ทุกสรรพสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป..เป็นสัจธรรมและความจริงอย่างที่สุดบนโลกกลม ๆ ใบนี้
น่าแปลกที่ถึงจะรับรู้ว่าทุกสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่เรากลับไม่เคยเข้าใจความจริงนี้เลย
เมื่อไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับก็นำไปสู่ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น และคาดหวังไปต่าง ๆ นานา สุดท้ายก็หลงเหลือไว้แต่ความทุกข์ ความเสียใจที่ยอมรับความจริงไม่ได้
โลกนี้เต็มไปด้วยปัญหา คนเราก็เลยเต็มไปด้วยความทุกข์..ทุกข์มีหลายแบบ หลายขั้น หลายตอน ทั้งทุกข์ทางกายและทางใจ ป่วยไข้ไม่สบายก็เป็นทุกข์ แต่คนเราส่วนใหญ่มักจะทุกข์ทางใจเสียมากกว่า
ทุกข์ทางใจก็คือความยึดมั่นถือมั่น ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลงที่ทำให้เป็นทุกข์..คนเรายึดสิ่งไหนก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้น ไม่ยึดก็ไม่ทุกข์ ซึ่งหนทางหนึ่งที่จะขจัดความทุกข์เหล่านั้นไปได้ ก็คือการปล่อยวาง..ปล่อยให้มันเป็นไปตามเหตุแห่งปัจจัย เพราะยิ่งปล่อยวางได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทุกข์น้อยลงเท่านั้น…
แต่การปล่อยวางจำเป็นต้องประกอบไปด้วยปัญญา หากปล่อยวางโดยไม่มีปัญญาก็เป็นแค่การอดทน อดกลั้น ซึ่งความอดทน อดกลั้นอาจสิ้นสุดเมื่อถึงเวลาหนึ่ง แต่หากเป็นการปล่อยวางเพราะมีปัญญา ก็จะเห็นความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น ใจก็จะคลายความยึดมั่น เกิดเป็นการยอมรับและปล่อยวางได้
“ครั้งหนึ่งหลวงพ่อชา สุภัทโท เดินผ่านกุฏิของพระรูปหนึ่ง ท่านสังเกตเห็นหลังคาแหว่งไปครึ่งหนึ่งเพราะถูกพายุฝนกระหน่ำ แต่พระรูปนั้นไม่ขวนขวายที่จะซ่อมหลังคาเลย ปล่อยให้ฝนรั่วอย่างนั้น ท่านจึงถามเหตุผลของพระรูปนั้น คำตอบที่ได้ก็คือ ผมกำลังฝึกการไม่ยึดมั่นถือมั่นครับ หลวงพ่อชาจึงตำหนิว่า นี่ทำโดยไม่ใช้หัวสมอง แทบไม่ต่างจากการวางเฉยของควายเลย”
ปล่อยวางด้วยปัญญา อย่าหนีปัญหาด้วยการวางเฉย