โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ปริศนาโบราณคดี/'วัดอุโมงค์' (สวนพุทธธรรม) ศิลปกรรมที่เต็มไปด้วยปัญหา ด้านการกำหนดอายุ (จบ)

มติชนสุดสัปดาห์

อัพเดต 09 ธ.ค. 2564 เวลา 13.02 น. • เผยแพร่ 12 ธ.ค. 2564 เวลา 07.00 น.

ปริศนาโบราณคดี

เพ็ญสุภา สุขคตะ

 

‘วัดอุโมงค์’ (สวนพุทธธรรม)

ศิลปกรรมที่เต็มไปด้วยปัญหา

ด้านการกำหนดอายุ (จบ)

 

สามตอนที่ผ่านมาได้วิเคราะห์เจาะลึกถึงประเด็นปัญหาเรื่องตัวมหาสถูปของวัดอุโมงค์ ซึ่งมีรูปแบบที่พิเศษ แปลกแตกต่างจากเจดีย์ทรงระฆังแบบลังกาทั่วไป เนื่องจากลักษณะทางศิลปกรรมค่อนไปทางอิทธิพลของศิลปะพุกามอย่างมาก

จนทำให้เกิดคำถามตามมามากมายว่า ทั้ง “พระมหากัสสปะ” พระภิกษุชาวลังกา สมัยพระญามังรายก็ดี หรือ “พระเถรจันท์” ภิกษุชาวล้านนา (บ้านเดิมอยู่แถวแม่เหียะ) สมัยพระญากือนาก็ดี ไฉนรูปใดรูปหนึ่งที่ตำนานระบุว่าเคยจำพรรษาที่วัดนี้มาก่อน จึงไปมีสัมพันธ์อันดีกับทางพุกาม จนกระทั่งถึงขั้นรับเอาอิทธิพลด้านรูปแบบศิลปะของพุกามมาสร้างที่เจดีย์วัดอุโมงค์นี้อย่างเต็มที่

และใช่เพียงแต่องค์พระเจดีย์เท่านั้นที่มีความสัมพันธ์กับทางศิลปะพุกามอย่างแนบแน่น

ทว่า ในส่วนของจิตรกรรมฝาผนังในช่องอุโมงค์ ก็พบว่าเป็นศิลปกรรมที่สะท้อนถึงร่องรอยของศิลปะพุกามอย่างเด่นชัดด้วยเช่นกัน

ใครเป็นคนเปิดพรมแดนในการรับเอารูปแบบศิลปกรรมพุกามมาสถาปนาในล้านนา

หลายท่านอาจถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ อาณาจักรพุกามมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับดินแดนแถวนี้มานานแล้วตั้งแต่สมัยอาณาจักรหริภุญไชยเรืองอำนาจ

เห็นได้จากรูปแบบการสร้างเจดีย์ประธานที่เวียงกาะกลาง รวมถึงมณฑปกลางน้ำ ที่อำเภอป่าซาง ลำพูน สมัยหริภุญไชยตอนปลาย ก็มีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับสถาปัตยกรรมแบบพุกาม

ดังนั้น อิทธิพลของศิลปะพุกามในแผ่นดินลุ่มน้ำแม่ปิงที่ต่อมาผลัดมือมาสู่อาณาจักรล้านนา อาจตกค้างมาตั้งแต่สมัยหริภุญไชยตอนปลายๆ แล้วก็เป็นได้

อีกประการหนึ่ง ประวัติของพระญามังรายช่วงกำลังเตรียมสร้างเมืองเชียงใหม่ มีการกล่าวว่าพระองค์ได้ยกทัพไปยังเมืองพุกาม หงสาวดี มีชัยชนะต่อรัฐจารีตทั้งสองเมืองนี้ ถึงขั้นสามารถกวาดต้อนนายช่างศิลปกรรมมาได้จำนวนมาก เพื่อให้ช่างฝีมือเหล่านี้มาเป็นมันสมองออกแบบ ช่วยวางรากฐานสร้างวัดวาอารามในเมืองเชียงใหม่

สองประเด็นที่กล่าวมา ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดไม่น้อย อาจใช้เป็นกุญแจไขปริศนาว่าทำไมจึงมีศิลปกรรมแบบพุกามเกิดขึ้นแล้วในสมัยล้านนาตอนต้น อย่างน้อยสองแห่ง

