*อ่านเรื่องย่อซีรีส์ "Mother เรียกฉันว่า…แม่" ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องได้ที่ LINE TODAY
ปราชญ์แจ้งข่าวให้วรินทราทราบว่าตอนนี้ทิชาถูกควบคุมตัวเอาไว้ที่จังหวัดภูเก็ต แต่วันรุ่งขึ้นจะถูกส่งตัวกลับไปดำเนินคดีที่น่าน ทิชาสารภาพและยอมรับผิดทั้งหมดเพราะไม่อยากให้ทุกคนต้องมาร่วมรับผิดชอบ ส่วนฟ้าใสอยู่ที่ไหนไม่มีใครให้คำตอบ รู้เพียงว่าอยู่ในที่ปลอดภัยแล้วเท่านั้น ในขณะที่มัลลิกาอาการทรุดหนัก ตอนนี้อยู่ห้อง ICU ที่โรงพยาบาลในภูเก็ต
วรินทราขอให้ปราชญ์ช่วยหาทางติดต่อให้ ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้ย้ายมารักษาที่กรุงเทพ วรินทราจะดูแลค่ารักษาพยาบาลให้เอง แม้ว่าจูนจะคัดค้านแต่วรินทรายังยืนยันว่าเพราะมัลลิกาเป็นแม่แท้ ๆ ของทิชา ทิชาก็คงต้องการให้วรินทราช่วยมัลลิกาเหมือนกัน จูนจับได้ว่าวรินทรายังไม่ยื่นเอกสารขอถอนชื่อทิชาออกจากการเป็นบุตรบุญธรรม แต่จูนกับเมย์ก็เข้าใจและยอมรับว่าไม่ว่าตอนนี้จะอยู่ในสถานะใดทิชาก็ยังเป็นพี่สาวของพวกเธอ ครอบครัวเดียวกัน ยังไงก็ไม่ทิ้งกัน
1 เดือนผ่านไป เมื่อความจริงทุกอย่างถูกเปิดเผย ทราย ถูกควบคุมตัวข้อหาทำร้ายร่างกาย กักขังหน่วงเหนี่ยวผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี ส่วนตั้ม ที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุก็ถูกตั้งข้อหาคดีลักพาตัว ใช้กำลังประทุษร้าย กักขังหน่วงเหนี่ยว เยาวชนอายุต่ำกว่า 15 ปี เพื่อเรียกค่าไถ่ พกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันและยังมีคดีเก่าที่ต้องทำการสืบสวนเพิ่มเติมหลังจากได้หลักฐานใหม่จากคดีนี้ว่านายตั้มอาจเคยฆาตกรรมลูกชายแท้ ๆ ของตัวเองมาก่อน โดยทรายรู้เรื่องแต่ช่วยปกปิดความผิด จึงต้องถูกดำเนินคดีด้วย
ระหว่างการพิจารณาคดีฟ้าใสหรือที่ตอนนี้ต้องกลับไปเป็นเด็กหญิงของขวัญต้องถูกแยกไปตอบคำถาม โดยมีนักจิตวิทยาเด็กเป็นผู้ถามคำถาม และคอยดูแลของขวัญอย่างระมัดระวังที่สุดเพราะในคดีนี้คนที่จะบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดได้คือของขวัญ ซึ่งการที่ของขวัญต้องย้อนคิดถึงเรื่องราวอันน่าเศร้าและน่ากลัวในอดีตอาจกระทบกระเทือนจิตใจของเด็กน้อยได้
“น้าอยากให้หนูลองนึกย้อนถึงวันที่หนูกลัวที่สุด วันนั้นเกิดอะไรขึ้น ค่อย ๆ คิดนะ แล้วถ้าหนูไม่โอเคเมื่อไหร่ เราจะหยุดกันทันที โอเคมั้ย”
