5 เหตุผลที่ควรผลักดัน “สังคมไร้เงินสด" - เฟื่องลดา | THINK TODAY

ตั้งแต่ปลายปี 2560 มา รัฐบาลนำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย พยายามผลักดันให้ประเทศเราก้าวเข้าสู่ “สังคมไร้เงินสด” ด้วยการร่วมมือกับธนาคารต่างๆ กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายผ่านระบบดิจิทัลมากขึ้น

วันนี้ผ่านมาเกือบปี มีบางคนเริ่มคุ้นชินกับการหยิบมือถือขึ้นมา เปิด App ธนาคาร สแกน QR Code เพื่อจ่ายเงิน แต่อีกหลายคนยังไม่ค่อยคุ้น ยังไม่ค่อยเชื่อว่าการหันมาใช้จ่ายผ่านระบบดิจิทัลนั้นมีประโยชน์

จากการมีโอกาสลงพื้นที่ไปพูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าบางคน หลายรายยังไม่ค่อยชอบใช้ ไม่แน่ใจว่าเงินเข้าจริงหรือเปล่า ยุ่งยาก กลัวโดนขโมย เฟื่องเข้าใจความรู้สึกเลยค่ะ ว่าบางทีการได้จับตัวเงินเป็นแบงค์ เป็นเหรียญมันรู้สึกอุ่นใจกว่า และเป็นเรื่องธรรมดาว่าเมื่อเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเดิมๆที่เราคุ้นชิน หลายคนจะยังไม่กล้าเปิดใจรับ 100% ขอรอดูคนส่วนมากใช้ให้มันเวิร์คไปก่อนก็แล้วกัน

เฟื่องอาจโชคดีที่เพิ่งได้มีโอกาสไปเมืองจีนมาสดๆ ร้อนๆ ก่อนธนาคารแห่งประเทศไทยจะดำเนินนโยบายนี้อย่างจริงจัง เลยได้เห็นว่า เมื่อทั้งประเทศจีนเขาสามารถพลิกประชากรทุกเพศทุกวัยให้หันมาคุ้นชินกับระบบการจ่ายเงินแบบนี้ในเวลาไม่กี่ปี แปลว่ามันต้องมีดีอะไรบางอย่าง และจากการได้ลองใช้จริงมาแล้ว เฟื่องก็พบว่าการใช้กระเป๋าสตางค์ออนไลน์ช่วยเราได้หลายด้านจริง ทั้งในมุมของผู้ซื้อ ผู้ขาย และภาพรวมของประเทศ วันนี้เลยขออนุญาตขนข้อดีมาฝากคุณผู้อ่าน เผื่อจะอินไปด้วยกันค่ะ

1. เดินตัวปลิวไม่ต้องพกกระเป๋าตังค์

ในยุคที่มือถือกลายมาเป็นอวัยวะชิ้นที่ 33 ของเรา เดี๋ยวนี้เราออกจากบ้าน ลงจากรถ ขาดมือถือไม่ได้ แต่หลายครั้งเราอาจลืมกระเป๋าสตางค์ได้ หลายแบงค์เริ่มมีฟีเจอร์กดเงินไม่ใช้บัตรออกมา และกระแสตอบรับก็ดีมาก เพราะคนลืมบ่อยจริงๆ (เฟื่องเองก็ใช้บริการอยู่บ่อยครั้ง) จะดีกว่าไหม ถ้าเราสามารถใช้จ่ายโดยไม่ต้องไปกดเงินที่ตู้เลยด้วยซ้ำ แค่มีมือถือก็เปิด App สแกน QR Code ของร้านค้า

และสามารถจ่ายเงิน ถือของตัวปลิวออกมาได้เลย เมืองจีน ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอันดับเขาทำแบบนี้แล้วจริงๆค่ะ

