โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

Raccoon City – Home of Umbrella

GamingDose

เผยแพร่ 17 ม.ค. 2562 เวลา 08.49 น. • GamingDose - ข่าวเกม รีวิวเกม บทความเกมจากเกมเมอร์ตัวจริง

อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันวางจำหน่ายของ Resident Evil 2 Remake ผลงานล่าสุดของซีรี่ส์ผีชีวะ ที่จะพาคุณคือสู่เมืองแห่งความอาถรรพ์ Raccoon City เมืองที่เราพูดได้เต็มปากว่าเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งอย่างแท้จริง หลายคนอาจคิดว่าเหตุการณ์ในคฤหาสน์สเปนเซอร์ของภาคแรกคือจุดเริ่มต้น แต่เนื่องจากคฤหาสน์ดังกล่าวตั้งอยู่ใน Arklay Mountains ในเขตของเมืองนี้ จึงอนุมานได้ว่า เรื่องราวความสยองขวัญที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเพราะ "บ้านแห่งอัมเบลล่า" หลังนี้จริง ๆ

แฟรนไชส์ Resident Evil เริ่มขึ้นในปี 1996 ด้วยความต้องการที่จะทำเกมแนวสยองขวัญโดยแคปคอม พวกเขานำวิดีโอเกมสยองขวัญยอดฮิตในช่วงเวลานั้นมาเป็นต้นแบบ (Alone in The Dark, Sweet Home) มาพัฒนาเป็นแนวทางของตัวเอง เนื้อหาเล่าถึงเหตุฆาตรกรรมต่อเนื่องที่แปลกประหลาดในเมืองแร็คคูนซิตี้ เหยื่อทุกคนต่างมีร่องรอยถูกมนุษย์ด้วยกันเองกัดกิน ทำให้ทางการต้องส่งหน่วย S.T.A.R.S. เข้าไปสืบหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น

คฤหาสน์ Spencer ในเกมภาคนี้เป็นสถานที่ที่น่าจดจำอันดับต้น ๆ ของวงการเกม เพราะลักษณะการออกแบบที่เรียกได้ว่า "แปลก" ในแบบที่ชาวบ้านชาวเมืองเขาไม่ทำกัน สาเหตุที่มันถูกออกแบบมาแบบนี้เพราะมีเอกสารระบุว่ามันไม่ใช่คฤหาสน์ธรรมดา แต่มันคือห้องทดลองอาวุธชีวภาพขนาดใหญ่ต่างหาก

ภาพร่างของห้องหนึ่งในคฤหาสน์ Spencer

ถ้าคุณชินกับหนังซอมบี้ธรรมดาในช่วงเวลานั้น คุณคงรู้สึกว่า Resident Evil ตีความคำว่าซอมบี้ไปไกลกว่าที่มันเคยเป็น ที่เป็นแบบนี้เพราะมุมมองของชาวญี่ปุ่นที่ออกจะแปลกกว่าชาวบ้าน ซอมบี้เกมนี้เลยอิงมาจากมุมมองของผู้กำกับ George A. Romero เป็นส่วนใหญ่ ผสมรวมกับสไตล์การมองหนังสยองขวัญของคนญี่ปุ่น จนออกมาเป็นอย่างที่เห็น

"มุมมองหนังสยองขวัญของคนญี่ปุ่นต่างจากชาติอื่นตรงไหน" คำถามนี้ไม่ใช่คำถามที่ตอบได้ง่ายนัก แต่ถ้าเอาตามความเข้าใจ ก็คงจะอนุมานได้ว่าคนญี่ปุ่นชอบความเป็น "ไซไฟ" มากกว่า "แฟนตาซี" ยกตัวอย่างเช่นหนังเรื่อง The Ring ผีในหนังไม่ได้เกิดจากเรื่องเหนือธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่มันเกิดจากกระเทยแท้ที่โดนข่มขืน กับเชื้อโรคฝีดาษตัวสุดท้ายในโลก ที่ร่วมกันปลดปล่อยความแค้นใส่วิดีโอเทปม้วนหนึ่ง จนเกิดเป็นนาฏกรรมในเรื่องดังกล่าว

วิดีโอในเรื่อง The Ring

เห็นได้ชัดว่า Resident Evil ก็ใช้หลักการแบบนั้นเช่นกัน เพราะซอมบี้ในเกมไม่ได้เกิดจากความเชื่อทางศาสนา ไม่ได้เกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างที่เราเข้าใจ หากแต่มันเกิดจากสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์

Resident Evil เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับเกมสยองขวัญในยุคนั้น ด้วยเกมเพลย์ที่น่าตื่นเต้น และคอนเซปต์ที่สร้างสรรค์ แม้จะมีการจำกัดในด้านเทคโนโลยี แต่ Capcom ก็นำสิ่งที่เรียกว่าข้อจำกัด มาปรับใช้เป็นไอเดียได้อย่างน่าทึ่งจนมันถูกยกย่องหลายครั้ง ให้เป็นหนึ่งในแฟรนไชส์เกมสยองขวัญที่ดีที่สุดในปัจจุบัน

ด้วยความสำเร็จของเกมภาคแรก Resident Evil 2 ก็ถูกเข็นออกมาในอีกสองปีให้หลัง คราวนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้สัมผัสบ้านแห่งอัมเบลล่าหลังนี้แบบเต็มที่ เนื้อหาของภาคสองเป็นการขยายมุมมองของภาคแรกให้กว้างขึ้นกว่าเดิม จากแมนชั่นเล็ก ๆ สู่เมือง จากเมืองสู่ความลับในเมืองที่ยิ่งใหญ่กว่าเมืองเสียอีก

