“มีลูกคนเดียวจนไปสิบปี”, “มีเมียเหมือนมีแม่” เป็นคำคมตรงๆ ที่กล่าวถึงภาระความรับผิดชอบที่มาพร้อมชีวิตแต่งงาน แน่นอนว่าการแต่งงานไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของทุกชีวิต หลายคนคิดและเลือกทางโสดเพราะสบายใจกว่า รับผิดชอบน้อยกว่า แถมมีเวลาเล่นสนุกตามใจ เชื่อมั้ยว่าปัญหาคนโสดไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ย้อนกลับไปไกลได้กว่า 2000 ปี จักรพรรดิ พระราชา สุลต่าน รัฐบาล และพรรคคอมมิวนิสต์ เคยพลิกสมองแก้ปัญหาคนโสดด้วยวิธีหลากหลาย การให้รางวัล การกำหนดอายุแต่งงาน ไปจนถึงการเรียกเก็บภาษี
จักรวรรดิโรมัน
คริสตศตวรรษที่ 9 จักรพรรดิออกัสตุสออกกฎหมายให้มีการเก็บภาษีคนโสด หรือคู่แต่งงานที่ไม่มีลูก เรียกกันว่า Lex Papia et Poppaea ภาษีที่ว่ามีที่มาสำคัญสองอย่าง อย่างแรกคือเพื่อควบคุมพฤติกรรมของคนในรัฐ (เพราะการแต่งงานสร้างความรับผิดชอบ ลดการมั่วสุมและพฤติกรรมผิดศีลธรรม) อย่างหลังคือเพื่อเพิ่มโอกาสทางการแต่งงานให้กลุ่มคนหาคู่ยาก อย่าง ทาสที่เพิ่งได้อิสระ หรือ ลูกสาวจากตระกูลศิลปิน (เช่นนักแสดง นักเต้น แกลดิเอเตอร์ หรือผู้สร้างความบันเทิงอื่นๆ รวมไปถึงลูกสาวโสเภณี) ลูกหลานที่เกิดจากการจับคู่แบบนี้ ถือเป็นแรงงานที่มีความสำคัญต่อรัฐ
กฎหมายที่ว่าครอบคลุมทุกชนชั้น เว้นแต่นักบวชและนางชี เริ่มเก็บภาษีในผู้ชายตั้งแต่อายุ 25-60 และในผู้หญิงตั้งแต่อายุ 20-50 รวมไปถึงคู่แต่งงานที่ไม่มีลูก
จักรวรรดิออตโตมัน
Resm-i mücerred เป็นกฎหมายเก็บภาษีคนโสดที่เริ่มใช้ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 15 ร่วมกับกฎหมายอื่นๆ คือ resm-i çift ภาษีรายปีสำหรับผู้มีที่ดินทำกิน และ resm-i bennâk ภาษีรายปีสำหรับคนแต่งงาน มีครอบครัว แต่ยังไม่มีที่ดินทำกินหรือกำลังเริ่มสร้างที่ดินทำกิน
ภาษีคนโสด (Resm-i mücerred ) ถูกบังคับใช้กับบุคคลที่ยังไม่แต่งงานและไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง และเนื่องจากคนเหล่านี้มักยากจนเกินกว่าจะมีเงินจ่าย การแก้ปัญหาจึงจบที่การเดินทางหาที่ทำกินใหม่ในพื้นที่ที่ยังไม่มีการบุกเบิก ถือเป็นการช่วยนโยบายการขยายพื้นที่ทำการเกษตรของรัฐ
สหราชอาณาจักร
เมื่ออังกฤษเขาสู่สงครามกับฝรั่งเศส ค่าใช้จ่ายแสนแพงในการทำสงครามได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาว่าสามารถหาเพิ่มได้จากการเก็บภาษีคนโสด… The Marriage Duty Act หรือ Registration Tax ในปี 1695 เป็นอะไรที่มากกว่าออตโตมันกับโรมันโบราณ เพราะเรียกเก็บตั้งแต่ภาษีการเกิด ภาษีแต่งงาน ภาษีงานศพ ภาษีพ่อม่าย/แม่ม่ายที่ไร้ทายาท โดยเฉพาะกลุ่มชายโสดอายุเกิน 25 ที่ต้องโดนเก็บภาษีเพิ่มเป็นรายปีจนกว่าจะเข้าพิธีแต่งงาน แน่นอนว่ากฎหมายนี้ไม่ได้รับความนิยมและถูกยกเลิกไปในปี 1706
สหรัฐอเมริกา
ภาษีชายโสดเป็นความพยายามอันยาวนานของรีฐมิชิแกน ข้อเสนอนี้ถูกยกมาพิจารณาในปี 1873, 1848, 1849, 1850 และระหว่างสงครามกลางเมืองอเมริกา แต่ไม่เคยถูกนำมาใช้จริง ภาษีคนโสดกลายเป็นกระแสอีกครั้งในปี 1897, 1901, 1911, 1919 คราวนี้ ไม่ใช่แค่ผู้ชาย แต่รวมถึงหญิงโสดที่ปฎิเสธการแต่งงาน โดยมีรีเสิร์จสนับสนุนอย่างเป็นทางการว่าผู้ชายที่ไม่แต่งงาน มีโอกาสทำผิดกฎหมายมากกว่าชายที่แต่งงานแล้ว ข้อเสนอครั้งสุท้ายถูกยกขึ้นพิจรณาในปี 1935 ก่อนโดนล้มไปเพราะเกิดวิกฤตเศรฐกิจทั่วโลกจากสงครามโลกครั้งที่ 1
