โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ไทยไม่ได้อานิสงส์บราซิลแล้ง ราคาน้ำตาลไม่พุ่ง กดซื้ออ้อยขั้นต้น 1,100 บาท ต่ำกว่าต้นทุน

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 27 ต.ค. 2567 เวลา 17.52 น. • เผยแพร่ 26 ต.ค. 2567 เวลา 03.08 น.

“ภัยแล้ง” กำลังจะกลับมาสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมน้ำตาลโลก ล่าสุดมีรายงานจาก Czarnikow Group Ltd. โบรกเกอร์ค้าน้ำตาลรายใหญ่ของโลกเข้ามาว่า ต้นปี 2568 ผลผลิตน้ำตาลทั่วโลกจะลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี เนื่องจากผลผลิตอ้อยของบราซิล ผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้รับความเสียหายจากภัยแล้ง

Datagro บริษัทที่ปรึกษาทางด้านการเกษตรคาดการณ์ว่า น้ำตาลจากบราซิลจะครองส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ประมาณ 75% ของน้ำตาลดิบที่จะซื้อขายกันในปี 2567

ด้าน Sucres et Denrees SA โบรกเกอร์สินค้าโภคภัณฑ์จากฝรั่งเศสเองเชื่อว่า ผลผลิตน้ำตาลน่าจะตึงตัวมากในช่วงไตรมาส 1/2568 ส่วน Wilmar International หนึ่งในผู้ค้าน้ำตาลรายใหญ่ที่สุดกล่าวว่า ตลาดน้ำตาลโลกกำลังเผชิญกับความเสี่ยงอย่างมากที่จะเกิดการขาดแคลนน้ำตาลของบราซิลในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 เนื่องจากสินค้าคงคลังของบราซิลต่ำและการเริ่มต้นการผลิตน้ำตาลในปี 2568/2569 ของบราซิล ก็เป็นไปอย่างล่าช้าจากผลผลิตอ้อยที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง

ล่าสุดมีรายงานเข้ามาว่า Unica ได้ออกตรวจสอบสต๊อกของโรงงานน้ำตาลในบราซิลทีละโรงพบว่า สต๊อกได้ลดลงมากจาก 4.3 ล้านตัน เหลือแค่ 1.9 ล้านตัน โดยสต๊อกน้ำตาลดิบ ณ วันที่ 1 เมษายน 2567 เหลือเพียง 900,000 ตันเท่านั้น ซึ่งต่ำสุดเท่าที่มีการรายงานมา ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมผลผลิตน้ำตาลจึงมีความตึงตัวมาก

สำหรับราคาน้ำตาลที่คาดการณ์ว่าจะพุ่งขึ้นมากจากเหตุการณ์อุปทานน้ำตาลตึงตัว เอาเข้าจริงยังคงซื้อขายกันอยู่ที่ระดับ 21-22 เซนต์/ปอนด์ แต่ราคาอาจปรับตัวสูงขึ้น ขึ้นอยู่กับผลผลิตอ้อยจริงของบราซิล ที่ได้รับกระทบจาก “ภัยแล้ง” ลดลงมากแค่ไหน กับการสต๊อกน้ำตาลภายในประเทศของอินเดีย

จับตาอ้อยขั้นต้นปี 2567/2568

ด้านผลผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายของประเทศไทยในปี 2566/2567 ในครอปที่ผ่านมาอยู่ที่ 82,167,065 ตัน (ปริมาณอ้อยส่งเข้าโรงงานน้ำตาล แบ่งเป็น อ้อยสด 57,811,117 ตัน-อ้อยไฟไหม้ 24,355,947 ตัน) ผลิตน้ำตาลทรายได้ในปริมาณ 8,808,268 ตัน โดยอ้อยที่ส่งเข้าโรงงานน้ำตาลในปี 2566/2567 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2565/2566 พบว่ามีปริมาณลดลง 11,720,817 ตัน หรือลดลง 12.48%

ขณะที่ผลผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายปี 2567/2568 ทางชาวไร่อ้อยคาดการณ์ว่า จะอยู่ที่ประมาณ 93 ล้านตัน ส่วนสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) คาดการณ์อยู่ที่ 92 ล้านตัน หรือปริมาณอ้อยเพิ่มขึ้นจากปี 2566/2567 แน่นอน

อย่างไรก็ตาม ผลผลิตอ้อยของบราซิลที่ลดลงจากภัยแล้ง จนโบรกเกอร์น้ำตาลโลกคาดการณ์ว่า น้ำตาลจะตึงตัวในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 นั้น ได้สร้างความหวังให้กับชาวไร่อ้อย และโรงงานน้ำตาล จะสามารถจำหน่ายน้ำตาลทรายในราคาที่สูงขึ้นได้ นั่นหมายความว่า เมื่อคำนวณกลับมาเป็นราคาอ้อยของชาวไร่อ้อยก็จะเพิ่มขึ้นด้วย หรือ “ไม่ต่ำกว่า” ราคาอ้อยขั้นต้นของปี 2566/2567 ที่สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 1,420 บาท/ตัน ซึ่งคำนวณจากราคาน้ำตาลทรายตลาดโลกที่ 27.35 เซนต์/ปอนด์