ของขวัญนึกย้อนไปถึงวันที่เธอรู้สึกหวาดกลัวที่สุดตามคำขอของนักจิตวิทยา
“ครั้งสุดท้าย อาตั้มให้หนูใส่ชุดของแม่ แล้วก็เอาลิปสติกของแม่มาทาปากหนู แล้วก็ฉีดน้ำหอมให้หนู ดมหนู บอกว่าหนูไม่สกปรกแล้ว หนูกลัวมากเพราะอาตั้มตะโกนเสียงดัง แล้วบอกว่าถ้าหนูส่งเสียง อาตั้มจะฆ่าหนูเหมือนที่ฆ่าน้องตาต้า” เด็กน้อยเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
“แล้วหนูทำยังไงคะ”
“หนูจำไม่ได้ รู้ตัวอีกทีเห็นแม่กลับมาบ้าน แม่โกรธหนูมาก แม่ผลักหนูล้มลงแล้วก็เอาผ้าขี้ริ้วมาเช็ดหน้าหนู แม่ตีหนู บอกว่าหนูน่าเกลียด”
“แล้วแม่ก็จับหนูใส่ถุงขยะ เอาหนูไปทิ้งไว้หน้าบ้าน”
“หนูรู้มั้ยว่าทำไมแม่ถึงทำแบบนั้น”
“แม่คงจะทำโทษหนูมั้งคะ แม่ไม่ชอบเวลาที่หนูเอาของแม่มาเล่น”
“แล้วหนูทำยังไงต่อ หนูออกมาได้ยังไง”
“ครูทิชาช่วยหนูออกมา ถ้าวันนั้นครูทิชาไม่ช่วยหนูเอาไว้ หนูก็คงตายไปแล้ว”
ทรายกรีดร้องปฏิเสธเสียงดังลั่น “ไม่จริง! ฉันไม่ได้ทำแบบนั้น ของขวัญมันโกหก ไม่จริง!!”
“จากพยานหลักฐานที่ได้จากการนำสืบ ศาลมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต” ทรายได้ยินคำพิพากษาก็ตกใจจนเป็นลมล้มทั้งยืน
ในเมื่อทรายโดนตัดสินว่ามีความผิดและถูกลงโทษอย่างรุนแรงสูงสุด ฝั่งทิชาก็ดูเหมือนจะมีความหวังว่าจะรอดหรือรับโทษเพียงเล็กน้อย ปราชญ์มีหลักฐานมากมายที่จะแสดงให้ศาลเห็นได้ว่าทิชาได้ช่วยเหลือและดูแลของขวัญด้วยความรักมาโดยตลอด แต่ทิชากลับปฏิเสธไม่ขอสู้คดีและขอยอมรับโทษตามคำพิพากษาของศาล เธอไม่ต้องการแสดงหลักฐานหรือต่อสู้ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเธอไม่ต้องการดึงให้ปราชญ์หรือวรินทรา รวมทั้งมัลลิกา จูน และเมย์ ทุกคนที่รู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้ต้องพลอยมาร่วมรับผิดชอบด้วย แต่ยังมีคำถามอีกข้อที่อัยการต้องการให้ทิชาอธิบาย ทำไมทิชาถึงเลือกพาของขวัญหนีออกมา ไม่แจ้งความหรือดำเนินการตามกฎหมายให้ถูกต้อง
“เพราะฉันต้องทำเดี๋ยวนั้น ฉันต้องช่วยเค้าเดี๋ยวนั้น ฉันไม่อยากให้ของขวัญต้องมีชีวิตที่อยู่ในฝันร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉันรู้สึกว่าฉันจะต้องปกป้องเด็กคนนี้ ฉันแค่อยากให้เค้าปลอดภัย ฉันขอโทษที่เห็นแก่ตัวและสร้างความเดือดร้อนให้ใครหลาย ๆ คน ฉันเสียใจ แต่ฉันเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าถ้าจะต้องรับโทษฉันก็จะยอมรับ ฉันจะไม่ให้การพาดพิงถึงใครทั้งนั้น ฉันขอรับผิดคนเดียว ฉันคิดทบทวนดีแล้ว ไม่ว่าจะกี่ร้อยกี่พันครั้ง ฉันก็จะเลือกทำแบบเดิม เพราะฉันรักเค้าเหมือนลูกของฉัน”
