โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เทพประจำตัว - อุ๋ย นที เอกวิจิตร์

THINK TODAY

อัพเดต 03 ส.ค. 2561 เวลา 07.50 น. • เผยแพร่ 03 ก.ค. 2561 เวลา 04.20 น. • อุ๋ย นที เอกวิจิตร์

เทพเจ้าเข้าทรง เป็นเรื่องที่วนเวียนอยู่ในหน้าข่าวประเทศไทยมาตลอดหลายสิบปี เหมือนละครหลังข่าวเรื่องฮิต ที่รีเมคกันอยู่เรื่อยๆ แล้วคนก็ยังให้ความสนใจกันอยู่ตลอด เป็นเหมือนของคู่บ้านคู่เมืองที่จะไม่มีวันหายไปจากยุคอนาล็อก สู่ยุคดิจิตัลเข้าทรงไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊ก

ถ้า Hollywood มีเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่เป็นซุปเปอร์แมน แบทแมน หรือทีมอเวนเจอร์ ญี่ปุ่นมียอดมนุษย์หลากสี มีไอ้มดแดงอุลตร้าแมน บ้านเราก็มีเหล่าทวยเทพนี่แหละครับที่คอยเป็นกำลังใจในการต่อสู้ชีวิต ไม่เฉพาะการปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย หรือคลายกังวล ยังให้ความหวังเปรียบดังแสงสว่าง ปลายอุโมงค์อันมืดมิดในวันที่ 1 และวันที่ 16 ของทุกเดือนอีกด้วย

มนุษย์พึ่งพาและบูชาเทพเจ้า ความเชื่อเหล่านี้มีมาหลายพันปีในทุกวัฒนธรรมทั่วโลก คนที่เป็นสื่อกลาง ระหว่างโลกวิญญาณและมนุษย์ หรือที่เราเรียกกันว่าคนทรงก็มีในหลายวัฒนธรรม ทั้งแอฟริกา เอเชีย ละตินอเมริกา

จนถึงยุคปัจจุบันก็ยังมี (ประเทศไทยเราเยอะมาก) มีคนมักมาถามว่ามีจริงหรือเปล่า ของแบบนี้ ผมตอบไปก็เป็นแค่ความเห็น แต่ความจริงเป็นอย่างไรไม่ทราบ เพราะไม่ใช่เจ้าตอบไม่ได้จริงๆ ไม่เคยองค์ลง เคยแต่องค์ขึ้น (องค์อะไรคงไม่ต้องบอก) แต่หลายๆ คนที่ถามก็ดูเหมือนมีคำตอบในใจอยู่แล้ว เพราะคนที่ถามก็ยกตัวอย่าง ร่างทรงโดเรมอน ร่างทรงตัวละครจากวรรณคดีต่างๆ มาเป็นตัวอย่าง 

หลายคนเสพข่าวเหล่านี้เพื่อความบันเทิง หลายคอมเมนท์ในโลกโซเชียลจะพุ่งเป้าไปที่ลูกศิษย์ของร่างทรงเหล่านี้มากกว่าว่าเชื่อไปได้ยังไง แต่เท่าที่ผมสังเกตจากคลิปวิดีโอ ที่คนเอามาแชร์ในโลกโซเชียล งานรวมเทพจะมีแต่เทพไม่ค่อยมีแฟนคลับหรือลูกศิษย์ หรือเทพแต่ละองค์จะเป็นแฟนคลับกันเองก็เป็นไปได้

กลับมาที่เรื่องความเชื่อ ขึ้นชื่อว่าความเชื่อแล้ว ก็ใช้ศรัทธานำล้วนๆ ไม่ต้องใช้ปัญญาประกอบ เหตุผลไม่ต้องมี ก็เชื่อก็ศรัทธาในสิ่งนั้นแล้วมีกำลังใจ ศรัทธาของมนุษย์เปลี่ยนให้ต้นไม้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เปลี่ยนก้อนอิฐเป็นวัตถุมงคล ซึ่งก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลของแต่ละท่าน เพราะหลายศาสนาในโลกนี้ก็ศรัทธาในสิ่งที่มองไม่เห็น พิสูจน์ไม่ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน แต่ศาสนิกของหลายศาสนาก็มีที่เป็นคนดีของสังคมมีความสุขความสบายใจในแบบของเค้า แต่แบบที่ใช้ศรัทธาไปสร้างความเดือดร้อนต่อคนอื่นก็มีให้เห็นอยู่ อันนี้น่ากลัว

