63 ปีแห่งความภาคภูมิใจ Thai Oil บริษัทน้ำมันของคนไทย
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (Thai Oil) เป็นผู้ประกอบธุรกิจการกลั่นและจำหน่ายน้ำมันปิโตรเลียมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่มีโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และนอกจากการประกอบธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน ที่ในปัจจุบันมีกำลังการผลิต 275,000 บาร์เรลต่อวันแล้ว
ไทยออยล์ยังมีธุรกิจอื่นที่เป็นทั้งธุรกิจน้ำมัน (Oil Business) และไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน (Non-Oil Business) อาทิเช่น ธุรกิจสารทำละลายและเคมีภัณฑ์ ธุรกิจโรงไฟฟ้า ธุรกิจการผลิตเอทานอล และมีผลิตภัณฑ์ของไทยออยล์จำนวนมากในอุตสาหกรรมของไทย มีส่วนช่วยในการลดการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ทำให้ต้นทุนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมไทยมีต้นทุนที่ถูกลง ส่งเสริมศักยภาพในการแข่งขันของประเทศไทยให้สูงขึ้น
เริ่มต้นบริษัทจากไม่รู้อะไรเลย
ไทยออยล์ ก่อตั้งขึ้นในปี 2504 ซึ่งเป็นปีเดียวกับการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 ซึ่งสาระสำคัญของแผนพัฒนาฯ ฉบับนี้คือการตั้งเป้าหมายในการพัฒนาประเทศไทยไปสู่ความเป็นประเทศอุตสาหกรรม ซึ่งสิ่งสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมก็คือเรื่อง “พลังงาน”
คุณเชาว์ ขวัญยืน มีวิสัยทัศน์ที่เล็งเห็นถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องมีศักยภาพในการผลิตน้ำมันได้ด้วยตัวเอง จึงตัดสินใจก่อตั้งบริษัท ไทยออยล์ขึ้น โดยในเวลานั้น คุณเชาว์ “ไม่ได้มีความรู้” ในอุตสาหกรรมน้ำมันมาก่อนเลย
ซึ่งแน่นอนว่าในเวลานั้น ประเทศไทยแทบจะไม่มีองค์ความรู้ในอุตสาหกรรมการผลิตน้ำมันเลย แม้ว่าในปี 2476 ประเทศไทยจะเคยมีโรงกลั่นน้ำมันมาก่อนหน้านี้ แต่โรงกลั่นแห่งนั้น มีกำลังผลิตเพียง 1,000 บาร์เรลต่อวันเท่านั้น (ไทยออยล์เริ่มต้นด้วยกำลังผลิต 35,000 บาร์เรลต่อวัน) อีกทั้งโรงกลั่นแห่งนั้นถูกระเบิดเสียหายไปในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (2482 – 2488) อีกด้วย
คุณเชาว์แก้ไขปัญหาความไม่รู้ด้วยการแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจ โดยเฉพาะจากต่างประเทศ จนได้บริษัท รอยัลดัตช์ ปิโตรเลียม เชลล์ หรือ เชลล์ (Shell) ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันต่างชาติบริษัทแรกที่เข้ามาทำกิจการน้ำมันในไทย และคาล์เท็ก (Caltex) มาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญ
เงื่อนไขสัมปทานที่เป็นอุปสรรค
ความท้าทายในการก่อตั้ง คือเงื่อนไขสัมปทานของรัฐบาลในเวลานั้น เพราะมีการตั้งเงื่อนไขว่าหลังหมดระยะเวลาสัมปทาน 10 ปีไปแล้ว ทรัพย์สินทั้งหมดจะต้องถูกถ่ายโอนคืนกลับเป็นของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน โรงกลั่น อีกทั้งเอกชนไม่สามารถที่จะกำหนดราคาน้ำมันได้เอง จึงเป็นการยากที่จะหานักลงทุนเข้ามาลงทุนในกิจการน้ำมันในประเทศไทย
อย่างไรก็ดี ด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของคุณเชาว์ ทำให้ไทยออยล์ประสบความสำเร็จในการหาเงินลงทุนจากต่างประเทศ จนทำให้สามารถชนะการประมูลสัมปทานมาได้ในที่สุด และไทยออยล์ก็เริ่มก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกของไทยออยล์ โดยอาศัยเทคโนโลยีและองค์ความรู้จากเชลล์เป็นหลัก
โรงกลั่นไทยออยล์ยุดแรกเริ่ม
ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง
ทรัพยากรมนุษย์เองก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการดำเนินกิจการในช่วงแรก ซึ่งทางไทยออยล์ ส่งคนไทยไปทำงาน และเรียนรู้การดำเนินกิจการโรงกลั่นในต่างประเทศ ซึ่งในเวลาต่อมา ไทยออยล์จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมขึ้น เพื่อการพัฒนาขีดความสามารถของคนไทยในการประกอบธุรกิจน้ำมัน ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง
มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติ มาให้ความรู้ทั้งในภาคทฤษฎี กระบวนการผลิต การทดสอบคุณภาพน้ำมัน แก่คนไทยอย่างเข้มข้น จนทำให้พนักงานไทยออยล์ มีความรู้ ความสามารถในอุตสาหกรรมน้ำมันตามมาตรฐานระดับสากล
ถือเป็นวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและการบริหารงานอย่างมืออาชีพของผู้ก่อตั้ง จึงสามารถนำพาองค์กรให้อยู่รอดและเติบโตมาจนปัจจุบัน กลายเป็นโรงกลั่นเอกชนแห่งแรกของคนไทย เพื่อคนไทย ที่มีความทันสมัยและใหญ่ที่สุดในประเทศ
นอกจากนี้ ไทยออยล์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของพนักงานคนไทยมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนั่นทำให้ไทยออยล์ก่อตั้งบริษัทไทยออยล์ เอนเนอร์ยี เซอร์วิส ขึ้นในปี 2550 เพื่อดูแลการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล เป็นรากฐานด้านทรัพยากรมนุษย์ของไทยออยล์จนถึงทุกวันนี้ และต่อไปในอนาคต
เริ่มดำเนินกิจการ
ไทยออยล์ เริ่มดำเนินกิจการหน่วยกลั่นน้ำมันที่ 1 ครั้งแรกในปี 2507 มีกำลังผลิต 35,000 บาร์เรลต่อวัน และเริ่มการขายโรงกลั่น เพิ่มกำลังผลิตเป็น 65,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2510
วันที่ 28 ก.ย. 2513 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (พระปรมาภิไธยในขณะนั้น) ทรงเสด็จทอดพระเนตรการดำเนินกิจการของโรงกลั่นของไทยออยล์ ซึ่งในเวลานั้นถือเป็นโรงกลั่นโรงกลั่นที่ทันสมัยแห่งแรกของประเทศ นำมาซึ่งความภาคภูมิใจแก่พนักงานบริษัทไทยออยล์ จนถือเป็นประวัติศาสตร์ที่สำคัญของบริษัทที่ต้องจารึกเอาไว้
หลังจากนั้น ไทยออยล์ขยายกำลังผลิตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนมีโรงกลั่นน้ำมัน 4 โรง ขยายกำลังผลิตจากจุดเริ่มต้น 35,000 เป็น 90,000 บาร์เรลต่อวันในที่สุด
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเสด็จทอดพระเนตรการดำเนินกิจการของโรงกลั่นของไทยออยล์
เคยเป็นผู้เสียภาษีอันดับ 1 ของประเทศ 5 ปีซ้อน
ภายใต้เงื่อนไขสัมปทาน ไทยออยล์จะต้องคืนหน่วยกลั่นที่ 1 และ 2 คืนให้แก่รัฐ แต่ด้วยความมุ่งมั่นในการดำเนินกิจการพลังงานเพื่อคนไทยต่อ ไทยออยล์เจรจาขอซื้อหน่วยกลั่นที่ 1 และ 2 คืนจากรัฐบาล จนประสบความสำเร็จในการเจรจา และจ่ายเช็คมูลค่า 8,764,245,647.86 บาทให้แก่รัฐ ซึ่งถือได้ว่าเป็นเช็คที่มีมูลค่าสูงที่สุดในเวลานั้น
ในทันทีที่ประสบความสำเร็จในการเจรจา ไทยออยล์ต่อสัญญาเช่าที่จากกรมธนารักษ์ไปอีก 30 ปี จนถึงปี 2565 เพื่อการดำเนินธุรกิจพลังงานเพื่อคนไทยอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ในช่วงปี 2535 – 2540 ไทยออยล์มีเป้าหมายในการขยายกำลังการผลิต และต่อยอดสู่ธุรกิจอื่น โดยร่วมลงทุนในโครงการผลิตคาร์บอนแบล็ค ธุรกิจขนส่งปิโตรเลียม น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน ปิโตรเคมีและไฟฟ้า ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจหลัก และนั่นทำให้ในช่วงปี 2535 – 2540 ไทยออยล์เป็นบริษัทผู้เสียภาษีอันดับหนึ่งของประเทศอีกด้วย
ซื้อคืนหน่วยกลั่นที่ 1 และ 2 ด้วยเช็คที่มีมูลค่าสูงที่สุดในสมัยนั้น
ยุควิกฤตของไทยออยล์
วิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้ไทยออยล์ต้องประกาศพักชำระหนี้ และปรับโครงสร้างหนี้
วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 หรือวิกฤตต้มยำกุ้ง รัฐบาลไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง 2 เท่า จากประมาณ 25.60 บาท เป็นประมาณ 53 บาท ซึ่งนั่นทำให้หนี้เงินกู้จากต่างประเทศ เพื่อการขยายธุรกิจของไทยออยล์พุ่งทะยานตามไปด้วยเช่นกัน
นอกจากปัญหามูลค่าหนี้ที่พุ่งสูงขึ้นแล้ว ไทยออยล์ยังประสบปัญหาค่าการกลั่นลดลงจากการมีอุปทานส่วนเกิน (Over Supply – สินค้าที่ผลิตได้ในตลาด มีมากกว่าความต้องการของผู้บริโภค) เข้ามาซ้ำเติมปัญหาการขาดสภาพคล่อง จนทำให้ไทยออยล์ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ ต้องประกาศพักชำระหนี้ และปรับโครงสร้างหนี้ ในปี 2541
ไฟไหม้คลังเก็บน้ำมันที่ชลบุรี
