โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

อาหาร

'สิงหคชะ' ราวบันไดหอธัมม์หลวง วัดพระธาตุหริภุญชัย ถอดพิมพ์ศิลปะลังกา หลักฐานนิกายป่าแดง

มติชนสุดสัปดาห์

อัพเดต 09 พ.ย. 2566 เวลา 03.34 น. • เผยแพร่ 12 พ.ย. 2566 เวลา 01.00 น.

หอธัมม์ดูคล้ายของใหม่แท้จริงซ่อมบูรณะตลอด

มีผู้ไถ่ถามดิฉันกันมากว่า “หอธัมม์หลวง” หรือ “หอพระไตรปิฎก” ในวัดพระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูนนั้น มีความเก่าแก่ถึงยุคล้านนาจริงหรือ ตามที่ระบุว่ามีศิลาจารึกแท่งหนึ่งเลขทะเบียน ลพ.15 ชื่อ “จารึกหริปุญชปุรี” รองรับเนื้อหา แต่ทำไมดูใหม่จัง?

ยุคที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะแทบทุกหลังในวัดพระธาตุหริภุญชัยระหว่างปี พ.ศ.2463-2479 นั้น หอธัมม์หลวงมีการเปลี่ยนรูปแบบไปมากน้อยเพียงใดกันเล่า ยิ่งสิ่งก่อสร้างที่ใช้วัสดุหลักเป็นไม้ องค์ประกอบของช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ อันบอบบาง จักสามารถยืนยงได้นานถึง 5-600 ปีไหวไหม

ครั้นเมื่อดิฉันทำการพินิจพิเคราะห์ทั้งโครงสร้างหลักและองค์ประกอบย่อยของหอธัมม์หลังนี้อย่างละเอียด ก็พบคำตอบว่ายังหลงเหลือความเก่าถึงยุคล้านนาอยู่จริงหลายจุด อาทิ

ส่วนแรกสุด โครงสร้างอาคารแบบ “สิขระ” คือทำอาคารซ้อนสูงสองชั้นบนผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า วางบนฐานสูงเช่นนี้ เป็นรูปแบบล้านนาดั้งเดิมที่เหลืออยู่ไม่กี่แห่งแล้ว (อีกแห่งคือที่วัดพระสิงห์เชียงใหม่) ต่างไปจากผังหอธัมม์มาตรฐานยุคหลังอายุ 200 ปีฝีมือช่างชาวยอง ที่นิยมเปิดใต้ถุนชั้นล่าง ตอนบนทำระเบียงเดินรอบ

ประการที่สอง การทำซุ้มหน้าต่างของอาคารชั้นล่างหยักเป็นวงโค้งถี่ๆ ด้านละหลายวง ชัดเจนว่าคลี่คลายมาจากซุ้มจระนำสุวัณณเจดีย์ (เจดีย์ปทุมวดี) ศิลปกรรมสมัยหริภุญไชย ซึ่งตั้งอยู่ภายในวัดเดียวกัน

ประการที่สาม ทรวดทรงองค์เอวของอาคารดูอ่อนช้อย หลังคาลดชั้นวิจิตรประณีต แตกต่างไปจากเสนาสนะในชั้นหลังสมัยฟื้นฟูล้านนาที่นิยมทำทรงโรงแบบทื่อๆ ไม่ยักย้ายถ่ายเทย่อมุมย่อเก็จอะไรมากนัก

ประการที่สี่ การใช้ “บราลี” ยอดแหลมปักเรียงรายบนสันหลังคาสองข้าง “ปราสาทเฟื้อง” ก็สะท้อนถึงความเชื่อมต่อของการรับอิทธิพลขอมที่ตกค้างในวัฒนธรรมหริภุญไชยบนแผ่นดินล้านนา

ประการที่ห้า การทำรูป “หน้ากาล” (มีหลายชื่อ บ้างเรียกราหู บ้างเรียกเกียรติมุข) ผู้พิทักษ์ศาสนสถานเหนือกรอบซุ้มประตูทางเข้าห้องเก็บคัมภีร์ และสัตว์หิมพานต์ในช่องกระจก (ช่องลูกฟัก) ประดับรอบตัวอาคาร แม้วัสดุจะเปลี่ยนใหม่ แต่เค้าโครงการวางจังหวะของสัตว์ในจินตนาการเหล่านี้ มีลีลาท่าทางที่ดูเก่ากว่าลวดลายที่พบในกลุ่มหอธัมม์ชาวยองยุค 200 ปี มากทีเดียว