ศาลตัดสินว่าทิชา มีความผิดคดีอาญามาตรา 317 พรากผู้เยาว์ไปจากบิดา มารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่ หกหมื่นถึงสามแสนบาท แต่ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำความผิดของจำเลย เป็นไปเพื่อปกป้องผู้อื่นจากภยันตราย และตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน ผู้เสียหายก็ได้รับการดูแลจากจำเลยอย่างดี ศาลจึงพิพากษาลงโทษขั้นต่ำแก่จำเลย เป็นจำคุก 3 ปี ปรับหกหมื่นบาท แต่คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นคุณแก่การพิจารณาคดี เห็นควรลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่ง คงเหลือโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน ปรับสามหมื่นบาท
ทิชายอมรับคำตัดสินอย่างสงบ วรินทราเองก็เช่นกัน แม้ว่าจะเสียใจมากแต่เธอก็ยอมรับการตัดสินใจของลูกสาว แต่ข่าวร้ายจริง ๆ เพิ่งเดินทางมาถึง มัลลิกาสิ้นใจแล้ว แต่ก่อนจะจากไปมัลลิกาได้รวบรวมกำลังช่วงสุดท้ายเขียนจดหมายถึงวรินทรา ข้อความว่า “ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันเป็นผู้ให้กำเนิดแต่คุณคือแม่ตัวจริงของทิชา”
ทิชาได้รับอนุญาตให้มาเคารพศพของมัลลิกา ทิชาถูกควบคุมตัวมาในชุดนักโทษ แม้ว่าวรินทราจะคิดถึงทิชามากแค่ไหนแต่ก็เข้าไปกอดหรือพูดคุยกันไม่ได้
ทิชายกมือไหว้รูปหน้าศพ “แม่คะ หนูสบายดี แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ หนูจำเรื่องทั้งหมดได้แล้ว หนูขอโทษที่ก่อนหน้านี้หนูโกรธแม่ ตอนนี้หนูรู้แล้วว่าแม่พยายามจะปกป้องหนู แม่รับผิดแทนหนู แล้วก็เก็บความลับไว้กับตัวเองมาตลอด ไม่ต้องทำแบบนั้นแล้วนะแม่ หนูจะยอมรับโทษ ชดใช้ความผิดที่หนูทำ หนูจะไม่หนีอีกแล้ว หลับให้สบายนะคะแม่ เราคงได้พบกันอีก หนูไม่เคยเชื่อเรื่องชาติหน้า แต่ถ้ามันมี หนูก็อยากเกิดเป็นลูกแม่อีกครั้งนะคะ” ทิชามีเวลาบอกลาแม่แท้ ๆ ของเธอเพียงเท่านี้ แล้วก็ต้องกลับไปรับโทษทัณฑ์ตามเดิม
