โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สังคม

แม่ไม่ยอมแน่ ลูกอายุ 1 ขวบ ล้มหัวฟาดพื้น โรงพยาบาลให้ยาลูกผิด อาการโคม่า

สยามนิวส์

เผยแพร่ 08 ธ.ค. 2566 เวลา 07.25 น. • ทีมข่าวสยามนิวส์
จากกรณีที่ เพจมูลนิธิเป็นหนึ่ง ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า ได้รับการร้องทุกข์ขอให้เข้าช่วยเหลือกรณีที่เด็กชายวัย 1 ขวบ 4 เดือน ประสบอุบัติเหตุลื่นล้มหัวฟาดพื้นจนได้รับบาดเจ็บ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ ก่อนที่ทางพยาบาลจะมีการให้ยาผิด จนทำให้เด็กชาย มีแผลพุพองตามร่างกายและต้องเข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉิน ซึ่งได้มีการเคลื่อนย้ายเด็กชายรายนี้ มารักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ในเวลาต่อมา

จากกรณีที่ เพจมูลนิธิเป็นหนึ่ง ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า ได้รับการร้องทุกข์ขอให้เข้าช่วยเหลือกรณีที่เด็กชายวัย 1 ขวบ 4 เดือน ประสบอุบัติเหตุลื่นล้มหัวฟาดพื้นจนได้รับบาดเจ็บ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ ก่อนที่ทางพยาบาลจะมีการให้ยาผิด จนทำให้เด็กชาย มีแผลพุพองตามร่างกายและต้องเข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉิน ซึ่งได้มีการเคลื่อนย้ายเด็กชายรายนี้ มารักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ในเวลาต่อมา

โดย นางสาวสุพัตรา มารดาของเด็กชายคนดังกล่าว ได้มีการให้ข้อมูลสื่อว่า ลูกชายประสบอุบัติเหตุล้ม ได้รับบาดเจ็บตามร่างกายและศีรษะ ในตอนแรกน้องไม่ได้หมดสติและยังคงร้องด้วยความเจ็บปวด ตนเองจึงพาลูกชายเข้าไปรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ ช่วงเวลาประมาณ 17.00 น. ของวานนี้ โดยเมื่อไปถึงได้มีแพทย์พยาบาลเข้ามาดูแล และมีการเขียนใบสั่งยานอนหลับให้ทางญาติของตนเองไปรับที่ห้องยาเบอร์ 5

โดยทีมแพทย์แจ้งว่ายาดังกล่าวเป็นยานอนหลับ เพื่อจะใช้ให้กับลูกชายตนเองตอนที่จะถึงโรงพยาบาลปลายทาง ซึ่งทางโรงพยาบาล ได้ประสานเพื่อส่งต่อให้ไปทำการเอกซเรย์ร่างกายของลูกชาย และให้เหตุผลว่าเพื่อให้ลูกชายผ่อนคลายและจะหลับได้ง่าย ต่อการตรวจและรักษา

เมื่อเดินทางจนถึงโรงพยาบาลที่ 2 เวลาประมาณ 18.00 น. ตนเองก็ได้ให้ยากับลูก ซึ่งยาที่ได้มาเป็นลักษณะสลิงความจุกระบอกละ 5 ซีซี รวมกัน 10 ซีซี โดยเมื่อให้ยาลูกในตอนแรก ได้ประมาณ 2 ซีซี ลูกชายก็เริ่มมีอาการชักและสำลัก จนทำให้ตัวยากระเด็นมาถูกแขนของตนเอง และตนเองรู้สึกแสบร้อนคล้ายถูกกรด แต่เจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาลที่ขึ้นรถมาด้วยได้บอกว่า ให้ตนเองพยายามให้ยาให้ครบทั้งสองสลิง ซึ่งสลิงที่สองเป็นสลิงที่บรรจุน้ำเปล่า เพื่อใช้ในการล้างคอ

แต่เมื่อตนเองฉีดสลิงที่สองเข้าสู่ปากลูก ก็เริ่มมีอาการทุรนทุรายหนักกว่าเดิม และเริ่มมีอาการผิดปกติ จึงได้เคลื่อนย้ายลูกชายตนเองเข้าไปในโรงพยาบาลที่ 2 และเริ่มรักษาจนนำไปสู่การใส่เครื่องช่วยหายใจ เพราะลูกชายเริ่มมีอาการคล้ายหายใจไม่ออก จนต้องดูแลตลอดทั้งคืน กระทั่ง ช่วงเช้ามืดจึงได้มีการประสานส่งต่อมารักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี

จากนั้น เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา คณะแพทย์อยู่ระหว่างการเตรียมพาลูกชายเข้าห้องผ่าตัด เพื่อทำการส่องกล้องตรวจสอบอาการบาดเจ็บก่อน จึงจะมีการวางแผนในการรักษาต่อได้ ตนเองยังได้รับการติดต่อจากทางโรงพยาบาลที่รักษาครั้งแรก โดยมีการยอมรับสารภาพกับตนเองว่า ยาที่ให้กับทางญาติของตนเองมาให้กับลูกชาย เป็นยาที่ใช้ภายนอก เป็นยาที่ใช้รักษากัดเนื้องอกผิวหนัง (กรดไตรคลอโรอะซิติก) ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด ไม่สามารถใช้เป็นยารักษาภายในได้

เนื่องจากทางแพทย์ที่เป็นผู้รักษาลูกชายตนเอง มีการสั่งยานอนหลับ แต่เภสัชกรที่ทำหน้าที่เบิกจ่ายยาเกิดความเข้าใจผิด หยิบยาผิดขวด เพราะมีลักษณะขวดที่คล้ายคลึงกันมาให้ โดยสลิงบรรจุยาถูกบรรจุมาในซองซิปใส ไม่มีแผ่นป้ายชื่อลูกหรือชื่อแพทย์ที่เป็นเจ้าของไข้แต่อย่างใด และทางโรงพยาบาลยังมีการแบ่งรับแบ่งสู้ อ้างว่ายังต้องตรวจสอบในรายละเอียดเพิ่มเติม และยังไม่ได้มีการตกลงหรือพูดถึงในประเด็นการเยียวยาใด ๆ

ตนเองจึงได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรพระประแดง หากทางโรงพยาบาลจะติดต่อมาเจรจาเยียวยาไกล่เกลี่ยเพื่อให้ยุติ ตนเองก็จะไม่ยอมอย่างเด็ดขาด พร้อมกับฝากไปถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า หากเป็นคนในครอบครัวจะรู้สึกอย่างไร เพราะตนเองขณะนี้เหมือนคนล้มทั้งยืน ยังไม่สามารถทำใจได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกชาย เพราะลูกชายมีอายุเพียง 1 ปี 4 เดือน ยังไม่รู้ว่าภายในจะได้รับบาดเจ็บเสียหายมากน้อยแค่ไหน

เรียบเรียง siamnews

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...