โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เมื่อแบรนด์เนมไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย แต่กลายเป็นสินค้าเพื่อการลงทุน

LINE TODAY ORIGINAL

เผยแพร่ 17 ก.ค. 2565 เวลา 06.48 น.

หนึ่งในสินค้าที่ราคาพุ่งแรงยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้ อย่างหนึ่งก็คือ “ของแบรนด์เนม” ที่ไม่ว่าเศรษฐกิจโลกจะไม่ดี หรือแม้แต่โรคระบาดจะกระทบอุตสาหกรรมอื่น ๆ แค่ไหน แต่สำหรับอุตสาหกรรมของแบรนด์เนมแล้ว แทบไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากความผันผวนเหล่านี้เลย

สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ มูลค่าของสินค้าเหล่านี้ขึ้นอยู่กับแบรนด์และความพอใจของผู้ซื้อเป็นหลัก ส่วนเรื่องคุณภาพ ความสวยงาม และดีไซน์ถือว่าเป็นเรื่องรอง ทำให้สินค้าแบรนด์เนมกลายเป็นสินค้าที่น่าลงทุน เพราะเล่นกับความพอใจและความต้องการซื้อในตลาด โดยเฉพาะบางแบรนด์ บางรุ่น แม้จะเป็นมือสอง มือสามก็มีราคาที่สามารถทำกำไรได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ลงทุนในของแบรนด์เนม ลงทุนอย่างไร

สำหรับมือใหม่การลงสนามของแบรนด์เนมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะความชอบอย่างเดียวไม่สามารถทำกำไรได้ ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจในตลาดของแบรนด์เนม ที่สำคัญต้องดูเป็นว่าของแบรนด์เนมนั้น แท้หรือปลอม นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึง 5 ปัจจัยหลัก ๆ ต่อไปนี้ด้วย

1. แบรนด์อะไร

สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงสำหรับการลงทุนของแบรนด์เนมก็คือ แบรนด์ เพราะแบรนด์เป็นตัวกำหนดราคาและผลตอบแทนที่จะได้รับในอนาคต

ข้อสังเกตที่ดีอย่างหนึ่งก็คือแบรนด์เหล่านี้จะไม่เคยทำโปรโมชั่นลดราคา เช่น Hermes, Chanel, Louis Vuitton เป็นต้น ที่สำคัญนอกจากจะไม่ลดราคาแล้ว ก็ยังตั้งหน้าตั้งตาปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นโดยไม่แคร์สภาพเศรษฐกิจอีกด้วย อย่างแบรนด์ยอดฮิตอย่าง Chanel เมื่อปีที่แล้วที่ทุกประเทศทั่วโลกได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่ Chanel ก็ปรับราคากระเป๋าเพิ่มขึ้นถึง 3 ครั้ง ส่งผลให้กระเป๋าบางรุ่นราคาเพิ่มขึ้นถึง 30% และบางรุ่นก็ Sold out ตั้งแต่ยังไม่ได้ออกขาย

ดังนั้นการจะลงทุนในสินค้าแบรนด์เนมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเลือกแบรนด์ที่เหมาะกับการลงทุน เพราะไม่ใช่แบรนด์เนมทุกแบรนด์จะสามารถลงทุนได้ ต้องเป็นแบรนด์ยอดนิยมและเป็นที่ต้องการของตลาดเท่านั้นจึงจะให้ผลตอบแทนที่ดี

2. รุ่นอะไร

สิ่งที่สำคัญกว่าการเลือกแบรนด์ก็คือรุ่นของสินค้านั้น ๆ ยิ่งถ้าเป็นกระเป๋า รุ่นของกระเป๋าถือว่าสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง เพราะกระเป๋าแต่ละรุ่นไม่ใช่แค่กำหนดราคาและผลตอบแทนเท่านั้น แต่ความนิยมและความพึงพอใจในกระเป๋ารุ่นนั้น ๆ เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่กำหนดได้ว่ากำไรจะมากหรือน้อย

เช่น แบรนด์ดังอย่าง Hermes ที่ไม่ใช่แค่มีเงินก็จะเดินเข้าไปซื้อกระเป๋ารุ่น Kelly, Birkin ที่ราคาหลักแสนไปจนถึงหลักล้านได้ ทำให้ Hermes รุ่น Kelly, Birkin กลายเป็นกระเป๋าขึ้นหิ้งที่ถ้าได้มาครอบครองเมื่อไหร่ ก็เตรียมทำกำไรไว้ได้เลย เรียกว่าแม้จะเป็นมือสอง หรือมือสามก็ยังมีสิทธิ์ได้รับผลตอบแทนที่มากกว่าเดิม