Raccoon City ถูกออกแบบให้เป็นเมืองในภาคตะวันตกตอนกลางของสหรัฐอเมริกา นักพัฒนาของ Capcom ได้แรงบันดาลใจในการสร้างเมืองนี้มาจากหนังซอมบี้ยุค 1970 ถึง 1980 แต่ถึงจะบอกว่ามันเป็นเมืองในอเมริกา แต่สิ่งก่อสร้างบางส่วนกลับได้รับแรงบันดาลใจมาจากประเทศในฝั่งยุโรป อาจเป็นเพราะเทคโนโลยีในช่วงนั้น หรืออะไรก็ไม่ทราบได้ เมืองนี้ก็เลยกลายเป็นส่วนผสมระหว่างความเป็นอเมริกาและยุโรปที่ค่อนข้างลงตัว

ภาพร่างตรอกใน Raccoon City

เกมภาคสองเปิดตัวด้วยการระบาดของเชื้อไวรัสในเมือง ตัวเอกทั้งสองติดอยู่ในย่านดาวน์ทาวน์ที่เต็มไปด้วยซอมบี้ ถนนแคบ ๆ ถูกทำให้แคบลงกว่าเดิมจากเหตุการณ์รถชน และจลาจลที่เกิดขึ้นทั่วเมือง ทำให้เราไม่เห็นส่วนประกอบของ Raccoon City ชัดเจนเท่าไหร่ แต่มันจะมาชัดเจนขึ้นในภาค 3 ที่เราจะเห็นทั้งร้านอาหาร ย่านจับจ่ายใช้สอย สิ่งก่อสร้างที่ยังสร้างไม่เสร็จ โรงไฟฟ้า ศูนย์ราชการ และปั้มน้ำมัน

ตอนบนของ Raccoon City ยังเต็มไปด้วยโกดังเก็บของ สำนักงานขาย และบาร์ ถนนที่อยู่อาศัยเต็มไปด้วยตรอกซอกซอยค่อนข้างซับซ้อน พร้อมกันนั้นยังมีโรงเรียน หอศิลป์ และสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ตั้งปนเปกันมากมายในเมือง

ภาพปั้มน้ำมันใน Raccoon City

ผังเมืองของ Raccoon City ถูกออกแบบมาอย่างไม่มีเหตุผล รวมถึงสถาปัตยกรรมในเมือง เพราะไม่มีที่ใดในโลกใช้ผังเมืองที่ยุ่งเหยิงแบบนี้แน่ ๆ อีกทั้งสถาปัตยกรรมในเมืองยังถูกผสมปนเปเข้ากันหลายยุคหลายสมัย สังเกตได้จากการแก้ปริศนาที่ต้องใช้สิ่งของที่คนปกติทั่วไปเขาไม่ใช้งานในการแก้ปริศนา

คำตอบของความไม่สมเหตุสมผลของ Raccoon City อยู่ไม่ไกล มันอยู่ใต้เท้าของประชาชนทุกคนนี่แหละ ใต้เมืองของ Raccoon City คือห้องทดลองที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย มากพอที่จะสร้างอาวุธชีวภาพอันแสนน่ากลัวเอาไว้ซักตัวสองตัว

ท่อน้ำทิ้งของ Raccoon City

ทั้งหมดนี้ทำให้เราแทบสรุปได้เลยว่า Raccoon City ไม่ใช่เมือง แต่มันคือ "ห้องทดลองขนาดใหญ่" ที่สร้างมาเพื่อรองรับเหตุการณ์นรกบนดินของแท้ ทั้งถนนที่คับแคบ ผังเมืองยุ่งเหยิง ความลับดำมืดใต้ดิน องค์ประกอบทั้งหมดเหมือนถูกออกแบบมาเพื่อให้เมืองนี้เป็นตัวแทนของดินแดนแห่งความทรมานมากกว่าที่จะเป็นที่อยู่อาศัยของคนปกติ

แต่เมื่อมีการขยายจักรวาลเกมไปเรื่อย ๆ Raccoon City กลับโดนขยายเพิ่มจนสูญเสียตัวตนไป ในภาค Outbreak มีการเพิ่มสวนสัตว์ มหาวิทยาลัยติดทะเลเข้ามา ทำให้เมืองอันแสนบิดเบี้ยวที่เราเข้าใจถูกลดทอนความรุนแรงลงจนแทบจะกลายเป็นเมืองธรรมดา

หลังจากนั้นไม่นานในภาค The Chronicles และ Operation Raccoon City ก็มีการขยายความเมือง Raccoon City เพิ่มขึ้นอีกครั้ง บางส่วนแสดงให้เห็นว่าถนนไม่ได้แคบอย่างที่เราคิด และการจลาจลไม่ได้รุนแรงเกินกว่าเหตุ ถือเป็นการลบภาพนรกบนดินของ Raccoon City อย่างหมดจดไปในพริบตาเดียว

สวนสัตว์ที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน Raccoon City

Resident Evil 2 Remake ที่กำลังจะวางจำหน่ายในวันที่ 25 ที่จะถึงนี้ นอกจากจะเป็นการอัพเกรดระบบการเล่น มุมมอง และเทคโนโลยีโดยรวมอื่น ๆ แล้ว ยังเป็นการหยิบ Raccoon City เมืองที่สูญหายไปในหน้าประวัติศาสตร์นี้กลับมาด้วย ถือเป็นเวลาอันดีที่เราทุกคน จะกลับไปเผชิญหน้า กลับไปทำความรู้จัก กับโฉมหน้าที่แท้จริงของเมืองนรกไร้ผู้คนแห่งนี้อีกครั้ง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...