เหมือนเป็นเคราะห์กรรมซ้ำซัด บริษัทฯ ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเงินได้ ก็เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้คลังเก็บน้ำมันที่ชลบุรี เพลิงลุกไหม้และระเบิดถังน้ำมัน เผาทำลายถังน้ำมันไป 4 ถัง เพลิงไหม้ 2 วันเต็ม ๆ เผาทำลายน้ำมันเบนซิน 24.5 ล้านลิตร มูลค่าความเสียหายสูงกว่า 850 ล้านบาท
ความสูญเสียครั้งนี้ ถือเป็นบทเรียนสำคัญของไทยออยล์ และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไทยออยล์ ให้ความสำคัญกับระบบการจัดการความสมบูรณ์ของสินทรัพย์ (Asset Integrity Management Systems)
ที่ให้ความสำคัญกับการปฎิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ไปพร้อม ๆ กับการปกป้องสุขภาพ ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมอย่างยิ่งยวด ภายใต้กระบวนการสร้างความมั่นใจว่าบุคลากร ระบบ กระบวนการ และทรัพยากรนั้นมีความสมบูรณ์แบบ
มีการปรับกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น กำหนดแผนและมาตรการความปลอดภัยเชิงป้องกันในระดับต่างๆ ตรวจสอบความพร้อมของเครื่องจักร ทบทวนและฝึกซ้อมตามแผนฉุกเฉิน ปรับปรุงศูนย์ฉุกเฉินให้ทันสมัยพร้อมใช้งาน ทบทวนวิธีบริหารจัดการอุบัติเหตุให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
ซึ่งนั่นทำให้ในปัจจุบันไทยออยล์สามารถรักษาสถิติความปลอดภัยในระดับดีเยี่ยม โดยมีอัตราความถี่ของการบาดเจ็บจากการทำงานอยู่ที่ระดับ 0.32 กรณีต่อระยะการทำงาน 1ล้านคน-ชั่วโมง (Case per miliion-man hour)
ความสามัคคีในองค์กร คือกุญแจฝ่าวิกฤต
ภายใต้สภาวะที่บริษัทประสบวิกฤตทั้งทางการเงิน และการสูญเสียทรัพยากรอย่างร้ายแรง 2 ปีต่อเนื่องกัน สิ่งที่ทำให้ไทยออยล์สามารถฝ่าวิกฤตมาได้ คือหัวใจของชาวไทยออยล์ทุกคน
ที่ทุ่มเทเพื่อปกป้ององค์กร ร่วมแรงร่วมใจกันทำงานด้วยความเป็นหนึ่งเดียวกัน อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และเสียสละส่วนตนเพื่อให้องค์กรอยู่รอด จนทำให้ธุรกิจโรงกลั่นที่สะดุดไป สามารถกลับมาดำเนินการต่อได้ภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือนเท่านั้น
จิตวิญญาณที่แรงกล้าของชาวไทยออยล์ทุกคน คือสิ่งที่ทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่ง สามารถก้าวผ่านทุกวิกฤตมาได้ และพร้อมที่จะพัฒนาเติบโตไปอย่างต่อเนื่อง มั่นคง และยั่งยืน
“ถ้าเราย้อนไปก็จะเห็นว่าทุกคนมีความรักองค์กร ไม่ว่าจะเกิดช่วงวิกฤตต้มยํากุ้ง เกิดช่วงวิกฤต ในการเกิดเพลิงไหม้ของถัง แล้วก็ทำให้หยุดกิจการ ไปทุกคนก็สามัคคีกันที่จะเสียสละประโยคส่วนตน เพื่อให้องค์กรอยู่รอด และสามารถเดินต่อไปได้
พนักงานทุกคนก็ไม่รู้จักเหนื่อย ทำงานตลอด เพื่อให้สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจกลั่นน้ำมันได้ ภายในระยะเวลาแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น ก็เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยออยล์ ในยามที่เกิดวิกฤต เรามีความสามัคคีกัน แล้วก็ปรับวิกฤติให้เป็นโอกาส” นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารไทยออยล์กล่าว
การกลับมาอย่างมั่นคงยิ่งกว่าเดิม
ไทยออยล์ฟื้นฟูกิจการ จนกลับมาได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
การทำแผนฟื้นฟูที่มีความชัดเจน ทำให้ไทยออยล์สามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้สำเร็จเป็นบริษัทแรก ๆ ของประเทศ สร้างผลกำไรและเติบโตจนเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ในปี 2547 เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อไทยออยล์ ในฐานะผู้นำด้านการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีที่ต่อเนื่องครบวงจรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
และก้าวใหม่ของไทยออยล์ เพื่อการปักธงความเป็นผู้นำด้านการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีที่ต่อเนื่องครบวงจรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยการขยายห่วงโซ่ธุรกิจให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลังงานของโลกยุคปัจจุบันรวมถึงสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง
อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และสารทำละลาย
LABIX ผู้ผลิตสาร LAB รายแรกของประเทศไทย
บริษัทฯ เข้าสู่ธุรกิจปิโตรเคมี และสารทำละลาย (Solvent) เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ ได้แก่ อุตสาหกรรมสี, ยางรถยนต์, กาว, น้ำมันพืช, โฟม, พลาสติก, เหมืองทองแดง เป็นต้น
ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ลดต้นทุนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน (competitiveness) ของประเทศไทยแล้ว ยังสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน เช่น เวียดนาม เมียนมา และอินโดนีเซีย สร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงดุลยภาพด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมโดยรวม
ก่อตั้งบริษัท ลาบิกซ์ จำกัด (LABIX) เพื่อเป็นบริษัทผู้ผลิตสาร LAB (Linear Alkyl Benzene- ลีเนีย แอลคิล เบนซีน) รายแรกของประเทศไทย และเป็นผู้ผลิตครบวงจรที่สุดรายแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสาร LAB เป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตผงซักฟอกและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด อีกทั้งยังสามารถเพิ่มมูลค่าน้ำมันอากาศยาน ได้อีกด้วย
สาร LAB ถือเป็นนวัตกรรมล่าสุดของเครือไทยออยล์ ที่ใช้เทคโนโลยีที่มีความทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งในวันนี้กลุ่มไทยออยล์สามารถผลิตได้เองอย่างครบวงจรตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ในประเทศไทย และในภูมิภาคเอเชียตะวันเฉียงใต้
ธุรกิจพลังงานสะอาด
GPSC บริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าชั้นนําด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน ในระดับสากล
ไทยออยล์ เข้าสู่ธุรกิจพลังงานด้วยการสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมแบบโคเจนเนอเรชั่น โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง (Combined-Cycle Co-Generation Power Plant) ในปี 2559 ซึ่งนอกจากจะมีความสามารถในการผลิตไฟฟ้า และไอน้ำ เพื่อเป็นต้นกำลังในโรงงานของเครือไทยออยล์แล้ว ยังจำหน่ายไฟฟ้าส่วนเกินให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อีกด้วย
จากนั้น ไทยออยล์ร่วมลงทุนกับบริษัทในเครือ ปตท. ในการก่อตั้งบริษัทโกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (GPSC – Global Power Synergy Company) เพื่อการพัฒนาและลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ
ภายใต้กระแสความตื่นตัวด้านการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งทำให้ความต้องการพลังงานสะอาดกลายเป็น Mega Trend ของโลก ทำให้ไทยออยล์ตัดสินใจที่จะดำเนินโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project – CFP) ซึ่งไทยออยล์ถือว่าเป็นโครงการที่สำคัญที่สุด และใช้เงินลงทุนมากที่สุด
แต่โครงการพลังงานสะอาดนี้ จะเป็นแพลตฟอร์มที่สำคัญในอนาคตของไทยออยล์ ในการจะก้าวไปสู่ธุรกิจที่เป็น downstream ที่มีมูลค่าเพิ่ม และนำพาไทยออยล์ไปสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานในอนาคต
“เราก็มีความเชื่อว่า องค์กรของเราจะสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกต่อความต้องการของผู้บริโภคในอนาคตได้” นายบัณฑิตกล่าว
จุดยืนของไทยออยล์ ในยุคเปลี่ยนผ่านพลังงาน
“ไทยออยล์เป็นองค์กรที่เป็นผู้นำด้านพลังงานของประเทศ วันนี้เราไปสู่ภูมิภาค แล้วก็มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศตลอดระยะเวลา 63 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้ประเทศไทยเติบโตได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง แล้วก็ยั่งยืน
แล้ววันนี้เราก้าวสู่ปีที่ 64 แล้วก็มีความเชื่อมั่นว่าเราจะเป็นองค์กร 100 ปีในอนาคต” นายบัณฑิต กล่าว
รับชมคลิปเพิ่มเติม