ข้อสำคัญ สิ่งสะดุดตาดิฉันมากที่สุดเห็นจะไม่มีอะไรเกิน “ราวบันไดมกรคายนาค” ทั้งด้านหน้า (ทิศตะวันตก เพราะหอธัมม์หันหน้าไปสักการะองค์พระธาตุ) และด้านหลัง (ทิศตะวันออก) ของหอธัมม์สีแดงชาด ด้วยเป็น “มกรคายนาค” รุ่นเก่าแบบล้านนา หาใช่นาครุ่นหลังที่หนักไปทางอิทธิพลจีนแบบที่เรียกว่าตัว “ปัญจรูป”

เหนือสิ่งอื่นใด ข้างตัวมกรนั้นเล่า ยังมีรูป “สิงห์” ปูนปั้นนูนสูงข้างละ 1 ตัว (มีเฉพาะพนักบันไดคู่หน้า ทิศตะวันตก) ดูอย่างไรก็ชวนให้นึกถึงแต่ “สิงห์” ของศิลปะลังกา ด้วยแตกต่างไปจากสิงห์มอมแบบจีน

บทความชิ้นนี้ จะชี้ให้เห็นถึงคติการทำรูปสิงห์ที่พนักบันไดมกรคายนาคสู่ทางขึ้นศาสนสถาน ว่าหอธัมม์หลวงของวัดพระธาตุหริภุญชัยแห่งนี้ รับรูปแบบมาจากศิลปะในประเทศลังกาอย่างชัดเจน อันช่วยตอกย้ำถึงอิทธิพลของนิกายป่าแดงในพระอารามหลวงอย่างเด่นชัดยิ่งขึ้น

ลังกา : มกรคายลิ้นตัวเองม้วนเป็นราวบันได

ขอม : มกรคายนาค ส่งอิทธิพลทั่วอุษาคเนย์

ก่อนที่จะโฟกัสถึงตัว “สิงห์” นูนสูงที่ทำท่าคล้ายว่ากำลัง “สะกิด” ตัว “มกรคายนาค” นั้น ขออธิบายถึงความแตกต่างหรือพัฒนาการของ “มกร” ในศิลปกรรมสกุลช่างต่างๆ พอเป็นสังเขปดังนี้

ในอินเดียสร้าง “มกร” ขึ้นครั้งแรกใช้ประดับงานศิลปกรรม กำหนดให้เป็นสัตว์ผสมระหว่างจระเข้เหรา + ช้าง +ปลา คือเป็นเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวง ทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ เป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์

พอเข้ามาสู่ลังกา พบว่านิยมทำ “มกร” แลบลิ้นของตัวเองม้วนเป็นวงกลม โดยราวบันไดไม่ใช่เกล็ดตัวมกรแต่อย่างใด ทว่า เป็นลิ้นที่มกรม้วนไว้ ในดินแดนล้านนาพบมกรลักษณะเช่นนี้เพียงแห่งเดียวเท่านั้นคือ ที่โบราณสถานอีก้าง เวียงกุมกาม อ.สารภี จ.เชียงใหม่

ในวัฒนธรรมชวา-ศรีวิชัยนิยมทำ “มกรคายพวงอุบะ” ส่วนการทำ “มกรคายนาค” แบบเป็นกิจจะลักษณะก็คือ “วัฒนธรรมขอม/เขมร” พบตามปลายกรอบหน้าบันและทับหลัง ลักษณะเช่นนี้ส่งอิทธิพลเข้ามายังดินแดนในประเทศไทย กลุ่มที่เรียกกันว่าศิลปะลพบุรี สืบทอดขึ้นมายังหริภุญไชยตอนปลาย สุโขทัย ล้านนา

ดังนั้น เห็นได้ว่า การทำราวบันไดนาคทางขึ้นสู่หอธัมม์หลวงของวัดพระธาตุหริภุญชัย ใช้รูปแบบ “มกรคายนาค” (อิทธิพลขอมที่ส่งขึ้นมาให้นครหริภุญไชย ตกค้างมาสู่ล้านนา) อันนี้เป็นเรื่องของ “บันไดนาค”