มีข้อน่าสังเกตว่า มีวัดสองแห่งตั้งอยู่ในเขตคูเมืองเชียงใหม่ที่มีการเจาะช่องอุโมงค์ที่ฐานเจดีย์ตอนล่าง อันเป็นรูปแบบศิลปกรรมที่นิยมมากในกรุงพุกาม นั่นคือ วัดอุโมงค์เถรจันทร์ และวัดล่ามช้าง

ซึ่งนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ศิลปะหลายท่านลงความเห็นว่า เจดีย์ที่เจาะอุโมงค์ที่ฐานของสองวัดนี้มีความเป็นไปได้ที่มีอายุเก่าแก่ถึงสมัยพระญามังราย

ในส่วนของภาพจิตรกรรมวัดอุโมงค์นั้นเล่า อาจกล่าวได้ว่า จิตรกรรมฝาผนังวัดอุโมงค์คือภาพเขียนสีที่เก่าที่สุดที่พบในสมัยล้านนา (ไม่นับภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์อายุ 3,000 ปี เช่นที่ประตูผา ลำปาง) เนื่องจากจิตรกรรมฝาผนังอื่นๆ ที่พบในรูปแบบ “ลายคำน้ำแต้ม” (พื้นที่แดงชาดแล้วปิดทองคำเปลวสีทอง) เช่น ในสกุลช่างลำปาง ตามวิหารวัดปงยางคก วัดไหล่หิน ล้วนมีอายุในช่วงที่ล้านนาตกเป็นเมืองขึ้นพม่า ราว 300 กว่าปีมาแล้วทั้งสิ้นเท่านั้น

ในขณะที่จิตรกรรมฝาผนังในช่องอุโมงค์ทั้งหมด 6 ช่องที่วัดอุโมงค์นั้น มีความเก่าแก่กว่าภาพเขียนสีกลุ่มลายคำน้ำแต้มอยู่มาก กล่าวคือ วาดขึ้นในสมัยยุคทองของอาณาจักรล้านนา ราว 500-600 ปีมาแล้วอย่างแน่นอน

ปัญหาคือ จิตรกรรมวาดขึ้นพร้อมกับการเจาะช่องอุโมงค์หรือไม่ ใครเป็นคนเจาะช่องอุโมงค์ ใครเป็นคนวาดภาพจิตรกรรม ทำไมรูปแบบภาพจิตรกรรมจึงไปคล้ายคลึงกับศิลปกรรมสกุลช่างพุกาม (เข้าอีกจนได้?)

ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในถ้ำอุโมงค์เหล่านี้ พบว่าเขียนเป็น “ลวดลายประดับ” ล้วนๆ ประกอบด้วย ลายนกยูง นกกระเรียน นกกระสา นกแก้ว ลายดอกบัว ดอกโบตั๋น ลายไข่มุกไฟ ลายก้อนเมฆ ลายเพชรพลอย

ในส่วนของลวดลายนั้นเมื่อแยกออกมาชิ้นเดี่ยวๆ พบว่าเป็นลวดลายแบบจีน ที่ใช้เขียนบนภาชนะเครื่องถ้วยสมัยราชวงศ์หยวนตอนปลายและราชวงศ์หมิง สีที่ใช้คือสีเขียว สีดำ สีน้ำตาล วาดบนพื้นสีแดงชาด

ไม่มีการพบภาพที่แสดงเรื่องราว เช่น อดีตพุทธ พุทธประวัติ ชาดกใดๆ เลยบนผนังทั้ง 6 ห้อง มีแต่รูปลวดลายประดับล้วนๆ คล้ายลายพิมพ์ผ้าซ้ำไปซ้ำมา จัดวางเป็นจังหวะเต็มผนังโค้ง

ซึ่งลักษณะการวางจังหวะลวดลายเช่นนี้ คล้ายกับองค์ประกอบของลวดลายในภาพจิตรกรรมฝาผนังที่พุกาม