4 เดือนต่อมา เมย์คลอดลูกเป็นเด็กผู้หญิง ตั้งชื่อว่ามาตา แม้เด็กจะตัวเล็กดูบอบบางแต่ก็ร้องไห้เสียงดัง จนเมย์เชื่อว่าลูกของเธอเป็นนักสู้ตั้งแต่เกิด วรินทราภูมิใจในตัวเมย์แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้คนที่ทำตัวน่าเป็นห่วงคือจูน ที่หลังจากจบเรื่องทิชาก็ทำตัวยุ่งตลอดเวลา ดูไม่ค่อยร่าเริงเหมือนเคย เมย์ปลอบใจวรินทราว่าจูนมีวิธีการรับมือกับความเศร้าแบบนี้ เดี๋ยวพอรู้สึกสบายใจขึ้นก็จะกลับมาเป็นปกติ วรินทราได้ยินดังนั้นก็รู้สึกอยากขอโทษเมย์
“แม่ขอโทษนะ ที่แม่เอาแต่พูดว่าให้ทุกคนเข้มแข็งแล้วก็อดทน แม่เพิ่งรู้ว่าคำพูดไม่กี่คำ ทั้ง ๆ ที่เป็นความหวังดี แต่กลับกลายเป็นการกดดัน ทำให้ลูก ๆ ต้องเหนื่อยกันมากขนาดนี้”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ พวกหนูเข้าใจความหวังดีของแม่ แม่เองก็เหมือนกันนะคะ ไม่ต้องเข้มแข็งและคอยปกป้องพวกเราตลอดหรอก จะอ่อนแอบ้างก็ได้ พวกหนูโตแล้ว ให้หนูเป็นฝ่ายปกป้องแม่บ้างนะ"
“ดูพูดสิ แบบนี้แสดงว่าเป็นแม่เต็มตัวแล้วนะ”
“แต่หนูจะสอนมาตาเหมือนที่แม่สอนหนูนะคะ เข้มแข็งและอดทน เพราะเค้าต้องเจออะไรอีกหลายอย่าง” ตั้งแต่เกิดเรื่องก็พอจะมีวันนี้ที่วรินทรารู้สึกภูมิใจและยิ้มออกได้บ้าง
ปราชญ์ตามหาของขวัญจนเจอ ปราชญ์แอบไปหาของขวัญที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า ของขวัญยังเฝ้ารอให้ทิชามารับ ของขวัญยังขอให้ครูและเพื่อนที่สถานสงเคราะห์เรียกเธอว่าฟ้าใส ฟ้าใสไม่รู้เลยว่าตอนนี้ทิชาอยู่ที่ไหนเป็นอย่างไรบ้าง ปราชญ์จึงให้ฟ้าใสเขียนจดหมายถึงทิชา
“แม่คะ หนูคิดถึงแม่มาก แต่หนูไม่เหงาหรอกนะคะ เพราะหนูมีวิธีที่ทำให้หายเหงา ที่ที่แม่อยู่มีนกมั้ยคะ บ้านที่หนูอยู่มีนกเยอะแยะเลย นกกระจอก นกเขา อีกา หนูได้ยินเสียงนกกาเหว่าด้วย แต่ยังไม่เคยเห็นตัวของมัน ถ้าเมื่อไหร่ที่หนูเห็นนก หนูก็จะคิดถึงแม่ แล้วหนูก็จะบอกนกให้บินไปหาแม่ ให้ไปบอกแม่ว่า หนูคิดถึงแม่ ถ้าแม่มองบนฟ้าแล้วเห็นนกบิน หรือแม่ได้ยินเสียงนกกาเหว่าเมื่อไหร่ แปลว่าหนูกำลังบอกรักแม่อยู่นะ” ทิชาอ่านจดหมายของฟ้าใสแล้วร้องไห้ด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ
ทิชาอยากเขียนจดหมายตอบกลับไปให้ฟ้าใส แต่ปราชญ์ก็ไม่กลับมาเยี่ยมสักที ทิชาร้อนใจกลัวว่าฟ้าใสจะมีคนมารับอุปการะไปก่อน ทิชาเลยขอให้จูนที่มาเยี่ยมช่วยเอาจดหมายที่ทิชาเขียนถึงฟ้าใสให้จูนเป็นคนช่วยส่งให้ จูนแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยที่ทิชายังไม่ตัดใจจากฟ้าใส ทั้ง ๆ ที่ความเป็นไปได้ที่ทิชากับฟ้าใสจะได้กลับมาเจอกันนั้นมีริบหรี่เต็มที แต่เมื่อจูนได้อ่านเนื้อความในจดหมาย จูนก็รู้สึกทั้งสงสารทั้งเห็นใจทิชา