“ชาวไร่อ้อยมีความหวังจากราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้นจากความตึงตัวของผลผลิตน้ำตาลของบราซิล ที่คาดว่าจะเกิดการขาดแคลน ขณะที่ต้นทุนการปลูกอ้อยของชาวไร่อ้อยอยู่ที่ตันละ 1,400 บาท นั่นหมายความว่า ราคาอ้อยขั้นต้นที่ชาวไร่อ้อยจะไม่ขาดทุน ต้องสูงกว่าตันละ 1,400 บาท เหมือนอย่างปี 2566/2567 ทว่าหากคำนวณราคาอ้อยขั้นต้นจากราคาน้ำตาลทรายในขณะนี้ ที่วิ่งอยู่ระหว่าง 20-21 เซนต์/ปอนด์ ชาวไร่อ้อยก็จะได้ราคาอ้อยขั้นต้นของปี 2567/2568 อยู่ประมาณ 1,100 บาท/ตันเท่านั้น” สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ระบุ

น้ำตาลอ้อย

คาดราคาไม่พุ่งอย่างหวัง

นายนราธิป อนันตสุข หัวหน้าสำนักงานสมาคมกลุ่มชาวไร่อ้อย เขต 7 หัวหน้าสำนักงานสหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผลจากการที่บราซิลมีผลผลิตอ้อยลดลงจากปัญหาภัยแล้งและไฟไหม้ อาจส่งผลต่อราคาน้ำตาลตลาดโลกที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยไปอยู่ที่ 23 เซนต์/ปอนด์ จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 21 เซนต์/ปอนด์

แม้ว่าในข้อเท็จจริงแล้วนั้น ประเทศอื่นที่เป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่อย่างอินเดีย และประเทศไทย จะมีผลผลิตที่เพิ่มขึ้นและอาจทดแทนส่วนที่ผลผลิตอ้อยของบราซิลหายไป แต่ก็ไม่ได้ชดเชยปริมาณน้ำตาลที่หายไปจากตลาดโลกมากนัก เพราะด้วยปริมาณอ้อยของบราซิลมีจำนวนมาก ต่อให้ผลผลิตจากไทยเข้าไปแทนที่ “ก็ไม่สามารถทดแทนส่วนที่บราซิลหายไปได้”

ดังนั้น ในฤดูกาลปี 2568/2569 ทางสหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่า ราคาน้ำตาลโลก “อาจจะ” ทรงตัวอยู่ในระดับที่ 21-22 เซนต์/ปอนด์ หรือไปแตะที่ 23 เซนต์/ปอนด์ ขึ้นอยู่ที่ว่าผลผลิตอ้อยทั่วโลกจะลดลงหรือไม่ แต่ดูแนวโน้มแล้วสภาพอากาศของไทยฝนดี ผลผลิตอ้อยจึงค่อนข้างที่จะมากกว่าปีที่ผ่านมา (ปี 2566/2567)

“ราคาน้ำตาลจะพุ่งขึ้นไปได้อีกจากสาเหตุที่ว่า บราซิลจะต้องเกิดหายนะภัยแล้งอย่างหนักและเจอกับปัญหาโรคพืชพร้อมกัน จนทำให้ผลผลิตอ้อยลดลงต่อเนื่อง ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอาจทำให้ราคาน้ำตาลในตลาดโลกปรับขึ้นมาอยู่ที่ 25 เซนต์/ปอนด์ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์อยู่ในลักษณะค่อนข้างที่จะประเมินได้ยากว่า ในฤดูกาลหน้า (2567/2568) จะเป็นอย่างไร เพราะตัวแปรทุกอย่างมันคือเรื่องของสภาพอากาศว่าจะดี หรือแล้ง” นายนราธิปกล่าว

ในขณะที่ผลผลิตอ้อยในไทยฤดูกาลนี้ 2567/2568 ที่กำลังจะเปิดหีบช่วงเดือนธันวาคม 2567 คาดว่าจะมีอ้อยเข้าหีบประมาณ 93 ล้านตัน ผลิตน้ำตาลได้ประมาณ 10 ล้านตัน เมื่อดูราคาน้ำตาลโลกแล้ว คือ 21 เซนต์/ปอนด์ จึงคาดว่าในการประชุม คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) เพื่อพิจารณาราคาอ้อยขั้นต้นของปี 2567/2568 ในเร็ว ๆ นี้ เมื่อคำนวณแล้วอาจจะอยู่ที่ประมาณ 1,100 บาท/ตัน หรือลดลงจากราคาอ้อยขั้นต้นเมื่อฤดูกาลปีที่แล้ว 2566/2567 ราคาอ้อยขั้นต้นอยู่ที่ 1,400 บาท/ตัน เพราะราคาน้ำตาลตลาดโลกพุ่งไปอยู่ที่ 27 เซนต์/ปอนด์ แม้ว่าผลผลิตอ้อยจะต่ำเหลือเพียง 82 ล้านตันก็ตาม

