โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

กองทุนโรงแรม กองทรัสต์อสังหาฯ Warehouse เครื่องช่วยหายใจ ไม่ใช่ยาวิเศษ ?

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 27 พ.ย. 2563 เวลา 10.00 น. • เผยแพร่ 28 พ.ย. 2563 เวลา 02.42 น.

คอลัมน์นอกรอบ ศรัณย์วุฒิ ตรรกพงศ์, กมลณิช สวัสดิ์พาณิชย์ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

วิกฤตเศรษฐกิจอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้น มีความแตกต่างจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ประเทศไทยเคยเผชิญมาในอดีต ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 หรือผลกระทบจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2551 โดยในวิกฤตใหญ่ที่ผ่านมานั้นล้วนมีสาเหตุมาจากผลิตภัณฑ์ในตลาดการเงินหรือฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์

วิกฤตเศรษฐกิจ ณ เวลานี้ที่ทำให้ทั่วโลกต้องเผชิญกับคลื่นมรสุมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สาเหตุมาจากสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์มหภาค เรียกว่า “exogenous shock” หรือแรงกระแทกจากปัจจัยภายนอกระบบเศรษฐกิจที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากสงครามหรือโรคไข้หวัดสเปนเมื่อปี 2461

แรงกระแทกนั้นได้เข้ามาเขย่าแกนหลักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างภาคเศรษฐกิจจริง (real sector) ชนิดที่เหล่ากูรูผู้ดูแลเศรษฐกิจได้แต่กุมขมับเพราะอยู่นอกเหนือจากการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ

การออกมาตรการเพื่อบรรเทาวิกฤตครั้งนี้ต้องอาศัยการวิเคราะห์และมองปัญหาแบบองค์รวม (holistic view) ไม่สามารถพึ่งพาเพียงกลไกด้านใดด้านหนึ่งเหมือนเช่นในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลไกทางการเงินซึ่งเคยเปรียบเสมือน“ยาชุบชีวิต” บัดนี้ กลับกลายเป็นเพียง “เครื่องช่วยหายใจ” ที่ช่วยยืดระยะเวลาหมดลมหายใจของภาคธุรกิจ ไม่ใช่การรักษาผู้ป่วยให้หายและฟื้นตัวขึ้นมาได้เป็นปกติ

เครื่องช่วยหายใจเครื่องนี้ จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับฟื้นคืนขึ้นมาเป็นปกติได้ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยรายนั้นยังอยู่ในเงื่อนไขที่ “ช่วยได้” หรือมีศักยภาพทางธุรกิจ (viability)

ดังนั้น การกำหนดกลไกทางการเงินจึงควรเป็นลักษณะ “targeted” หรือจำเพาะเจาะจงเฉพาะกับผู้ประกอบการที่ยังอยู่ใน “เงื่อนไขของการมีชีวิตรอด” เท่านั้น และการใช้เครื่องช่วยหายใจเองก็ยังต้องคำนึงถึงจำนวนเครื่องช่วยหายใจที่มีอยู่จำกัด ภาครัฐซึ่งเปรียบเสมือนโรงพยาบาลไม่สามารถผลิตเครื่องช่วยชีวิตออกมาสำหรับผู้ป่วยจำนวนนับหลายสิบล้านราย หรือทุกคนพร้อมกันได้ แต่สามารถพัฒนาเครื่องช่วยหายใจหรือปรับเครื่องช่วยหายใจให้เหมาะสมกับสภาวะของผู้ป่วยที่ยังมี viability ได้

ผู้ออกนโยบายจำเป็นต้องพัฒนากลไกใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ต่อข้อจำกัดเหล่านี้ ดังคำกล่าวที่ว่า “ความจำเป็นคือบ่อเกิดแห่งนวัตกรรม (Necessity is the mother of innovation.)”

ภาครัฐของประเทศอื่น ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา หรือออสเตรเลีย ก็ได้พัฒนากลไกทางการเงินรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ธนาคารกลางของประเทศสหรัฐอเมริกา (Federal Reserve หรือ Fed) ได้ออกมาตรการชื่อว่า Term Asset-Backed Securities Loan Facility (TALF 2020) ภายใต้กฎหมาย Coronavirus Aid, Relief, and Economic Security Act (CARES Act) มีวัตถุประสงค์ช่วยให้ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น โดยจัดตั้ง SPV ที่มีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจาก Fed

และกระทรวงการคลังสหรัฐ (Department of Treasury) ก็อาศัยอำนาจตาม CARES Act ลงทุนในหลักทรัพย์ของ SPV โดย SPV จะนำแหล่งทุนดังกล่าวไปปล่อยสินเชื่อให้กับสถาบันการเงินที่เข้าร่วม TALF เพื่อนำไปปล่อยสินเชื่อใหม่หลายประเภท เช่น สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อการศึกษา สินเชื่อบัตรเครดิต เป็นต้น