3. ไม่ Classic ก็ต้อง Limited ไปเลย

อย่างที่รู้กันว่าความต้องการของตลาดเป็นตัวกำหนดผลตอบแทนการลงทุนในสำหรับสินค้าแบรนด์เนม ดังนั้นไม่ใช่แค่สินค้ารุ่นยอดฮิตเท่านั้นที่จะทำกำไรได้ เพราะสำหรับของแบรนด์เนมแล้ว เอกลักษณ์ความเป็นแบรนด์ และความหายากก็มีราคาที่สูงขึ้นตลอดเวลา และทำกำไรได้เช่นกัน

แบรนด์เนมแทบทุกแบรนด์จะมีสินค้าบางประเภทที่ผลิตแล้วผลิตอีก ไม่ว่าผ่านไปกี่ปีก็ยังผลิตออกมาเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่เพราะเป็นสินค้ายอดฮิตที่สามารถครองใจผู้คนได้ในทุกยุคสมัย และไม่ตกยุคเท่านั้น แต่เพราะเป็นสินค้าที่บ่งบอกถึงความเป็นแบรนด์นั้น ๆ ด้วย เช่น CHANEL CLASSIC, CHANEL BOY ที่นอกจากจะปรับราคาขึ้นทุกปีแล้ว ยังผลิตออกมาและครองใจผู้คนได้ทุกปีด้วย

อีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับลงทุนกับกระเป๋าแบรนด์เนม ที่รับประกันได้ว่าราคาจะไม่มีตก แถมได้กำไรสูงขึ้นเรื่อย ๆ นั่นก็คือการเลือกซื้อกระเป๋ารุ่น Limited Edition ซึ่งเหมาะกับผู้ที่มีเงินก้อนใหญ่ เพราะกระเป๋าแบรนด์เนมรุ่นนี้ มักจะมาพร้อมกับราคาที่ค่อนข้างสูง แต่ผลตอบแทนในอนาคตก็สูงตามไปด้วยเช่นกัน

4. การเก็บรักษา

แม้ของแบรนด์เนมมือสอง มือสามจะสามารถลงทุนได้ แต่อย่าลืมว่ามูลค่าของสินค้าก็ขึ้นอยู่กับสภาพสินค้านั้น ๆ ด้วย ต่อให้เป็นแบรนด์ยอดฮิต รุ่นยอดฮิต หรือหายากแค่ไหน แต่สภาพเยิน ขาด สกปรก ไม่ได้รับการดูแล จากหลักแสนก็กลายเป็นของที่ไม่มีมูลค่าใด ๆ ได้เหมือนกัน

บางคนเข้าใจผิดว่าการซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมมาใช้ในชีวิตประจำวันเท่ากับการลงทุน ทั้งที่ความจริงแล้วจะต้องมีการเก็บรักษาที่ดีมาก และสึกหรอน้อยที่สุดจึงจะมีราคาที่ดี เพราะร่องรอย บาดแผลต่าง ๆ ก็คือกำไรที่สูญเสียไป

5. แหล่งซื้อ-ขาย

ผลตอบแทนของการลงทุนสินค้าแบรนด์เนมมาจากส่วนต่างของการซื้อ-ขาย ดังนั้นแหล่งซื้อ-ขายจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงถึงด้วย คือต้องรู้ว่าจะหาซื้อกระเป๋าเหล่านั้นได้ที่ไหนจึงจะได้ของแท้และราคาดี ซื้อเมื่อไรจึงจะคุ้มกับเงินที่เสียไป และซื้อตอนไหนจึงจะเหมาะสมกับเป้าหมาย

ส่วนการขายของแบรนด์เนม แต่ละร้าน แต่ละพื้นที่ แต่ละประเทศจะมีความนิยมที่แตกต่างกัน เช่น Hermes รุ่น Kelly, Birkin ในไทย ถ้าเป็นไซซ์ 25” ก็จะทำกำไรได้ดีกว่าไซซ์อื่น ๆ ขณะที่ในอเมริกาถ้าเป็นไซซ์ 35” ก็จะเป็นที่ต้องการและเมื่อลงทุนซื้อแล้วก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญสำหรับการลงทุนในสินค้าแบรนด์เนมควรเริ่มมาจากความชอบและสภาพคล่องก่อนเป็นอันดับแรก อย่าลืมว่าการลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง ไม่เว้นแม้กระทั่งสินค้าแบรนด์เนมที่ฮิตและเป็นที่ต้องการของตลาดก็มีโอกาสที่จะซื้อมาแล้วขายไม่ได้หรือขาดทุนได้เช่นกัน อย่างน้อยถ้าชื่นชอบในของประเภทนี้อยู่แล้ว การได้ใช้ความชอบเพื่อทำกำไรก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง

อ้างอิง

- Plean เพลิน by Krungsri Guru

- ธนาคารไทยพาณิชย์

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0