ชาวไร่อ้อยเล็งขอเงินตัดอ้อยสด

นอกจากนี้ ในการประชุม กอน. ยังจะมีการหารือถึง “เงินช่วยเหลือค่าตัดอ้อยสด 120 บาท/ตัน” ที่ทางรัฐบาลได้เห็นชอบจะจ่ายให้กับชาวไร่อ้อย ซึ่งเป็นการจูงใจให้ชาวไร่ตัดอ้อยสดแทนการเผา เพื่อลดฝุ่นมลพิษ PM 2.5 และขณะนี้เงินช่วยเหลือยังไม่ได้รับการพิจารณา ในขณะที่สถานการณ์การเผาอ้อยยอมรับว่า ในบางพื้นที่ชาวไร่อ้อยยังต้องพึ่งพาการเผา เพราะยังคงมีหลายปัจจัยที่ทำให้ชาวไร่ต้องเลือกใช้วิธีดังกล่าว เช่น อ้อยล้ม ไม่สามารถใช้รถตัดอ้อยเข้าพื้นที่เพื่อตัดอ้อยได้ หรือปัญหาแรงงานตัดอ้อยมีไม่เพียงพอและอาจไม่ทันการส่งอ้อยเข้าหีบ ต้นทุนที่สูงขึ้นจากค่าแรง ค่าเชื้อเพลิง รวมถึงเหตุสุดวิสัยจากไฟไหม้ ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนจัด

อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าชาวไร่บางกลุ่มในสัดส่วนน้อยอาจยังเลือกวิธีการเผา เพราะไม่สามารถสู้กับต้นทุนที่แพงได้ แต่อย่างน้อยหากรัฐบาลเร่งการจ่ายเงินช่วยเหลือ ชาวไร่ก็ยังสามารถนำมาบริหารจัดการเลือกการตัดอ้อยสดเพิ่มมากขึ้น

ส่งออกน้ำตาลเท่าไรก็ขายหมด

ด้านนายชลัช ชินธรรมมิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ KSL กล่าวว่า เป็นโอกาสที่ประเทศไทยจะได้สัดส่วนตลาดเพิ่มจากการส่งออกน้ำตาล หลังจากที่ผลผลิตอ้อยและน้ำตาลของบราซิลลดลงก็เป็นไปได้ เพราะปัจจุบันไทยส่งออกน้ำตาลไปประเทศเพื่อนบ้าน “ไม่ว่าปริมาณเท่าไรก็ขายหมด” นั่นหมายถึงตลาดยังคงมีความต้องการที่จะใช้ และบริโภคน้ำตาลทรายอยู่

ดังนั้นไทยจะได้อานิสงส์มากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับผลผลิตอ้อยในครอปนี้ (2567/2568) ด้วยว่า จะได้มากน้อยเพียงใด สำหรับปี 2567 นี้เป็นความโชคดีของฝั่งภูมิภาคเอเชียที่มีสภาพอากาศดี ฝนตกชุก ส่งผลให้ผลผลิตอ้อยมีปริมาณเพิ่มขึ้นมากในปี 2567/2568 นี้ “แน่นอน”

และคาดการณ์ว่า หากสภาพอากาศยังเป็นแบบนี้ เชื่อว่าฤดูกาลปี 2568/2569 ผลผลิตอ้อยอาจเพิ่มเป็น 95 ล้านตัน หรืออาจสูงได้ถึง 100 ล้านตัน ในขณะที่ราคาน้ำตาลโลกจะยังเห็นค่าเฉลี่ยทรงตัวเท่ากับปีนี้ หรือประมาณ 21 เซนต์/ปอนด์อยู่

ส่วนราคาน้ำตาลทรายในประเทศไทย “จะต้องคงปริมาณให้ได้ตามความต้องการบริโภคภายในประเทศก่อน ถึงจะส่งออกต่างประเทศได้” ปัจจุบันราคาน้ำตาลหน้าโรงงานอยู่ที่ 21-22 บาท/กก. ราคาขายตามร้านค้าทั่วไปอยู่ที่ 24-25 บาท/กก. และขายในห้างสรรพสินค้า “บวกค่าการตลาด” จะอยู่ที่ประมาณ 27 บาท/กก. โดยน้ำตาลทรายยังคงเป็นสินค้าควบคุม มีกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ดูแล

และในช่วงใดที่มีการปรับขึ้นราคาน้ำตาล หรือเกิดการร้องเรียนว่า มีการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค คณะกรรมการว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) กระทรวงพาณิชย์ ก็จะเข้าไปติดตามดูแลไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคได้

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ไทยไม่ได้อานิสงส์บราซิลแล้ง ราคาน้ำตาลไม่พุ่ง กดซื้ออ้อยขั้นต้น 1,100 บาท ต่ำกว่าต้นทุน

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...