โดยสถาบันการเงินสามารถนำสินเชื่อที่ปล่อยใหม่รับผ่าน TALF 2020 ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2563 มาผ่านกระบวนการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (securitization) หรือ asset-backed securities เพื่อใช้มาเป็นหลักประกันในการกู้ยืมผ่านโครงการได้ ซึ่งกลไกดังกล่าวแตกต่างจากมาตรการลักษณะคล้ายกันที่ Fed ได้นำมาใช้ในช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ที่ให้สถาบันการเงินใช้สินเชื่อเก่าหรือสินเชื่อ on book เป็นหลักประกัน

จะเห็นได้ว่ากลไกดังกล่าวเป็นการส่งเสริมให้สถาบันการเงินมีแรงจูงใจในการทำหน้าที่ตัวกลางทางการเงินในช่วงเวลาที่ความเสี่ยงเชิงเครดิต (credit risk) ในระบบการเงินเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนส่งผลให้สถาบันการเงินไม่ประสงค์จะปล่อยสินเชื่อหรือให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการ แม้ว่าสถาบันการเงินยังคงมีศักยภาพและสภาพคล่องเพียงพอก็ตาม

อย่างไรก็ดี ภายใต้มาตรการ TALF รัฐบาลสหรัฐจะเข้ามาช่วยรับภาระความเสียหายของสถาบันการเงิน โดยอาศัยกลไกตลาดผ่านการซื้อ equity หรือ junior tranche ของ SPV ดังกล่าว

แต่ในขณะเดียวกันยังมีกลไกให้สถาบันการเงินร่วมรับความเสี่ยงบางส่วน เพื่อป้องกันปัญหา moral hazard และ adverse selection ที่เหมาะสม ทำให้สถาบันการเงินเต็มใจที่จะส่งต่อความช่วยเหลือทางการเงินไปจนถึงมือผู้ประกอบการและประชาชนได้จริง นอกจากนี้ ความช่วยเหลือที่ไม่ฝืนกลไกตลาดจะช่วยคัดเลือกผู้ประกอบการที่ยังอยู่ในเงื่อนไขของการ “มีชีวิตรอด” ให้เป็นผู้ได้รับความช่วยเหลือ รัฐจึงไม่ต้องรับภาระสวมเครื่องช่วยหายใจให้กับผู้ป่วยที่ไม่มีโอกาสรอดชีวิต

ประเทศออสเตรเลีย คืออีกตัวอย่างหนึ่งของการนำกลไกตลาดเข้ามาเป็นแกนหลักในการกำหนดนโยบายให้ความช่วยเหลือแบบ “targeted” โดยการจัดตั้งกองทุน Structured Finance Support (Coronavirus Economic Response) Fund (SFSF) ภายใต้กฎหมาย Structured Finance Support (Coronavirus Economic Response Package) Act 2020 มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการภายใต้สถานการณ์ที่ credit risk ในระบบการเงินเพิ่มสูงขึ้น และเพื่อลดผลกระทบของโควิด-19 ต่อตลาดสินเชื่อ

กองทุน SFSF จะลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ (debt securities) ที่ออกโดยกองทรัสต์หรือ SPV ที่จัดตั้งโดยผู้ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อทั้งในตลาดแรกและตลาดรอง แม้ว่าการลงทุนในหลักทรัพย์ที่ออกด้วยกระบวนการ securitization ดังกล่าวจะเป็นการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจ ให้สินเชื่อขนาดกลางและขนาดเล็กซึ่งมักจะอาศัยแหล่งเงินทุนจากการทำ securitization เพื่อปล่อยสินเชื่อมากกว่าผู้ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อขนาดใหญ่หรือสถาบันการเงิน แต่ผู้ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อบางกลุ่มยังคงไม่สามารถเข้าถึงมาตรการดังกล่าวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง

กองทุน SFSF จึงออกมาตรการเสริมด้วยการให้ SFSF ลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์ที่ออกโดยผู้ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อรายย่อย ที่สามารถรวมตัวกันจัดตั้งกองทรัสต์หรือ SPV ได้ เพื่อให้สามารถเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือผ่านกองทุน SFSF ซึ่งผลสืบเนื่องจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อรายย่อยสามารถเข้าถึงมาตรการได้ก็คือ กลุ่มลูกหนี้รายย่อยที่โดยมากเป็นกลุ่มเปราะบาง (the underserved and the fragile) ของผู้ให้สินเชื่อดังกล่าวที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ก็จะได้รับความช่วยเหลือทางการเงินไปด้วย

เมื่อพิจารณาในบริบทของประเทศไทย พบว่ากลไกทางกฎหมายในปัจจุบันยังไม่เปิดช่องให้สามารถใช้ “นวัตกรรม” เหล่านี้เพื่อผ่านทางตันในเวลาวิกฤตเช่นนี้ได้ โดยเมื่อพิจารณาพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540 ยังไม่พบว่านิติบุคคลเฉพาะกิจหรือ SPV สามารถดำเนินการได้เช่นเดียวกับ SPV ในมาตรการ TALF ของสหรัฐ

