โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

สถานะและการย้อมสี ว่าด้วยสามพันปีของประวัติศาสตร์บนเส้นผม - เพจพื้นที่ให้เล่า

TOP PICK TODAY

เผยแพร่ 31 ม.ค. 2563 เวลา 17.00 น. • เพจพื้นที่ให้เล่า

สีดำ สีบลอนด์ หรือสีแดง 1500 ปีก่อนคริสตกาลเรื่อยมาถึงปัจจุบัน ไม่มีวันไหนสักวันที่มนุษย์พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์รู้จักคำว่าสี การนำสีมาประดับตกแต่งบนเส้น กลายเป็นของประดับเพื่อเพิ่มมูลค่า บ่งบอกความเหนือกว่าของชนชั้นทางสังคม มนุษย์พัฒนาสีย้อมผมจากของในธรรมชาติ ตั้งแต่รากไม้ สมุนไพร ไปจนถึงสีย้อมที่เป็นภัยต่อสุขภาพอย่างสารเคมีหรือสีย้อมผ้า 

ชาวอียิปต์โบราณนิยมผมสีดำสนิท ในสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมนพบวิกผมและเคราปลอมย้อมด้วยเฮนน่า สมุนไพรที่ว่ายังถูกใช้เพื่อย้อมปิดผมขาว และยิ่งผมสีดำเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงถึงสถานะที่ยิ่งใหญ่มากเท่านั้น พบหลักฐานการใช้คราม หรือ Indigo เพื่อย้อมผสมให้ผมสีดำมีความเข้มเหลือบน้ำเงิน

ชาวกรีกโบราณมองว่าผมสีบลอนด์คือสีผมในอุดมคติ ในขณะที่ชาวโรมันกลับเชื่อมโยงผมสีทองเข้ากับวงการค้ากาม Clement of Alexandria นักปราชญ์ชาวกรีก กล่าวถึงผู้หญิงที่มีเส้นผมสีเหลือง หรือพยายามย้อมผมจนได้สีเหลืองว่าเป็นพวกขี้เกียจและไร้ประโยชน์ อันที่จริงหญิงชาวโรมหรือกรีกส่วนใหญ่มักมีเส้นผมสีเข้ม เป็นการยากที่จะย้อมผมให้กลายเป็นสีบลอนด์ตามที่เข้าใจ กลุ่มชนใหญ่ที่มีผมสีทองในตอนนั้น คือพวกทาสที่ชาวโรมันกวาดต้อนมาจากยุโรปเหนือ (หรือแถบสแกดิเนเวียนในปัจจุบัน) ผู้หญิงที่ประกอบอาชีพโสเภณีใต้การปกครองของอาณาจักรโรมัน ยังถูกบังคับให้ย้อมผมสีเหลืองทองเพื่อบ่งบอกสถาณะทางสังคม ติดอยู่ที่การยอมผมสีนี้เป็นเรื่องยาก สูตรยาย้อมผมสีทองประกอบด้วย น้ำด่างละลายแอลคาไลเข้มข้น ถ่านไม้ beechwood และไขมันแพะ สูตรนี้ว่ากันว่าอันตรายเพราะมีฤทธิ์แรงทำให้ผมร่วงและเกิดบาดแผลบนหนังศรีษะได้ โสเภณีส่วนใหญ่ตัดปัญหาด้วยการซื้อหาวิกผมสีทองมาสวมเพราะประหยัดและปลอดภัยกว่า

ถ้าคิดว่าสีทองยุ่งยาก สีที่ลำบากมากกว่าคือสีแดง เส้นผมสีแดงเพิ่งมาปรากฎในยุโรปในช่วงยุคกลาง โดยเกิดจากการผ่าเหล่าทางพันธุกรรมทำให้เส้นผมสีนี้ดูประหลาดและหายากต่างจากคนทั่วไป ตามประวัติศาสตร์การปรากฎของผมสีแดงเกิดขึ้นครั้งแรกในสกอตแลนด์ ส่วนการรบรรยายสีผมของคนว่า redhead (ผมสีแดง) ปรากฎหลักฐานครั้งแรกในช่วงกลางศตวรรษที่ 13 เมื่อเป็นของหายากจึงมีการตั้งคำถามว่าคนที่เกิดมามีผมสีนี้น่าจะมีเวทย์มนต์คาถา หรือมีความเกี่ยวข้องกับศาสตร์มืดและถูกล่าแม่มดกันหนักมาก กว่าเส้นผมสีแดงจะได้รับการยอมรับ ก็ต้องรอกระทั่งยุคของควีนเอลิซาเบธที่ 1 ราชินีผู้มีเส้นพระเกศาสีแดงเพลิง เข้ามาพลิกวิกฤตเป็นโอกาส เปลี่ยนผมสีคำสาปให้กลายเป็นความสวยงามในหมู่ชาวอังกฤษ 

ผมสีเชสนัท (Chestnut) เป็นอีกหนึ่งความนิยมใหม่ในศตวรรษที่ 16 หลังมีการคิดค้นการเปลี่ยนสีผมด้วยการใช่ตะกั่ว ซัลเฟอร์ และปูนขาว มะนาวยังถูกนำมาใช้สำหรับเตรียมเส้นผมก่อนลงน้ำยาย้อม เชื่อกันว่ากรดในมะนาวทำให้ผมนิ่มลง สามารถดูดซึมสีได้ง่าย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าการนำตะกั่วมาย้อมผมมีผลเสียอย่างไร ผู้กล้าหาญส่วนใหญ่สูญเสียเส้นผมและได้แผลพุพองบนหนังศรีษะกลับไปเป็นของแถม บางรายโชคร้ายกลายเป็นคนหัวล้านถาวรเพราะพิษของสารตะกั่ว 

