คดีปั่นหุ้น More จากนี้ไปห้ามกระพริบตา จะออกหัวหรือก้อย อีกไม่นานคงได้รู้กัน
ห้ามกระพริบตากับคดีปั่นหุ้น MORE ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของพนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ หลังพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้สรุปสำนวนสั่งฟ้องผู้ต้องหารวม 42 คน ใน 3 ข้อหาหนักความผิดฐานสร้างราคาหลักทรัพย์ฯ ร่วมกันฉ้อโกงบริษัทหลักทรัพย์ฯ และอั้งยี่ ซ่องโจร โดยสำนวนการสอบสวนส่งถึงพนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษไปแล้ว
ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ก.ย.2567 ที่ผ่านมา ป.ป.ง.แถลงผลการประชุมคณะกรรมการธุรกรรมในคดีปั่นหุ้น More มีการยึดและอายัดทรัพย์เกี่ยวกับการกระทำผิดไว้ชั่วคราว 107 รายการ มูลค่า 3,165 ล้านบาท จากกรณีที่นายอภิมุข บำรุงวงศ์ กับพวกทำคำสั่งซื้อขายหุ้น More อันเป็นความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกง ซึ่ง ป.ป.ง.อายัดไปแล้ว 36 รายการ รวมมูลค่าเกือบ 5,400 ล้านบาท ซึ่งมีการตรวจพบอีก 19 รายการจึงมีคำสั่งอายัดเพิ่มอีกกว่า 168 ล้านบาท ขณะที่ในส่วนของข้อหาปั่นหุ้นก็ตรวจพบทรัพย์สินเพิ่มและมีคำสั่งให้อายัดเพิ่มอีก 230 ล้านบาท
คดีปั่นหุ้น More เป็นคดีใหญ่ที่สร้างความเสียหายในระดับประเทศโดนกันทั่วหน้าทั้งในส่วนของบริษัทหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 4,500 ล้านบาท ยังไม่รวมนักลงทุนรายย่อยหรือบรรดากองทัพแมลงเม่าที่โดดเข้ากองไฟร่วมวงไพบูลย์ไปกับเค้าด้วย แต่ละรายบาดเจ็บสาหัสไปตามๆ กัน เพราะราคาหุ้นรูดทะราดลงไปหลายฟลอร์จากราคาวันเกิดเหตุที่ 2.90 บาท วันนี้(20 ก.ย.2567)มูลค่าเหลืออยู่แค่ 0.07 บาทหรือ แค่ 7 สตางค์ ซึ่งยากที่จะประเมินมูลค่าความเสียหายที่ชัดเจนได้
บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ More มีชื่อของนายอมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ หรือเฮียม้อ เป็นผู้ถือหุ้นอันดับที่ 2 จำนวน 25.24% แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าเฮียม้อนี่แหละคือเจ้าของ More ตัวจริง และเป็น 1 ในผู้ถูกกล่าวโทษในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง สร้างราคา(ปั่นหุ้น)และอั้งยี่ซ่องโจร แต่ไม่โดนคดีฟองเงินเพราะไม่มีธุรกรรมทางการเงินเชื่อมโยงไปถึงเฮียม้อ ในขณะที่นายอภิมุข บำรุงวงศ์ หรือปิงปอง คนสนิทของเฮียม้อ ผู้ต้องหาอันดับที่ 1 ปัจจุบันหลบหนีคดีอยู่ในต่างประเทศ โดยทุกข้อหารวมทั้งคดีฟอกเงินถูกอายัดทรัพย์สินทุกบัญชี
คดีนี้พบพฤติการณ์ของผู้ต้องหาทั้งหมดร่วมกันสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE อย่างต่อเนื่อง ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ ทำการส่งคำสั่งซื้อขายในลักษณะทำให้สภาพการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ผิดไปจากสภาพปกติของตลาด และเข้าข่ายทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ MORE อันเป็นความผิดฐานสร้างราคาหลักทรัพย์ รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 800 ล้านบาท นอกจากนี้การกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าว ยังเป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงบริษัทหลักทรัพย์ มูลค่าความเสียหายกว่า 4,500 ล้านบาท
ทั้งนี้ความผิดปกติของการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ที่พบในวันที่ 10 พ.ย. 2565 มีสภาพการซื้อขายผิดปกติ โดยมีราคาปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่เปิดตลาด +4.3% จากราคาปิดในวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายทั้งวันที่สูงมากถึง 7,143 ล้านบาท (ขณะที่ 30 วันก่อนหน้าเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 360 ล้านบาท) ทั้งนี้ ในช่วงที่เปิดตลาด มีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 1,500 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ เกือบ 4,500 ล้านบาท