“สิงห์+คชะ” สัตว์ในจินตนาการเฝ้าปีกราวบันได

ส่วนเรื่องของสิงห์ที่มีขนหัวฟูตาพอง มีแผงคอ อ้าปากคำราม ตัวที่อยู่ด้านทิศเหนือทำท่าคล้ายสะกิดสะเกาตัวมกรคายนาคอยู่นั้น ดิฉันยังไม่เคยพบที่วัดอื่นใดอีกเลยในวัฒนธรรมล้านนา อันเป็นรูปแบบที่รับคติสืบทอดมาจากศิลปะลังกายุคโปลนนารุวะ (เป็นราชวงศ์ที่ตอนปลายๆ ร่วมสมัยกับอาณาจักรล้านนา)

ทางขึ้นสู่ศาสนสถานในลังกายุคนั้นนิยมทำ “ชุดหรือกลุ่มของสัญลักษณ์” ก่อนที่จะเปิดทางให้สาธุชนขึ้นไปเดินประทักษิณรอบองค์พระเจดีย์ด้านบน ท่านต้องผ่าน “แผ่นหิน-Stone” 3 กลุ่มดังนี้

1. แผ่นอัฒจันทร์ Moon Stone เป็นแผ่นหินครึ่งวงกลม สลักรูปดอกบัวบาน (สัญลักษณ์ปางประสูติ) กับแถวรูปสัตว์ทั้งสี่ ช้าง ม้า วัว สิงโต เดินวนกันไป บางครั้งอาจมีตัวหงส์แถวนอกด้วย อัฒจันทร์ถือเป็นปริศนาธรรมจุดแรกที่เราต้องถอดรหัส การเอาสัตว์ดุร้ายทั้งสี่มารวมอยู่ด้วยกันได้เป็นแนวคิดที่รับมาจากหัวเสาพระเจ้าอโศกมหาราช บางท่านว่าหมายถึงความไม่พยาบาทต่อกัน บ้างว่าเอาสัตว์พาหนะของเทพฮินดูมาหลอมรวม

2. แผ่นหินแนวตั้งสองข้างอัฒจันทร์ ทำหน้าที่เป็น Guardstones สลักเป็นรูป “มนุษยนาค” กายเป็นคนมีนาคแผ่นพังพานเหนือเศียร ยืนถือหม้อ “ปูรณฆฏะ” หรือหม้อน้ำแห่งความอุดมสมบูรณ์

3. ราวบันได รูปมกรคายลิ้นตัวเองและมีสิงห์อยู่หนึ่งตัว ตั้งท่าหยั่งเชิงระแวดระวังซึ่งกันและกันกับตัวมกรที่ทอดยาว สัตว์ในจินตนาการกลุ่มนี้ ภาษาสิงหลเรียกว่า Korawakgala “โกราวัคกาละ” มีความหมายว่า “Wingstones” คือปีกหรือพนักสองข้างของราวบันได อันเป็นด่านสุดท้าย ท่านก็สามารถเข้าถึง “โตรณะ” หรือซุ้มประตูสู่ลานประทักษิณ

การจัดวางรูป “สิงห์” กับ “มกร” (ความที่มกรเป็นสัตว์ผสมระหว่างช้างกับจระเข้ ทำให้มกรมีอีกชื่อหนึ่งว่า “คชะ/Gaja”) นักโบราณคดีลังกาเรียกการนำสัตว์ของตัวนี้มาไว้ด้วยกันว่า “สิงห์คชา/สิงหคชะ” หรืออาจจะเรียกสลับเป็น คชสิงห์/ คชสีห์ ก็ย่อมได้

สิงห์เป็นตัวแทนของความแข็งแกร่ง อำนาจ และความกล้าหาญ อีกทั้งราชวงศ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังสืบสาย “ศากยวงศ์” ซึ่งมีสิงโตเป็นตราประจำตระกูล ในบริบทนี้ สิงห์เป็นสัญลักษณ์ของการสถิตอยู่และการปกป้องศาสนสถาน

ในขณะที่ช้าง (มกร/คชะ) เป็นสัญลักษณ์ของภูมิปัญญา ความเจริญรุ่งเรือง อันเกี่ยวข้องกับพระพิฆเนศ เทพฮินดูที่มีเศียรช้างซึ่งได้รับการบูชาในฐานะผู้ขจัดอุปสรรค การนำ “สิงห์” กับ “ช้าง” มาวางคู่กันแบบหยั่งเชิง บ่งบอกถึงการผนึกกำลังกันระหว่างความแข็งแกร่ง สง่างาม กับภูมิปัญญา ความเฉลียวฉลาด ทั้งหมดนี้กลายเป็นพลังอันศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้ผ่านทางย่อมได้รับพร