“ฟ้าใสลูกรัก แม่ก็คิดถึงลูกมากเหมือนกัน แม่ลองทำตามคำแนะนำของหนูด้วยนะ ที่ที่แม่อยู่ไม่ค่อยมีนก แล้วแม่ก็ไม่ได้เอากล้องดูนกมาด้วย แต่ก็พอมีให้เห็นอยู่บ้าง ทุกครั้งที่เห็นแม่เลยรู้สึกดีใจเป็นพิเศษ แม่เสียใจที่เราไม่มีโอกาสได้ลากันแบบดี ๆ เลย ความจริงแม่อยากให้ความทรง จำครั้งสุดท้ายที่เราได้พบกัน มีแต่รอยยิ้มมากกว่า แม่ขอโทษที่ไม่สามารถทำตามที่รับปากเอาไว้ได้ แต่แม่ก็อยากขอบคุณหนูที่ผจญภัยไปด้วยกัน การได้เป็นแม่ของหนูทำให้แม่รู้จักและเข้าใจความรักที่ยิ่งใหญ่”
“ถ้าแม่ไม่ได้ตัดสินใจเป็นแม่ของหนูแม่ก็คงไม่มีวันได้เจอกับคุณยายซุ่มซ่ามอีก และแม่ก็คงไม่ยอมลดทิฐิกลับมาขอความช่วยเหลือจากคุณยายรินทร์ น้าเมย์ก็ อาจจะไม่สู้ต่อ หนูรู้มั้ยตอนนี้ฟ้าใสมีน้องสาวอีกคนแล้วนะ ชื่อน้องมาตา น้องน่ารักแล้วก็แข็งแรงดี หนูเป็นคนทำให้น้องมีโอกาสมีชีวิตอยู่นะ”
“ตลอดเวลาที่แม่อยู่ที่นี่แม่คิดตลอดว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ แม่จะพาหนูหนีไปอีกมั้ย คำตอบที่ได้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม แม่ไม่เสียใจที่เลือกแบบนั้น แม่เชื่อว่าเป็นโชคชะตาที่ทำให้แม่ได้เป็นแม่ของหนู”
“สิ่งที่แม่อยากบอกฟ้าใสก็คือ ถ้ามีใครมาขอรับอุปการะหนูไปเป็นลูก หนูไม่ต้องลังเลหรือเป็นห่วงแม่นะ แม่ต้องการเห็นหนูมีชีวิตที่ดี มีความสุข แม่ไม่เคยเลิกรักหนูเลย แต่แม่ไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นแม่ของหนู แม่อาจจะต้องรอจนฟ้าโตเป็นผู้ใหญ่ แล้ววันนึงเราคงจะได้พบกันอีก”
“ฟ้าใสจำนิทานเรื่องฮันเซลกับเกรเทลได้มั้ย ที่ฮันเซลโรยก้อนหินเอาไว้จะได้หาทางกลับบ้านได้ พวกนกอพยพก็เหมือนกัน มันไม่เคยหลงทางเพราะบินไปหาที่อบอุ่น เสมอ ถ้าเรายังจำความอบอุ่นของอ้อมกอดและการจับมือกันเอาไว้ได้ นั่นแหละคือเครื่องนำทางของเรา เราจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้งแน่นอน”
วันเวลาผันผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทิชาไม่ได้ยินข่าวจากฟ้าใสอีกเลย จนกระทั่งวันหนึ่งที่ปราชญ์นำข่าวร้ายมาบอกว่ามีคนมารับอุปการะฟ้าใสไปแล้ว ทิชาแม้จะเสียใจแต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกยินดีที่ฟ้าใสได้มีครอบครัวที่อบอุ่น ปราชญ์บอกว่าจะช่วยตามหาฟ้าใสเมื่อทิชาพ้นโทษแต่ทิชาไม่ต้องการ ทิชาอยากให้ฟ้าใสมีชีวิตที่สงบสุข ไม่ต้องคิดถึงทิชาอีกแล้ว เธอเชื่อว่ามัลลิกาก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน แล้ววันหนึ่งเมื่อฟ้าใสโตขึ้นก็จะเข้าใจเหตุผลของแม่คนนี้