ตอนท้ายของบทความฉบับก่อน ดิฉันได้ทิ้งประเด็นเรื่อง มุมมองของคนล้านนาในยุคที่ถูกพม่ากวาดต้อนไปหงสาวดี มีความเชื่อว่า การเจาะช่องอุโมงค์ของวัดแห่งนี้ ทำโดยกษัตริย์พระองค์หนึ่ง (ไม่ระบุว่าองค์ใด) ที่ตั้งใจขุดช่องอุโมงค์เพื่อเลียนแบบ “ท้าวมโหสถ” ผู้เลิศด้วยสติปัญญาหาใครเทียบได้

ท้าวมโหสถเจาะอุโมงค์เพื่อใช้เป็นทางหนีทีไล่ หรือเป็นทางลัด กำบังการกระทำลักลอบส่งตัวธิดากษัตริย์ไปสู่อีกเมืองหนึ่ง มิให้ใครเห็น

ไฉนเลย กวีผู้รจนาโคลงมังทรารบเชียงใหม่ จึงเทียบว่ากษัตริย์ผู้สร้างวัดอุโมงค์ ได้เจาะช่องอุโมงค์ลับเป็นการเลียนแบบ “ปัญญา” ของท้าวมโหสถ

ใครคือกษัตริย์ผู้ปราดเปรื่องพระองค์นั้น และช่องอุโมงค์ที่เจาะนั้น เป็นชั้นความลับด้วยหรือไม่ สามารรถมุดรูไปโผล่ที่ใดบ้าง

ในการรับรู้ของกวีนั้น กษัตริย์ผู้เทียบได้กับท้าวมโหสถ จักหมายถึงพระญากือนา หรือว่าพระเจ้าติโลกราช หรือองค์อื่นๆ?

จากเอกสารคัมภีร์ใบลานที่ดิฉันนำเสนอเมื่อตอนที่แล้ว ระบุว่าพระญากือนาโปรดให้พระเถรจันท์ขุดช่องอุโมงค์อยู่แทนกุฏิ? เพราะมีจิตวิปริต สติวิปลาสเกินกว่าจักสามารถอาศัยอยู่ในอาคารกุฏิทั่วไปอย่างกลมกลืนกับพระภิกษุอื่นๆ ให้แยกออกมาอยู่แบบปัจเจก

ถ้าเช่นนั้น จุดเริ่มต้นของการเจาะช่องอุโมงค์ตามที่คัมภีร์ระบุ ย่อมเกิดจากความจงใจสร้าง “อาคารเฉพาะกิจ” สำหรับพระภิกษุที่มีอาการแปลกๆ ไม่อยู่กับร่องกับรอยผิดจากคนทั่วไปกระนั้นหรือ?

ช่องอุโมงค์เหล่านี้ จงใจสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็น “กุฏิ” หรือ “วิหาร” กันแน่? (เพราะปัจจุบันเป็นวิหาร)

ในเมื่อวิหารในอินเดียตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ก่อนที่จะพัฒนามาสร้างเป็นห้องหับผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก็เคยใช้วิธีเจาะช่องอุโมงค์ให้เป็นถ้ำตามภูเขามาก่อนแล้วเช่นกัน

เป็นไปได้หรือไม่ ว่าจุดเริ่มต้นของการเจาะอุโมงค์ของพระเถรจันท์ ในสมัยพระญากือนาราวช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 20 (พ.ศ.1920 กว่าๆ) อาจทำเป็นอุโมงค์ขนาดเขื่องแค่ช่องเดียว เพื่อใช้เป็นกุฏิอาศัย

ทว่า เมื่อกาลเวลาผ่านไปอีกสักระยะ ช่วงกลางหรือปลายพุทธศตวรรษที่ 20 กษัตริย์พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง (คนส่วนใหญ่มักให้เครดิตกับพระเจ้าติโลกราช เพราะรัชสมัยของพระองค์มีสิ่งก่อสร้างที่เจาะช่องอุโมงค์หลายแห่ง) โปรดให้ขยายช่องอุโมงค์ให้กว้างขึ้น สร้างเพิ่มจาก 1 ห้อง รวมเป็น 6 ห้อง

จากคัมภีร์ใบลานที่อ้างถึงประวัติพระเถรจันท์ ยังพบว่าท่านมีอายุยืนยาวมาก อยู่มาถึง 4 รัชกาล จากสมัยพระญากือนา พระญาแสนเมืองมา พระญาสามฝั่งแกน จนทันถึงสมัยพระเจ้าติโลกราชครองราชย์ช่วงต้นๆ อีกด้วย

