ผิดตรงไหน? มี“เมีย” มากกว่า 1 คน!
วรั้ยตั่ยแล้ววววว เจ้เห็นข่าวสามีของ “เป้ย ปานวาด” ไปกิ๊กกั๊กกับสาวนิรนาม อุ๊ปส์! จริง ๆ ก็ไม่นิรนามนะคะ เพราะว่าชาวเน็ตก็ขุดไปขุดมาจนเจอตัวแล้วว่าสาวนางนี้ชื่อว่าอะไร เจ้ก็แอบไปส่องเหมือนกัน เห็นว่าปิด IG ไปแล้ว แต่ยังเจอเฟซบุ๊กอยู่ค่ะคุณ แต่แบบเจ้ก็ไม่รู้หรอกนะคะว่าจริงเท็จประการใด ชาวไลน์ทูเดย์ก็ต้องใช้วิจารณญาณมาก ๆ ด้วยนะคะ อย่าเพิ่งรีบแหกอะไรใคร เดี๋ยวจะโป๊ะแตกเอาได้ แต่แบบ เห็นดารงดารามากมายไปเม้นให้กำลังใจ เป้ยกันเพียบ!!! ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหญิงของวงการอย่าง คุณแอฟ ทักษอร ที่ก็เคยมีข่าวทำนองนี้มาแล้วเหมือนกัน
สวยเพียบพร้อมอย่างมาดามหลาย ๆ ท่านยังโดน เจ้ละไม่อยากจะคิดเล้ยยยย ว่าถ้าเจ้จะมีผอสระอัวสักคนเนี่ย เจ้จะต้องใช้วิธีไหนถึงจะคุมได้อยู่หมัด แต่คิดไปคิดมา เจ้ว่านะ เจ้จะเอาอย่างคุณอรุณาแห่ง #เมีย2018 ค่ะคุณ นี่มันปีไหนกันแล้ว เราต้องสตรองงงงง เราอย่าไปยอมเด็ดขาด บอกเลยว่าต่อให้กันยาแท็กทีมมากับพลอยใส เจ้ก็จะมิแคร์ใด ๆ
เออ แต่พอเห็นข่าวแบบนี้มาก ๆ เข้า เจ้ก็เลยมานึก ๆ ดูว่าทำไมถึงมีข่าวแบบนี้มาได้ ในเมื่อสมัยก๊อนนนนนนนน แบบย้อนไปหลาย ๆ ปี ก็จะเห็นว่าผู้ชายสมัยก่อนเขาก็มีเมียกันกันมากมายหลายคนนี่คะ พูดง่าย ๆ ก็คือสมัยนี้เป็นวัฒนธรรม "ผัวเดียวเมียเดียว" ในขณะที่เมื่อก่อนเป็น "ผัวเดียวหลายเมีย"
มา ๆ เจ้จะเล่าให้ฟัง คือสมัยก่อนเนี่ยผู้ชายจะมีเมียหลายยยยยยคน ไม่ว่าจะเป็นคนระดับไหนก็ตาม ตั้งแต่ชนชั้นธรรมดาสามัญลามไปจนถึงชนชั้นสูงแน่ะค่ะ ซึ่งทั้งหมดมันก็เป็นเพราะค่านิยม ความเชื่อ รวมถึงกลไกทางสังคมที่ทำให้คนไทยในสมัยนั้นให้ความสำคัญกับเพศชายมากกว่าเพศหญิง แถมกฎหมายหลาย ๆ ข้อยังเปิดโอกาสให้เพศชายมีสถานะเหนือเพศหญิงในหลาย ๆ ด้านด้วยเลยค่ะคุณเอ๊ย ตายแล้วววววว นี่เจ้วิชาการเกินไปปะคะเนี่ย เอาเถอะค่ะ เข้าใจก็อ่าน ไม่เข้าใจก็อ่านผ่าน ๆ ไปละกันนะคะ
ในสมัยอยุธยาเนี่ยจะมีกฎหมายที่เรียกกันว่า "กฎหมายลักษณะผัวเมีย" ฉบับที่ตราขึ้นในปี พ.ศ.1904 ก็ระบุกันชัด ๆ เลยว่าผู้ชายจะมีเมียกี่คนก็มีไป แล้วก็ได้แบ่งเมียออกเป็น 3 ประเภทคือ
1.เมียกลางเมือง (เมียหลวง)
2. เมียกลางนอก (เมียน้อย)
3. เมียกลางทาษี (เมียที่เป็นทาส) หมายถึง ผู้หญิงที่อาจจะมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจขั้นรุนแรงที่ฝ่ายชายไถ่ตัวมาให้อยู่เป็นเมีย
ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง จันดารา พ.ศ.2544