ในปี 1921 รัฐมอนทาน่า ผ่านกฎหมายเรียกเก็บภาษีชายโสดเป็นจำนวนเงิน 3 ดอลล่าร์สหรัฐ William Atzinger หนึ่งในชายที่โดนเก็บภาษี ออกมาประท้วงไม่ยอมจ่ายโดยแย้งว่ากฎหมายนี้เลือกปฎิบัติและเหยียดเพศ ในวันที่ 11 มกราคม ปีต่อมา การประท้วงของนาย Atzinger ทำให้รัฐมอนทาน่ายอมพิจรณายกเลิกภาษีชายโสด รวมถึงภาษีอื่นๆ ที่เรียกเก็บเฉพาะกับคุณสุภาพบุรุษ
ในปี 1933 รัฐแคลิฟอเนียมีสติการเกิดของประชากรลดลงจนน่าตกใจ หนึ่งปีต่อมามีการเสนอภาษีชายโสด โดยให้เก็บเงินจำนวน 5-25 ดอลลาร์ แต่กฎหมายที่ว่าไม่ได้ถูกนำมาปฎิบัติจริง
แอฟริกาใต้
ภาษีคนโสดที่ถูกนำมาใช้ในปี 1919 มีผลเฉพาะกับประชากรชายโสดผิวขาว นโยายนี้เป็นส่วนหนึ่งของมุมมองการเมืองแบบเหยียดผิว เพราะไม่ต้องการให้ประชากรผิวสีกลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ
เยอรมนี
ภาษีคนโสดเคยถูกใช้ในเยอรมันเช่นกัน เพื่อเป็นการเร่งจำนวนประชากรช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 กฎหมายนี้ออกใช้ในปี 1923 กำหนดจำนวนเงิน 2,000 มาร์คต่อเดือน แต่ถูกเลิกใช้ไปในเวลาไม่นาน
อิตาลี
“เรามาพูดกันให้ชัด ประชากร 40 ล้านคนของอิตาลีเทียบไม่ได้กับประชากร 90 ล้านของเยอรมัน หรือประชากร 200 ล้านของชนชาติสลาฟ ประชากรอิตาลีมีแค่ 40 ล้านในขณะที่ฝรั่งเศสมีประชากร 150 ล้าน ทั้งในและนอกประเทศรวมถึงดินแดนอาณานิคม อิตาลีจะทำอย่างไรเมื่ออังกฤษมีประชากรทั้งอาณานิคมรวมกัน 450 ล้าน บวกคนบนเกาะอีก 46 ล้าน?”
เบนิโต มุสโสลินี ผู้เสนอเก็บภาษีชายโสด กล่าวไว้แบบนี้เมื่อเริ่มขึ้นสู่อำนาจ การเก็บภาษีเริ่มใน 1927 คาดว่าสามารถหาเงินเข้ารัฐได้มากถึง 40-50 ล้านลีราต่อปี
ในปี 1936 ภาษีคนโสดเก็บได้เกือบสองเท่าของภาษีบุคคลธรรมดา
การเก็บภาษีจบลงในปี 1943 พร้อมกับอำนาจของมุโสลินี
โปแลนด์
หลังจบสงครามโลกไปหมาดๆ โปแลนด์ที่บอบช้ำจากสงคราม ต้องการเพิ่มจำนวนประชากรโดยเลือกเก็บภาษีคู่แต่งงานที่ไม่มีลูก รวมทั้งประชากรที่ไม่ยอมแต่งงานทั้งชายหญิง การเก็บภาษีเริ่มตั้งแต่อายุ 21 ปี ภายหลังมีการลดหย่อนให้ถึงอายุ 25 ภาษีคนโสดของโปแลนด์ถูกเลิกใช้ไปในปี 1973 เพื่อเปลี่ยนมาใช้การเก็บภาษีแบบเดียวกับสหภาพโซเวียตที่เรียกว่า налог на бездетность หรือ tax on childlessness
สหภาพโซเวียต
tax on childlessness ของสหภาพโซเวียตถูกใช้ในระหว่างปี 1941 ถึง 1990 เป็นไอเดียของโจเซฟ สตาลิน ที่ต้องการเพิ่มประชากรและแรงงานให้สหภาพโซเวียต ภาษีนี้ใช้กับชายหญิงที่ไม่มีลูก ฝ่ายชายเริ่มเก็บตั้งแต่อายุ 25-50 ฝ่ายหญิงอายุ 20-55 โดยหักจากเงินค่าจ่างเป็นจำนวน 6% กฎนี้ไม่ถูกใช้กับครอบครัวที่สูญเสียลูกระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2, วีรบุรุษสงครามที่ได้รับเหรียญกล้าหาญจากรัฐ, ผู้มีรายรับต่ำกว่า 70 รูเบิลต่อเดือน, และผู้มีใบรับรองทางการแพทย์ว่าเป็นหมันหรือไม่สามารถมีบุตรได้
ในปี 1990 เพดานการงดเว้นภาษีถูกเพิ่มขึ้นจาก 70 เป็น 150 รูเบิล
ในปี 1991 ภาษีถูกยกเลิกในผู้หญิง
ในปี 1992 ภาษีที่ว่าถูกกยกเลิกอย่างเป็นทางการหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต
.
.
ติดตามบทความของเพจพื้นที่ให้เล่า ได้บน LINE TODAY ทุกวันเสาร์
.
.
References:
https://www.wikiwand.com/en/Tax_on_childlessness
https://www.wikiwand.com/en/Lex_Papia_Poppaea#/Promotion_of_Marriage