โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

โรคไม่กล้าทำดี - วินทร์ เลียววาริณ

THINK TODAY

เผยแพร่ 17 พ.ย. 2562 เวลา 17.05 น. • วินทร์ เลียววาริณ

ไม่นานมานี้ผมเดินผ่านร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งกลางเมือง ชายต่างชาติคนหนึ่งยืนอยู่หน้าร้าน ข้าง ๆ เป็นกระเป๋าเดินทางใบเล็ก 

เขาเรียกผม ถามผมว่า “คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไหม?”

ผมตอบว่า “ได้”

เขาบอกว่า “ดีเลย ช่วยอะไรหน่อยได้ไหม?”

“อะไรครับ?”

“ฝากซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์หน่อย”

“ทำไมคุณซื้อไม่ได้?”

สีหน้าเขาหงอยมาก

“เขาต้องใช้บัตรประชาชนไทย”

ปกติหากมีคนแปลกหน้าที่สุภาพเรียบร้อยขอให้ทำเรื่องใด ผมก็มักช่วย แต่ครั้งนี้สัญชาตญาณของผมเตือนให้ระวัง

ผมตอบปฏิเสธอย่างสุภาพ แล้วจากมา

ข่าวเรื่องการใช้โทรศัพท์เพื่อก่อการร้ายยังค้างในหัว ผมไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้คนร้ายยังใช้โทรศัพท์จุดระเบิดหรือเปล่า หรือสามารถนำซิมการ์ดไปใช้ในทางมิชอบอย่างไรอีก ผมอาจคิดมากไปก็ได้ ชาวต่างชาติคนนี้อาจจะไม่ได้คิดการร้ายอะไร แต่ในโลกทุกวันนี้ เราไม่มีทางรู้ว่าใครจะหลอกใคร ตัวอย่างล่าสุดก็เช่นเรื่องผลตอบแทน 93 เปอร์เซ็นต์

แทบไม่มีวันใดในประเทศนี้ผ่านไปโดยไม่มีใครหลอกใคร

เราอยู่ในโลกที่การหลอกลวงเป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจสังคม จนบางครั้งก็ทำให้เราไม่กล้าทำดี

ชีวิตที่ดีไม่ใช่การเดินคนเดียว คือความเผื่อแผ่ต่อคนอื่นด้วย แต่หากเราไม่เผื่อแผ่เพราะความระแวง มันก็เป็นโลกที่ไม่น่าอยู่

……………

เคยไหมที่เวลาเดินผ่านขอทานสักคน เราอยากช่วยเขา แต่เราไม่แน่ใจ เราไม่รู้ว่าเขาเป็นขอทานจริง หรือเป็นสมาชิกขบวนการมิจฉาชีพ หลายคนจึงเลือกไม่ช่วย เรารู้สึกไม่ดีเพราะถ้าเขาเดือดร้อนจริง ๆ ล่ะ?

แต่เราไม่รู้ เราจึงไม่ช่วย

เวลาเราเดินผ่านคนจากสมาคมอะไรสักแห่งที่ตั้งโต๊ะริมถนนรับบริจาคช่วยเหลือคนยากไร้ เราบริจาคไหม? หรือว่าเราไม่แน่ใจจึงไม่บริจาค?

ข่าวการโกงกิน ขโมยของบริจาคช่วงน้ำท่วมใหญ่ หรืออุบัติภัยธรรมชาติปรากฏขึ้นเสมอ มีกรณีเงินบริจาคมากมายไม่ถึงมือคนเดือดร้อน 

ผมเองเจอกับตัวเองตรง ๆ ผมทำโครงการเติมหัวใจใส่ห้องสมุด บริจาคหนังสือให้เด็กในพื้นที่ไกล ๆ ได้อ่าน แต่ก็มีคนนำหนังสือบริจาคไปขาย

เรื่องเหล่านี้ทำให้เรากลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายมากกว่าเดิม

การอยู่ในสังคมที่หลอกทุกระดับทำให้เรากลายเป็นโรคกลัวทำดีไปโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่ความผิดของเรา มันเป็นกระบวนการของสัญชาตญาณการอยู่รอดตามธรรมชาติ

เรามีคำกล่าวว่า สังคมเลวเพราะคนดีท้อแท้ ความหมายของมันคือ คนไม่อยากทำดีเพราะเห็นว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี

แต่วันนี้มันอาจเพิ่มบริบทเข้าไปในอีกหนึ่งอย่างว่า คนอยากทำดี แต่ไม่ทำเพราะเป็นโรคไม่กล้าทำดี ระแวงว่าจะเป็นเหยื่อ

นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องดีต่อสุขภาพของสังคมโดยรวม โรคไม่กล้าทำดีจะทำให้กลายเป็นสังคมที่ไม่น่าอยู่มากขึ้นเรื่อย ๆ

คำถามคือ แล้วเราจะทำอย่างไร

หากเป็นกิจกรรมบริจาคเงินระดับชาติ เราคงตรวจสอบได้ไม่ยาก แต่หากเป็นกรณีกะทันหันอย่างเจอขอทานริมถนน หรือคนขอให้ซื้อซิมการ์ด หรือนักท่องเที่ยวในสนามบินขอให้เราช่วยเช็กอินกระเป๋าเดินทางให้ เพราะกระเป๋าของเขาน้ำหนักเกินกำหนดแล้ว หรือขอให้เราช่วยถือกระเป๋าให้ตอนผ่านด่านตรวจ เราคงรีเสิร์ชไม่ทัน

เรื่องบางเรื่องตัดสินใจไม่ง่ายเหมือนช่วยเข็นรถที่ตายกลางถนน หรือช่วยพาคนตาบอดข้ามถนน

ชีวิตที่ดีไม่ใช่การเดินคนเดียว คือความเผื่อแผ่ต่อคนอื่นด้วย แต่เราสามารถเผื่อแผ่บวกวิจารณญาณ

แปลว่าเราไม่ต้องหยุดช่วยเหลือคนอื่น เพียงแต่ระวังสักหน่อย

การทำดีก็ควรคิดรอบด้าน ไม่เพียงเรื่องความปลอดภัยของเราเอง แต่รวมถึงผลที่ตามมาของคนที่รับความช่วยเหลือด้วย เช่น ให้เงินคนยากไร้แล้ว ทำให้เขางอมืองอเท้าอย่างเดิมหรือไม่

โลกที่ดีขึ้นเกิดจากคนช่วยกัน แต่ก็ควรอยู่บนพื้นฐานของสติปัญญาและวิจารณญาณเช่นกัน

……………

วินทร์ เลียววาริณ

winbookclub.com

เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/winlyovarin/

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0