แปลว่าศรัทธาพาไปได้ทั้ง 2 ทาง เปรียบศรัทธาเป็นเครื่องยนต์ ยิ่งศรัทธาแรงกล้า ยิ่งพุ่งไปสู่คำตอบหรือเป้าหมายของศาสนานั้นๆได้เร็วมากขึ้น แต่เครื่องยนต์แรงถ้าหันไปผิดทิศผิดทาง ก็ยิ่งห่างไกลจากเป้าหมายมากขึ้น แรงขึ้น เร็วขึ้นสร้างความเดือร้อนได้มากขึ้น

ปัญญา ก็เปรียบเหมือนพวงมาลัย หรือหางเสือ ที่จะช่วยประคับประคอง ให้ถูกทิศทาง เพื่อไปให้ถึงจุดหมาย แต่ถ้ามีแต่ปัญญาขาดศรัทธา ก็หันไปหันมา ตั้งแต่คำถาม ก็ไม่ไปถึงไหนสักที ถ้ามี 2 อย่างพอๆ กันก็คงจะเป็นยานพาหนะชั้นดีที่จะพาเราไปสู่ชีวิตที่ดีอย่างที่ควรจะเป็น 

บางเรื่องเราไม่สามารถหาคำตอบได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ต้องมีศรัทธาที่จะทดลองต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอคำตอบว่าเหมือนสมมุติฐานที่เราตั้งไว้หรือไม่ เพราะฉะนั้นจะเชื่อเทพหรือเชื่อคนทรงเทพเจ้าองค์ไหน ก็ลองใช้ปัญญาประกอบกับศรัทธาด้วย เผื่อจะได้คำตอบ เช่น ถ้าเป็นเทพที่เราสักการะ สามารถดลบันดาลได้ทุกอย่าง กับแค่วัตถุของเซ่นไหว้ทำไมถึงต้องให้มนุษย์หามาให้ ทำไมเทพต้องมีค่าจ้าง ทำไมเทพเนรมิตเสื้อผ้าหน้าผมไม่ได้ ต้องให้มนุษย์หาชุดให้ 

ในทางกลับกันทุกสิ่งที่เทพมีมนุษย์เป็นคนเนรมิตให้ใช่หรือไม่ ลองตั้งคำถามดูบ้าง จะได้ฝึกใช้ปัญญาประกอบกับศรัทธา เพื่อหาคำตอบ การตั้งคำถามไม่ใช่การลบหลู่ เปรียบเหมือนผู้ใหญ่ที่มีเมตตา ถ้าเด็กสงสัยในการกระทำของท่านแล้วถามด้วยความเคารพ ผู้ใหญ่ที่น่าเคารพจิตใจดีมีเมตตาท่านคงเข้าใจและให้อภัย ไม่ถือสาหาความใดๆ 

คนเราในวันที่จิตใจอ่อนแอท้อแท้สิ้นหวัง ก็มองหาที่พึ่ง บางคนใช้จิตแพทย์ บางคนใช้ไสยศาสตร์ บางคนใช้ยา บางคนใช้ปัญญา มนุษย์แต่ละคนมีความเข้มแข็งในจิตต่างกัน มีปัญญาและศรัทธาต่างกันจึงใช้ตัวช่วยที่แตกต่างกัน แต่อยากชวนให้ลองคิดพิจารณาดูว่า ถ้าความศรัทธาของมนุษย์ ก่อให้เกิดเทพเจ้า แปลว่าถ้าเราศรัทธาในตัวเองมากพอ เราก็สามารกลายเป็นเทพประจำตัวที่ดลบันดาลชะตาชีวิตให้ตัวเราเองได้ใช่หรือไม่? 

มาลองเป็นเทพกัน

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0