เมื่อการย้อมผมยากเหมือนเสี่ยงตาย แฟชั่นที่นิยมใช้ในเวลาต่อมาคือการใส่วิกผม ลงแป้งหนา ก่อนประดับประดาผมปลอมด้วยของตกแต่งตามกำลังและสถานะ การใส่วิกลงแป้งในยุคนั้นเริ่มต้นในแถบฝรั่งเศส อิตาลี ก่อนแพร่กระจายเข้ามาในอังกฤษ จนมีการประชดประชัน เรียกห้องแต่งตัวของหนุ่มสาวเจ้าสำอางในยุคนั้นว่า “The Powder Room”

การย้อมสีเริ่มเป็นที่จับต้องได้และอันตรายน้อยลงหลัง William Henry Perkin หนุ่มอังกฤษวัย 18 ปี ค้นพบสูตรเคมีสำหรับการทำสีย้อมสังเคราะห์โดยบังเอิญระหว่างพยายามสร้างควินนินซึ่งเป็นยารักษาโรคมาเลเรีย แม้ว่าสีที่เพอร์กินค้นพบในปี 1863 จะเป็นสีม่วงที่ดูห่างไกลจากแฟชั่นการย้อมผม แต่โมเลกุลของสีสังเคราะห์ก็ถูกนำไปต่อยอดจนสามารถเพิ่มเฉดสีได้หลากหลาย

ในปี 1907 Eugene Schueller เภสัชกรชาวฝรั่งเศสเป็นคนแรกที่หัวใส นำสีย้อมเคมีมาผลิตเป็นสินค้า เขาเรียกนำยาเปลี่ยนสีผมของตัวเองว่า Aureole หรือที่เราจะรู้จักกันในเวลาต่อมาว่า L’Oréal สินค้าของเขาขายดิบขายดีจนกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของฝรั่งเศส Schueller ถึงขั้นเปิดโรงเรียนสอนทำสีผมแห่งแรกในปารีสที่ถนน Rue du Louvre อีกไม่กี่ปีต่อมา ช่างย้อมสีผมก็กลายเป็นบุคคลขาดไม่ได้ของร้านเสริมสวย อาชีพนี้แพร่ไปไกลจากในอิตาลี อังกฤษ ไปจนถึงสหรัฐอเมริกาและแคนาดา 

ปี 1931 หนังเรื่อง Platinum Blonde ของ Frank R. Capra ทำให้กระแสผมสีทองเหลือบเงิน (Platinum Blonde) ของนางเอกกลายเป็นที่นิยมทั่วยุโรปและอเมริกา Jean Harlow นางเอกสาวของเรื่อง มีเส้นผมบลอนด์อ่อนช่วยขับเน้นบุคลิกสวยสง่าน่าค้นหา เธอบอกสื่อว่าผมสีนี้มีมาแต่กำเนิด ไม่เคยผ่านการแต่งสีเลยสักครั้ง กระแสคลั่งผมบลอนด์ไปไกลถึงขั้นเกิดสมาคม Platinum Blonde clubs สำหรับเฟ้นหาช่างผมฝีมือดีที่สามารถเลียนสีผมของ Jean Harlow ได้เหมือนที่สุด ตั้งเงินรางวัลไว้มากถึง $10,000 

ช่วงปี 1950 เป็นต้นมา กระแสกัดผมสีบลอนด์เริ่มจางลง ผู้หญิงยุคใหม่ไม่ต้องการทำลายเส้นผมด้วยการกัดผมขาวอีกต่อไป เทรนด์ในยุคต่อมา กลายเป็นสีธรรมชาติที่มาพร้อมสโลแกน Does she…or doesn’t she? (นี่เธอย้อมผมมาหรือเปล่า) ของบริษัทผลิตยาย้อมผม Miss Clairol Hair Color Bath สินค้าของบริษัท สร้างความเปลี่ยนแปลงใหม่ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ย้อมผมอย่างง่าย ให้สาวๆ สามารถทำสีผมได้ด้วยตัวเอง (ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีเพราะผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ชอบให้ใครเห็นว่าตัวเองกำลังทำสีผม) การทำสีผมกลายเป็นเรื่องง่ายและธรรมดากระทั่งสหรัฐอเมริกาเลิกให้มีการระบุสีผมลงในพาสปอร์ทตั้งแต่ปี 1968 (เพราะมันจะมีประโยชน์อะไรถ้าสาวๆ เปลี่ยนสีผมได้เองตามใจชอบ)

ปัจจุบันเทรนด์สีผมในโลกส่วนใหญ่มักมาและไปพร้อมกระแสภาพยนต์โดยมีดาราฮอลลีวู้ดเป็นผู้นำ ทุกวันนี้เราแทบไม่สามารถเปิดทีวีโดยไม่เจอโฆษณาน้ำยาเปลี่ยนสีผม 

ผลสำรวจของสหรัฐอเมริกาในปี 2015 ระบุว่าผู้หญิงอเมริกันกว่า 70% เคยผ่านการย้อมผมอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต และถ้าคิดในแง่ประวัติศาสตร์ การย้อมผมก็เป็นสิ่งที่อยู่ และจะคงอยู่ต่อไป ตราบใดที่มนุษยชาติยังดำรงอยู่

.

ติดตามบทความของเพจพื้นที่ให้เล่า ได้บน LINE TODAY ทุกวันเสาร์

.

อ้างอิง

1 / 2 / 3

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0