ดิฉันกำลังสนใจเหตุการณ์ในรัชสมัยของพระญาสามฝั่งแกน (พ.ศ.1945-1984 พระราชบิดาของพระเจ้าติโลกราช) พระองค์อุปถัมภ์นิกายสวนดอก นับแต่ภายหลังการมรณภาพของพระมหาสุมนสุวรรณรัตนสามี (พระมหาสุมนเถระชาวสุโขทัย) ผู้สถาปนานิกายสวนดอกแล้ว

ตำนานวัดสวนดอกระบุว่า ได้มีพระมหาเถระชาวล้านนาอีกหลายรูปเดินทางไปศึกษาพระศาสนาสายรามัญวงศ์ในเมืองพุกามและอังวะอยู่อย่างไม่ขาดสาย ครั้นเมื่อกลับมาได้ทำการอุปสมบทกุลบุตรในสายรามัญนิกายย่อยของสวนดอก เรียกว่า “หน” หมายถึงทิศ ทาง หรือฝ่าย คือ “หนพุกาม” อีกด้วย

โดยส่วนพระองค์แล้วพระญาสามฝั่งแกนมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสพระมหาเถระในนิกายพุกามอย่างมาก ทรงแต่งตั้ง “พระญาณรังษี” ซึ่งไปบวชเรียนมาจากพุกามเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนดอก ทำให้กุลบุตรชาวเชียงใหม่เกิดความนิยมในคติหนพุกามตามไปด้วย

ดิฉันตั้งข้อสันนิษฐานว่า พื้นที่แถววัดอุโมงค์นี้นั่นเอง น่าจะเป็นเขตอารามต่อเนื่องของนิกายสวนดอกลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยพระญาสามฝั่งแกนคงให้พระหนพุกามที่เข้ามาจำพรรษาในเชียงใหม่ อยู่ปะปนกับพระเถรจันท์ ในวัยชราภาพมากแล้ว (สภาพ “ผีบ้า” คงน่าจะทุเลาลงบ้างแล้ว)

ภายหลังจากที่พระเถรจันท์มรณภาพ วัดอุโมงค์น่าจะได้กลายเป็นนิวาสถานหลักของพระภิกษุสายพุกามโดยปริยาย ทำให้รูปแบบศิลปกรรมพุกามจึงปรากฏอย่างเข้มข้นโดดเด่นทั้งในองค์เจดีย์ และในส่วนของภาพจิตรกรรมฝาผนัง

เมื่อถึงสมัยพระเจ้าติโลกราช ทรงโปรดปรานนิกายป่าแดง วัดอุโมงค์จะถูกละทิ้งหรือไม่ และสถานะของนิกายสวนดอกหนพุกามจะเป็นเช่นไร ดีไม่ดี พระองค์อาจเปลี่ยนนิกายของวัดนี้จากสวนดอกให้กลายเป็นนิกายป่าแดงที่ทรงอุปถัมภ์อีกด้วย เหตุที่วัดอุโมงค์ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับวัดป่าแดง

หากสมมุติว่า การเจาะช่องอุโมงค์และภาพเขียนฝาผนังเป็นผลงานของพระภิกษุชาวพุกาม ตั้งแต่สมัยพระญาสามฝั่งแกนจริง บางทีสิ่งนี้อาจเป็นแรงบันดาลใจให้แก่พระเจ้าติโลกราช ส่งหมื่นด้ามพร้าคต นายช่างเอกไปศึกษาเรียนรู้นวัตกรรมการเจาะช่องอุโมงค์จากพุกาม เมื่อกลับมาจึงนำมาใช้ที่ฐานล่างวัดเจดีย์หลวง และผนังวิหารวัดเจ็ดยอด ก็เป็นได้

น่าคิดไม่น้อยว่า เอะอะไรเมื่อเห็นของดีของเด่นในล้านนา เรามักโฟกัสไปที่กษัตริย์สองพระองค์นี้อยู่เสมอ ไม่พระญากือนาก็พระเจ้าติโลกราช โดยมักจะมองข้ามชีวิตและผลงานของกษัตริย์ที่อยู่หว่างกลางสองพระองค์คือ พระญาแสนเมืองมากับพระญาสามฝั่งแกน ไปอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมนัก

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...