แล้วนี่รู้ปะคะว่ากฎหมายในสมัยนั้นบอกว่าสามีสามารถขายบุตรและภรรยาเป็นทาสได้อีกด้วย โอ๊ยยยยย เจ้จะบ้าตายยยย คนอะไรขายลูกเมียไปเป็นทาสอะ นี่แหละค่ะคืออีกปัจจัยที่ทำให้ผู้ชายมีเมียหลายคน ขายกันอย่างกะผักกะปลา ไม่ไหวอะ บุญของเจ้ที่เกิดมาในยุคปัจจุบันนะคะ
ละที่พีคกว่านั้นนะคะ ในกลุ่มชนชั้นสูงเนี่ย จำนวนเมียก็ไปสัมพันธ์กับสถานะทางเศรษฐกิจและการเมืองด้วยค่ะ อย่างที่มีนักประวัติศาสตร์เคยวิเคราะห์ไว้ว่าการที่กษัตริย์มีนางสนมหลายคนก็เป็นเพราะความต้องการเสริมอำนาจทางการเมืองด้วย คือว่าการเอาผู้หญิงที่เป็นลูกของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักมาเป็นเจ้าจอมก็เหมือนเกี่ยวดองกันกันเหล่าข้าราชการ ยิ่งมีเจ้าจอมหลายคนก็ถือว่าเป็นเครื่องประดับบารมี แถมยังป้องกันข้าราชการผู้ใหญ่คิดกบฏด้วย
แนวคิดเรื่อง "ผัวเดียวเมียเดียว" อยู่คู่สังคมไทยมาตั้งแต่นานนมเรื่อยมาจนถึงช่วงประมาณสมัยรัชกาลที่ 6 มีผู้ให้ความสำคัญกับแนวคิดเรื่อง "ผัวเดียวเมียเดียว" มากขึ้น เพราะถูกมองว่าเป็นเรื่องทันสมัย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงสนับสนุนแนวคิดนี้เหมือนกันนะคะ แต่ก็ยังไม่มีกฎหมายเรื่องนี้ออกมาจริงจังเลย
จนกระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีทรงอภิเษกสมรสตามกฎมณเฑียรบาลเป็นคู่แรกและยังทรงจดทะเบียนแต่งงานด้วยกัน ถือว่าเป็นการเริ่มธรรมเนียมปฏิบัติของการครองชีวิตคู่แบบที่ไม่เคยปรากฏในสังคมไทยมาก่อน และในรัชกาลที่ 7 นี้เองมีการตรากฎหมาย "พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะผัวเมีย พ.ศ.2473" ขึ้นมา
จำได้ใช่มะคะที่เจ้เล่าถึงกฎหมายลักษณะผัวเมียตั้งแต่ปีพ.ศ.1904 อะค่ะ ก็มีแก้ไขกันมาเรื่อย ๆ จนมาถึงสมัยร.7 ก็แก้อีก โดยฉบับนี้มีสาระสำคัญคือนี่เป็นกฎหมายฉบับแรกที่รับรองสถานะหญิงที่เป็นภรรยาด้วยทะเบียนสมรสและการหย่า
เนี่ยค่ะเนี่ย ค่านิยม "ผัวเดียวเมียเดียว" เพิ่งจะมีกันจริง ๆ จัง ๆ ยังไม่ถึง 100 ปีเลยค่ะคุ้ณณณณณ พูดตรง ๆ ว่าเจ้ก็ดีใจนะคะที่ประเทศเรามีกฎหมายแบบนี้ ดีกว่าสมัยก่อนตั้งเยอะแยะ
เจ้ว่าเดี๋ยวนี้คงไม่น่ามีเหตุผลไหนจำเป็นให้ผู้ชายต้องมีเมียหลายคนแล้วมั้งคะ มีคนเดียวก็เลี้ยงดูกันแทบจะไม่ไหวแล้ว เอ้า! หนุ่ม ๆ คนไหนที่อ่านบทความนี้แล้วอยากจะรับเจ้ไปเลี้ยงดูสักคนก็คอมเมนต์มาได้นะคะ เดี๋ยวเจ้จะไปตามอ่าน แล้วก็ถ้ารับเจ้ไป ห้ามมีใหม่เด็ดขาดนะ เจ้ไม่ยอมจริง ๆ ด้วย แล้วก็ถ้าเมียน้อยคนไหนอ่านอยู่ตรงนี้ เจ้บอกเลยนะคะว่า เจ้คือแกนนำทีมเมียหลวง !