อาจกล่าวได้ว่า ลักษณะการทำรูปสิงห์นูนสูงติดผนังพนักราวบันไดเคียงข้างตัว “มกร” (ซึ่งจะคายอะไรก็แล้วแต่) บนแผ่นดินล้านนาแทบไม่พบที่อื่นอีกเลย ในอดีตอาจจะเคยมีอยู่บ้าง แต่ปัจจุบันถูกรื้อหรือเปลี่ยนรูปแบบไปแล้ว จึงเหลือที่นี่เพียงแห่งเดียว

สิงห์ กับ คชะ ในชั้นหลัง เราจะพบในลักษณะ “แยกส่วนออกจากกัน” ไม่ได้เอามาวางรวมในลักษณะกลุ่มของ Wingstones หรือโกราวัคกาละอีกต่อไป เช่นที่วัดพระธาตุลำปางหลวง มีบันไดนาค (มกรคายนาค) 1 คู่ และจัดทำสิงห์ยืนแท่นแยกออกมาด้านหน้าอีก 1 คู่ ต่างหาก

ดังนั้น การพบรูป “สิงหคชะ” ที่ปีกราวบันไดนาคชิ้นนี้ จึงถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ที่แม้กาลเวลาจักผันผ่านไปนานเพียงไรก็ตาม หอธัมม์จักได้รับการบูรณะนับครั้งไม่ถ้วนก็ตามที ทว่า สัญลักษณ์แห่ง “สิงหคชะ” ที่ประพิมพ์ประพายกับศิลปะลังกายุครุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนา จนพระภิกษุล้านนานิกายป่าแดงดั้นด้นไปสืบสายมาสู่แผ่นดินล้านนา และคงได้ซึมซับรูปแบบพุทธศิลป์หลายสิ่งติดตัวกลับมาด้วย ยังคงประทับอยู่ ณ จุดเดิม

ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานตำนาน “พระธาตุเจ้าหริภุญชัย” ที่ระบุว่า ผู้สร้างหอพระไตรปิฎกหลังทิศใต้ (ในอดีตวัดแห่งนี้มีหอธัมม์สองหลัง อีกหลังอยู่ทางทิศเหนือขององค์พระเจดีย์) คือ “แม่ท้าวหอมุข” พระสนมเอกของพระเจ้าติโลกราช เสี้ยง (หมด) เงินไป 2,200,000 นา

ขึ้นชื่อว่าพระเจ้าติโลกราชแล้วไซร้ ยิ่งชวนให้น่าเชื่อถือได้ว่า เสนาสนะที่สร้างในสมัยของพระองค์ล้วนอยู่ภายใต้คณะสงฆ์นิกายป่าแดง นิกายที่ประกาศตนว่าได้เดินทางไปสืบศาสนาสายตรงจากทวีปลังกา มิใช่เลียบๆ เคียงๆ รับศาสนามาจากรามัญเยี่ยงนิกายสวนดอก

ทิ้งท้ายประเด็นที่ชวนให้ขบคิดกันต่อก็คือ ครั้งหนึ่งในวัดพระธาตุหริภุญชัยเคยมีหอธัมม์หลวงที่สร้างในสมัยล้านนาถึงสองหลัง หลังหนึ่งอยู่ทิศใต้ (คงหมายถึงหอธัมม์ที่มี “สิงหคชะ” หลังนี้) กับอีกหลังตำนานระบุว่าอยู่ด้านทิศเหนือ (น่าจะเคยอยู่ใกล้หอกังสดาล และถูกรื้อไปแล้ว?)

คำถามคือ จารึกหริปุญชปุรี ลพ.15 ที่กล่าวว่าพระนางโป่งน้อยและพระเมืองแก้วสองแม่ลูกร่วมกันสร้างหอธัมม์ในปี 2045 ตั้งอยู่ทางทิศเหนือนั้น ตกลงหอธัมม์หลังดังกล่าวถูกรื้อไปแล้วใช่ไหม ถ้าเช่นนั้นหอธัมม์ที่เราเห็นด้านทิศใต้ (ที่มีรูป “สิงหคชะ) ย่อมเป็นผลงานการสร้างของแม่ท้าวหอมุข หรือเช่นไร? •

ปริศนาโบราณคดี | เพ็ญสุภา สุขคตะ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...