

อันฉีพูด “ไม่ใช่เรื่องดีเลยที่เจ้าจะออกจากวัง อยู่ที่นี่ปลอดภัยกว่า”

ซูมี่ถอนหายใจ “ข้ามีเหตุจำเป็นน่ะ”

อันฉีพยักหน้า “เรื่องเกี่ยวกับพ่อแม่ของเจ้าหรือ?”

ซูมี่พูด “เจ้ารู้เรื่องนี้?”

“ท่านพ่อของข้าเป็นผู้ตรวจการ ก่อนข้ามาเป็นนางกำนัล ข้าเคยแอบเห็นเอกสารนิดหน่อยบนโต๊ะของท่านพ่อ เอกสารเหล่านั้นมันเกี่ยวกับพ่อแม่ของเจ้าด้วย ขอโทษด้วยที่ข้าแอบดูเอกสารที่เกี่ยวกับเจ้า”

ซูมี่คิดในใจ เจ้าควรไปขอโทษพ่อของเจ้าก่อนไหม?

จินจินพูดเสียงเบา “พ่อแม่ของซูมี่ไม่ได้ตายเพราะโรคระบาดหรือ?”

อันฉีทำเพียงแค่ยิ้มบางๆ แน่นอนว่าคนทั่วไปรู้ว่าพ่อแม่ของซูมี่ตายเพราะโรคระบาด

ซูมี่พูด “อย่างที่อันฉีพูด ข้ามีเรื่องต้องสะสาง”

เพื่อนๆนางกำนัลคนอื่นๆที่เหลือต่างมองไปที่ซูมี่อย่างเป็นห่วง “อย่าออกจากวังไปอยู่ที่อื่นเลย”

ซูมี่พูด “ขอบใจในความเป็นห่วงของพวกเจ้ามาก ข้าพาพวกเจ้ามาดูการแต่งหน้าของข้า เรื่องอื่นค่อยว่ากันเถอะ อย่าเครียดไปเลย เรื่องอนาคตก็ปล่อยให้เป็นเรื่องอนาคตเถิดนะ”

หลังจากนั้นซูมี่ก็นำเครื่องสำอางที่เธอลองทำเองขึ้นมาในช่วงหลายวันนี้ พอรู้ว่าจะมีงานเลี้ยง เธอเลยทำเครื่องสำอางเพื่องานนี้งานนี้โดยเฉพาะ ซูมี่จัดการแต่งหน้าให้อันฉี เธอทาแป้งรองพื้นที่เหมาะกับสีผิวของอันฉี ผิวของอันฉีดีมาก ไม่ต้องเติมสิ่งใดเพื่อปกปิดเลย จากนั้นเธอก็วาดคิ้ว ทาตา ปัดขนตา ใช้ดินสอกรีดตา ปัดแก้มแล้วตามด้วยทาสีที่ปากให้แดงระเรื่อแบบดูน่าค้นหา

เยี่ยมมมม! มันดูไม่อ่อยมาก น่ารักแบบน่าขโมยซะมากกว่า

เพื่อนๆนางกำนัลทุกคนอึ้งกับสิ่งที่เห็น “ซูมี่!!!! ของพวกนี้ราคาเท่าไหร่!”

จินจินอ้าปากค้าง “มันส๊วยยยยยยยย…มาก! อันฉี เจ้าเหมือนเทพธิดาเลย”

อันฉีถือกระจกส่องหน้าตัวเอง “กรี๊ดดดดด ข้าสวยจริงๆด้วย ตายแล้ว! ข้าสวยได้ถึงเพียงนี้เลยเหรอ!”

ซูมี่พูด “หากพระชายาหรือพระสนมถามถึงการซื้อสินค้าเหล่านี้กับพวกเจ้า ข้าจะให้ค่านายหน้าพวกเจ้าด้วยนะ”

เสวี่ยจิงพูด “ซูมี่… แม้แต่ฮองเฮา ยังต้องยอมเสียเงินให้เจ้าแน่นอน”

ซูมี่พูด “เราจะสวยเกินหน้าเกินตาไม่ได้ในวันงานพรุ่งนี้ ข้าจะแต่งให้แบบธรรมชาติดูน่ารักน่าทะนุถนอม แต่งแบบนี้ข้าว่าก็ยังเย้ายวนเกินไป ไม่เหมาะสม”

อันฉีพูดแล้วยกนิ้วโป้งให้ซูมี่ “ตามใจเจ้าเลยซูมี่! แค่สวยก็พอแล้ว!”

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0