2. ใช้จ่ายอะไร เท่าไหร่ จำได้หมด

ขาช็อปทั้งหลาย ที่บางทีมือเติบกดเงินสดมาแล้วชอบซื้อเพลิน (เฟื่องเองค่ะคนนึง) กดเงินมากะพอใช้ทั้งสัปดาห์ แต่เผลอแป๊บๆ หมดเกลี้ยง จำไม่ได้และไม่ทันจดว่าใช้เงินไปกับอะไรบ้าง ปัญหานี้จะหมดไป หากเราหันมาใช้กระเป๋าเงินออนไลน์ค่ะ ทุกๆ ธุรกรรมจะถูกบันทึกไว้ว่าใช้จ่ายไปเท่าไร เวลาไหน และโอนไปให้ใคร แถมยังเห็นยอดเงินคงเหลือของเราได้ทันทีก่อนจ่ายเงินอีกด้วย แต่แน่นอนค่ะ จ่ายง่าย จ่ายคล่องแบบนี้ ก็มีโอกาสยอดเงินในบัญชีลดฮวบฮาบได้เร็วเช่นเดียวกัน อันนี้คงต้องอาศัยขันติส่วนบุคคล ในการหักห้ามใจนะคะ (ฮา)

3. ซื้อง่ายขายคล่อง หมดปัญหาเรื่องเงินทอน / เงินหาย

อันนี้มีประโยชน์ในมุมคนทำมาค้าขาย วุ่นๆ ขายของ ลูกค้าจ่ายแบงค์พัน ไม่มีเงินทอน ต้องวิ่งไปแตกแบงค์ เสียโอกาสการขายไปหลายครั้ง หรือบางทีลูกค้าเยอะๆ อาจเบลอทอนผิดบ้าง ต้องคอยตรวจสอบเงินสดกับลูกจ้างบ้าง ว่ามีแอบไปตกหล่นตรงไหนหรือเปล่านะ

ถ้าเราหันมารับจ่ายเงินด้วย QR Code ลูกค้าสามารถใส่จำนวนเงินแบบพอดีให้เราได้เลย จะ 299, 399 หรือใส่หลัก .50 บาท ก็ได้ทั้งสิ้น รับทรัพย์เข้ากระเป๋าได้แบบชิลๆ

4. เห็นยอดขายได้แบบ Real Time

ผู้ประกอบการที่มีหน้าร้านให้ลูกจ้างปฏิบัติการแทน แทนที่จะต้องรอสรุปยอดรายวัน เราสามารถตรวจสอบยอดเงินเข้าในบัญชีเราได้แบบ Real-time และไม่ต้องกลัวเงินหล่นหายไปที่ไหนอีกด้วย เพราะร้านค้าสามารถตั้ง QR Code ประจำร้านให้ลูกค้าจ่ายได้ เฟื่องเคยไปแถบสวนผึ้ง ทั้งอาณาจักรประกอบธุรกิจหลายอย่าง ทั้งร้านกาแฟ ขายของ ฯลฯ มี QR Code ตั้งเป็นชื่อเดียวกันทั้งสิ้น จ่ายง่าย รับทรัพย์ง่าย เห็นยอดชัดๆ กันไปเลย

5. ประหยัดต้นทุนการจัดการเงินสด

นี่เป็นประโยชน์ระดับมหภาค จริงๆ ที่เราใช้เงินสดกันอยู่ทุกวันนี้มีต้นทุนแฝงที่เราอาจนึกไม่ถึง ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ ทั้งการผลิตแบงค์ ขนเงินไปกระจายตามตู้ ATM ค่าบำรุงรักษาตู้ ATM ฯลฯ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยเคยมีการคาดคะเนว่า ค่าใช้จ่ายในการจัดการเงินสดนั้นสูงถึง 4%-9% ของทุกๆ มูลค่าการซื้อขายเลยทีเดียว

ถือเป็นภาพที่น่าจับตามอง เพราะเชื่อว่าหากเราเริ่มคุ้นชินและหันมาใช้ e-payment กันมากขึ้น ชีวิตเราจะสะดวกสบายขึ้น ร้านค้าขายดีขึ้น เศรษฐกิจประเทศจะเติบโตเร็วขึ้น ยิ่งด้วยระบบเมืองไทย เจ๋งกว่าเมืองจีนตรงที่ว่า เรามี QR Code มาตรฐานกลาง เพราะผู้ผลักดันคือธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ใช่เอกชน ต่างจากจีนที่มีเจ้าใหญ่สองเจ้า คือ Alipay และ WeChat Pay ทำให้เวลาเราจ่ายเงิน ไม่ต้องแยกบัญชีกันให้วุ่นวาย ทั้งธนาคาร และผู้เล่นที่ไม่ใช่ธนาคาร (non-bank) เช่น Rabbit LINE Pay, True Money Wallet เราสามารถใช้แอปอะไรก็ได้สแกน QR Code เพื่อจ่ายเงินได้เลย