โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

ข่าวดี ! เป็น “โรคเบาหวาน” ไม่ต้องฉีด “อินซูลิน” ให้เจ็บอีกต่อไป

TheHippoThai.com

เผยแพร่ 18 ก.ย 2561 เวลา 11.00 น. • Mr.Vop

ข่าวดี ! เป็น “โรคเบาหวาน” ไม่ต้องฉีด “อินซูลิน” ให้เจ็บอีกต่อไป

การฉีดอินซูลิน เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่ร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินที่คอยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้จากตับอ่อนเนื่องจากเซลล์สำคัญในการผลิตอินซูลินได้รับความเสียหาย ทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดนี้จำเป็นต้องมีการฉีดอินซูลินอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้มีระดับน้ำตาลในเลือดมากจนเกินไป แต่อย่างไรก็ตามการใช้อินซูลินก็ไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยมีความสุขแต่อย่างใดเพราะมันต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดจากการฉีดทุกครั้ง 

เพื่อพัฒนาวิธีการใหม่ๆในการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน ทีมนักวิจัยจาก  Cardiff and Vale University Health ในสหราชอาณาจักรจึงได้ทำการออกแบบยาชนิดใหม่ที่เมื่อทานเข้าไปแล้วจะไปช่วยฟื้นฟู beta cell ที่เสียหายไปมากกว่าร้อยละ 90 ในตับอ่อนของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ที่เป็นเซลล์สำคัญในการผลิตสารอินซูลินในร่างกายให้กลับมาใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพอีกครั้ง ซึ่งหากประสบผลสำเร็จนั่นหมายความว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ที่ได้รับยาดังกล่าวจะสามารถผลิตอินซูลินขึ้นได้เองในร่างกาย และพึ่งพาการฉีดอินซูลินน้อยลง จากผลการทดลองขั้นต้นทางคลีนิคในผู้ป่วยโรคเบาหวาน 2 รายที่ได้รับยาดังกล่าว พบว่า beta cell ในตับอ่อนมีการพื้นฟูขึ้นจริง และยังไม่มีผลข้างเคียงใดๆหลังได้รับยาไปนานกว่า 72 ชั่วโมง สำหรับในการทดลองขั้นต่อไปทางนักวิจัยกำลังตามหาอาสาสมัครจำนวน 8 คนที่มีอาการป่วยเป็นโรคเบาหวานมานานกว่า 2 ปีเพื่อทดสอบว่ายาชนิดนี้สามารถใช้ได้ผลกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมาเป็นระยะเวลานานหรือไม่ ส่วนในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ตับอ่อนยังสามารถสร้างอินซูลินได้แต่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ก็มีการให้ความเห็นว่าสามารถใช้ยาที่พัฒนาขึ้นในการรักษาได้เช่นเดียวกัน 

การพัฒนาวิธีการใหม่ๆสำหรับการรักษาโรคในครั้งนี้ จะสามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ผู้คนเป็นจำนวนมากได้ โดยหากการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานในครั้งนี้ประสบความสำเร็จ จะสามารถช่วยชีวิตผู้คนกว่า 400 ล้านคนทั่วโลกที่ทรมานกับโรคดังกล่าวได้

ที่มา iflscience.com

โดย Mr.Vop

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0