นอกจานี้ยังมีลักษณะของการส่งคำสั่งซื้อขายที่ผิดปกติ คือฝั่งซื้อ พบว่า เป็นการส่งคำสั่งซื้อจากผู้ซื้อเพียง 1 รายคือนายปิงปอง ผ่านบริษัทสมาชิกหลายแห่งที่ราคา 2.90 บาท ขณะที่ฝั่งขาย พบว่า มีการส่งคำสั่งขายเป็นจำนวนมากจากผู้ขายหลายรายที่ระดับราคาใกล้เคียงกับราคาเสนอซื้อ โดยมีจำนวนที่สั่งขายตั้งแต่ประมาณ 70 ล้านหุ้น/ราย ไปจนถึงประมาณ 600 ล้านหุ้น/ราย
ทันทีเมื่อเปิดตลาด ได้เกิดการจับคู่ซื้อขายกับผู้ขายหลายรายผ่านบริษัทสมาชิกหลายแห่ง หลังจากนั้น ภายในไม่ถึง 20 นาทีหลังเปิดตลาด ราคาได้ทยอยปรับตัวลงจนไปต่ำสุดที่ Floor ที่ราคา 1.95 บาท และปิดตลาดที่ราคาดังกล่าว ถัดมาในวันที่ 11 พ.ย. 2565 เปิดตลาดที่ราคา Floor ทันทีที่ราคา 1.37 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายเบาบาง โดยลดเหลือเพียง 134 ล้านบาท จากกว่า 7,000 ล้านบาทในวันก่อนหน้า
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ 1 ในผู้ถูกกล่าวหาในครั้งนี้มีชื่อของนายเอกภัทร หรือคิม พรประภา ไฮโซคนดังร่วมอยู่ด้วย โดยนายคิม ตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกับนางอรพินธุ์ พรประภา มารดาของนายคิม และนายอธิภัทร พรประภา พี่ชาย โดยในวันเกิดเหตุนายคิมขายหุ้น More ออกไปในวันดังกล่าวมูลค่ารวมกว่า 1,808 ล้านบาท ขณะที่นายอธิภัทรขาย ออกไป 529 ล้านบาทเศษ และนางอรพินธุ์ขายออกไป 122 ล้านบาท รวมยอดขายหุ้น More ของนามสกุลพรประภาทั้ง 3 คนมูลรวมค่ากว่า 2,476 ล้านบาท
หลังนายคิมตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีดังกล่าว ก็ได้เปิดแถลงข่าวในวันที่ 1 ธ.ค.2565 ยืนยันว่าตนเองและครอบครัวนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการกับการกระทำผิดดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งนายอธิภัทรและนางอรพินธุ์ ได้ตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้ตนและครอบครัวได้รับความเสียหายอย่างมาก เพราะครอบครัวมีผู้ดูแลการลงทุน วงเงิน 3,000-4,000 ล้านบาท ซึ่งหากจะมีการซื้อขายหุ้นนของตนและครอบครัว จะต้องแจ้งและขอความยินยอมก่อนทุกครั้ง แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมานั้น ตนเงและครอบครัวอยู่ระหว่างเดินทางไปทำธุรกิจในต่างประเทศหลายวัน ทางผู้ดูแลลงทุนได้มีคำสั่งขายหุ้น MORE ออกไปโดยไม่ได้แจ้งหรือขอความยินยอมก่อน ทำให้ตนเองและครอบครัวไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานายคิมก็ยังดำเนินชีวิตตามไสตล์ไฮโซหนุ่มที่นิยมสะสมรถยนต์ระดับ Hyper Car ตามปกติ โดยในวันที่ 10 มิ.ย.2566 ปรากฏภาพของคิม พรประภา เดินทางไปรับรถไฮเปอร์คาร์ Lamborghini Countach LPI 800-4 มูลค่า 400 ล้านบาท ด้วยตนเอง นอกจากนี้ก็ยังปรากฎภาพของนายคิมไปร่วมงานแสดงรถระดับ Hyper Car สัญชาติสวีเดนอย่างรถ Koenigsegg CC850 ราคาคันละ 500 ล้านบาท รวมทั้ง BUGATTI ที่ราคาไม่น้อยหน้า 2 แบรนด์แรก
คดีปั่นหุ้น More มีการแยกฟ้องเป็นคดีอาญา(ฉ้อโกง,สร้างราคา,อั้วยี่ซ่องโจร)กับคดีแพ่งที่ ป.ป.ง.อายัดทรัพย์ไว้กว่า 5,400 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของคดีอาญาอยู่ในขั้นการพิจารณาของอัยการ ซึ่งคำโต้งแย้งข้อกล่าวหาของผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 42 ราย รวมทั้งนายคิมจะฟังขึ้นหรือไม่ อยู่ที่ดุลพินิจของพนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ว่าจะมีความเห็นสั่งฟ้องต่อศาลหรือไม่ ซึ่งผลของคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องในคดีอาญาจะมีผลเชื่อมโยงไปยังคดีแพ่งที่มีคำสั่งอายัดทรัพย์เอาไว้กว่า 5,400 ล้านบาทแน่นอน และคนที่ต้องลุ้นตัวโก่งก็คือบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหลายที่อนุมัติวงเงินให้กับปิงปอง ซึ่งก็คงต้องฝากความหวังไว้กับท่านวิรุฬห์ ฉันท์ธนนันท์ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ คนปัจจุบัน คดีนี้จะออกหัวหรือก้อย อีกไม่นานเกินรอคงได้รู้กัน