และแล้วก็ถึงวันที่ทิชาพ้นโทษ วรินทรา เมย์ ปราชญ์มารอรับทิชา ไร้เงาของจูน วรินทราดีใจที่สุดที่ทิชาลูกรักได้รับอิสรภาพและกลับมาสู่อ้อมอกของเธออีกครั้ง ระหว่างที่ทุกคนกำลังแสดงความยินดีกันอยู่นั้น เสียงคุ้นหูร้องเรียก แม่! ดังขึ้น ทิชาหันมองตามเสียง ฟ้าใสนั่นเอง ฟ้าใสวิ่งโผเข้ามากอดทิชา จูนเป็นคนพาฟ้าใสมา ที่แท้ก็เป็นจูนนั่นเองที่ไปขออุปการะฟ้าใสมาจากสถานสงเคราะห์ จูนไม่ยอมบอกใครเพราะกลัวว่าแผนจะล้มเหลวเลยเดินเรื่องทุกอย่างด้วยตัวเอง ตั้งใจรอวันที่ทิชาเป็นอิสระก็จะพาฟ้าใสมาหาทิชา และวันนี้ก็มาถึง ทิชาไม่รู้จะขอบคุณจูนยังไง จูนได้แต่ตอบอาย ๆ ว่าตอนนี้ตามกฎหมายฟ้าใสก็มีจูนเป็นแม่อีกคนแล้วนะ
วันนั้นเป็นวันแดดแรง แต่อากาศร้อนกลับไม่ทำให้ทุกข์ใจ เพราะในหัวใจของทุกคนรู้สึกชุ่มฉ่ำ เต็มตื้น เหมือนมีน้ำเย็นชื่นรดลงบนพื้นดินที่แห้งแล้ง เมย์แอบสังเกตเห็นต้นไม้แห่งความรักต้นใหม่กำลังเติบโตขึ้นระหว่างหัวใจของปราชญ์กับทิชา
“แม่คะ แม่รักหนูมั้ย”
“รักสิจ๊ะ รักมาก ๆ ๆ ๆ ๆ”
“เพราะอะไร”
“นั่นสินะ เพราะอะไร ทำไมถึงรักมากขนาดนี้นะ”
“เพราะแม่เป็นแม่ของหนูไง”
“จริงด้วย ไม่เห็นต้องมีเหตุผลมากไปกว่านี้เลยเนอะ”
“แม่คะ ต่อจากนี้เราจะไปที่ไหนกัน”
“ไม่รู้สิ ไปที่ไหนก็ได้ แต่เราจะไม่แยกจากกันอีกแล้วนะ”
“ค่ะ แม่”
- จบบริบูรณ์ -
>> คลิกกลับไปหน้าหลัก>> https://today.line.me/th/pc/article/Zn1p5Q
ความเห็น 7
Om
แค่อ่านยังร้องไห้หนักมาก ทราบซึ้งในความรักของแม่ ดีใจที่ตอนจบดี 😭😭😭
10 ก.ค. 2563 เวลา 17.28 น.
💗🍬3 Nok 59🍌🍭
เข้าใจเลยความรู้สึกรักลูกคนอื่นเหมือนลูกเราเลย555 ขี้ตู่
06 พ.ค. 2563 เวลา 08.26 น.
Ǥ尺äy 𝕄äsŧeΓ
ทุกบริบทในความเป็นแม่
มันคือความมีอยู่จริงของความรักอันบริสุทธิ์ และจะมีอยู่ตลอดไป
04 พ.ค. 2563 เวลา 11.15 น.
ขอบคุณละครดีๆที่ทำให้รู้ว่าความรักแท้ของแม่-ลูก ที่ไม่ใช่สายเลือดมีอยู่จริง..
04 พ.ค. 2563 เวลา 11.06 น.
N A N N 😬🧸
รักเรื่องนี้มากๆ แค่อ่านยังน้ำตาคลอเลย เป็นละครที่สนุกและแสดงได้สมบทบาททุกคน
04 พ.ค. 2563 เวลา 10.55 น.
ดูทั้งหมด