นอกจากนี้ หากจะใช้กระบวนการ securitization โดยสนับสนุนให้ผู้ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อจัดตั้งทรัสต์หรือ SPV เช่นเดียวกับประเทศออสเตรเลีย เมื่อพิจารณาตลาดสินเชื่อของประเทศไทยแล้วพบว่ายังมีความแตกต่างกับประเทศออสเตรเลียอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ ผู้ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อซึ่งรวมถึงผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กของประเทศออสเตรเลีย ได้อาศัยกระบวนการ securitization เป็นแหล่งเงินทุนอยู่บ้างแล้ว

ในขณะที่ผู้ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อรายย่อยของประเทศไทย เช่น ผู้ประกอบธุรกิจ personal loanผู้ประกอบธุรกิจ nanofinance ผู้ประกอบธุรกิจ picofinance เป็นต้น ไม่ได้มีความคุ้นเคยหรือความชำนาญในการทำ securitization หรือแม้กระทั่งธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินเฉพาะกิจก็ไม่นิยมทำ securitization

ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ที่เน้นให้รัฐบาลและผู้ประกอบการรับภาระความเสี่ยงของผู้ให้สินเชื่อ ซึ่งแตกต่างจากตัวอย่างในประเทศสหรัฐและออสเตรเลียที่ securitization สามารถเป็นกลไกในการกระจายความเสี่ยงในระบบการเงินที่มีประสิทธิภาพในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ใช่แค่กระจายความเสี่ยงไปยังภาครัฐและผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ไปยังนักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนรายใหญ่ที่รับความเสี่ยงได้ เพื่อแลกกับโอกาสที่จะได้รับอัตราผลตอบแทนสูง

โครงสร้างตลาดดังกล่าวจึงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการนำ “นวัตกรรม” ดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย แม้ว่าบทบัญญัติกฎหมายที่กำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อจะเปิดช่องให้ทำได้ก็ตาม

หากประเทศไทยจะพิจารณานำ“นวัตกรรม” ของทั้งสองประเทศมาประยุกต์ใช้ เช่น การจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการโรงแรม กองทรัสต์อสังหาฯ หรือนิติบุคคลประเภทอื่น เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและหรือประชาชนที่ยังได้รับผลกระทบอย่างสูงจากโควิด-19 ต้องคำนึงถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์และกำหนดกลไกการคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายของโครงการที่ยังอยู่ใน“เงื่อนไขของการมีชีวิตรอด”

ภายใต้ข้อจำกัดของตลาด ABS/debt securities ที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ของไทย และคำนึงถึงความซ้ำซ้อนกับกลไกในปัจจุบัน ซึ่งพึ่งพาธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจเกือบทั้งหมดผ่าน บสย. รวมทั้งการสร้าง loss-sharing scheme ที่จูงใจเพียงพอให้สถาบันการเงินและกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมโครงการ แต่ไม่เป็นภาระต่อรัฐบาลเกินความจำเป็น

จากที่กล่าวไว้ข้างต้น“Necessity is the mother of innovation.” ภาครัฐจึงอาจใช้โอกาสนี้ในการพัฒนากลไกการผ่องถ่ายและกระจาย credit risk ในระบบสถาบันการเงินเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงทางการเงินผ่านกลไกตลาด เพื่อให้กลไกที่สำคัญนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยที่ภาครัฐยังช่วยรับภาระอยู่บางส่วน

ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวอาจมีความจำเป็นในการออกกฎหมายเพื่อรองรับเป็นพิเศษในช่วงโควิด-19 เพื่อลดข้อจำกัดทางกฎหมายต่าง ๆ เช่น กฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น หรือแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการกับ credit risk ทั้งหมดในภาพรวม อาทิ กฎหมายจัดตั้งของ บสย.

แต่ทั้งนี้คงไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายบริหารอย่างเดียว ฝ่ายนิติบัญญัติก็ต้องมีบทบาทที่มากกว่าให้ความเห็นต่อนโยบายของฝ่ายบริหาร แต่ร่วมศึกษาและพัฒนากลไกเพื่อหาทางออกในครั้งนี้ด้วย ก่อนที่ “ความจำเป็น” จะหายไป เพราะเราจะได้แค่ “การปรับ dose ยาเดิมเพื่อรักษาโรคที่เกิดขึ้นใหม่” หรือ Marginal improvement masqueraded as “innovation” or “Thainovation” อย่างที่เป็นมาในอดีต

และที่สำคัญที่สุด ต้องพึงตระหนักว่ากลไกทางการเงินเป็นเพียง “เครื่องช่วยหายใจ” เท่านั้น ไม่ใช่ “ยาชุบชีวิต”

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...