โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ขยะพลาสติกเพิ่มขึ้นถึง 6,300 ตันต่อวัน ผลจากที่คนไทยใช้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่

BLT BANGKOK

เผยแพร่ 20 เม.ย. 2563 เวลา 12.26 น. • BLT Bangkok

สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย เผยคนไทยส่วนใหญ่หันมาสั่งซื้ออาหารการกินสารพัดเมนูผ่านแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้น ทำให้ปริมาณขยะพลาสติกจากบริการฟู้ดเดลิเวอรี่เพิ่มขึ้นถึง 15% จึงขอให้คนไทยปฏิเสธรับพลาสติกที่ไม่จำเป็น เพื่อลดปริมาณขยะที่กระทบสิ่งแวดล้อม

“ขยะพลาสติกจากจากฟู้ดเดลิเวอรี่เพิ่มขึ้น 6,300 ตันต่อวัน”

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19  ทำให้เกิดปัญหาขยะหลายประเภทเพิ่มขึ้น โดยมีแหล่งกำเนิดมาจาก 2 กลุ่มหลักๆ คือ กลุ่มขยะจากการส่งอาหารออนไลน์ ผลจากมาตรการควบคุมโรค ทำให้ประชาชนอยู่บ้าน เลี่ยงการเดินทาง และไปจับจ่ายสินค้าตามตลาดนัด  ซึ่งประชาชนให้วิธีสั่งอาหารให้พนักงานมาส่งที่บ้านแทนการนั่งกินที่ร้าน ทำให้ปริมาณขยะจากฟู้ดเดลิเวอรี่ ประกอบด้วยถุงพลาสติก กล่องพลาสติก และพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นช้อน ส้อม ไม้จิ้ม เพิ่มขึ้น 15% หรือเพิ่มขึ้นเป็น 6,300 ตันต่อวัน จากปกติประเทศไทยผลิตขยะพลาสติก 2 ล้านตันต่อปี หรือประมาณ 1,500 ตันต่อวัน 

โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้นถึง 1,500 ตันต่อวัน จึงขอความร่วมมือประชาชนและผู้ประกอบการลดการใช้พลาสติกเท่าที่จำเป็น หรือปฏิเสธการใช้พลาสติกบางชนิด หรือนำกลับมาใช้ซ้ำ เพื่อลดการเพิ่มหรือสะสมของปริมาณขยะพลาสติกที่จะส่งผลต่อการกำจัดในอนาคต

นอกจากนี้ ยังพบว่าปริมาณขยะเศษอาหาร หรือขยะเปียกถูกทิ้งปะปนมากับขยะทั่วไปมีปริมาณเพิ่มขึ้น ไม่เพียงแต่เศษอาหารเดลิเวอรี่ ยังมีการปรุงอาหารที่บ้านด้วย 

“ขยะหน้ากากอนามัยใช้แล้ว เพิ่มขึ้นราว1.5 - 2 ล้านชิ้นต่อวัน”

ปริมาณขยะที่เกิดจากหน้ากากอนามัยใช้แล้วเพิ่มสูงขึ้นแล้วกลายเป็นขยะพิษ หรือขยะติดเชื้อ โดยมีปริมาณการทิ้งเพิ่มสูงขึ้นทั่วประเทศประมาณ 1.5 - 2 ล้านชิ้นต่อวัน โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้นถึง 150 ตันต่อวัน ที่พบถูกทิ้งอย่างถูกวิธีผ่านการทิ้งแบบคัดแยกขยะแล้ว 

แต่ยังมีที่ไม่รวมอยู่ในส่วนที่ทิ้งไม่ถูกวิธีปะปนกับขยะชุมชนทั่วไปด้วย จึงอยากขอให้ประชาชนควรแยกการทิ้งหน้ากากอนามัยใย้แล้วออกจากขยะทั่วไป แล้วนำไปทิ้งในถังขยะสีแดง หรือถังขยะอันตราย เพื่อให้ง่ายต่อการนำไปกำจัดด้วยการเผาผ่านเตาเผาชีวมวลที่มีระบบบำบัดมลพิษ มีอุณหภูมิความร้อนสูงถึง 1,000 องศาเซลเซียส สิ่งสำคัญประชาชนไม่ควรนำไปเผาเอง เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและมลพิษทางอากาศ 

“ขยะมีเชื้อโควิด-19 ต้องทิ้งอย่างระมัดระวัง เสี่ยงแพร่เชื้อ และก่อปัญหาระบบนิเวศ”

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา กล่าวว่า ถ้าพลเมืองทั้งประเทศ 70 ล้านคน ใช้หน้ากากอนามัยประมาณ 40 ล้านคน สร้างขยะเฉลี่ย 20 ล้านชิ้นต่อวัน เพราะบางคนอาจใช้ซ้ำ ขยะหน้ากากที่ผ่านการใช้งานแล้ว ปนเปื้อนสารคัดหลั่ง สิ่งสกปรกต่างๆ หรือแม้กระทั่งมีเชื้อโควิด-19 ต้องทิ้งอย่างระมัดระวัง

ซึ่งข้อแนะนำให้พับหน้ากากก่อนทิ้ง จะเป็นการเพิ่มการสัมผัสกับเชื้อโรค ทุกวันนี้ทิ้งปนกับขยะธรรมดา สร้างปัญหากับพนักงานเก็บขยะ กลุ่มคนเหล่านี้เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค และอาจกลายเป็นคนแพร่กระจายเชื้อโรคในวงกว้าง หากไม่ดูแลจะสร้างผลกระทบตามมา ที่ฮ่องกงก็เกิดปัญหาหน้ากาก ถุงมือทิ้งเกลื่อนกลาด บางส่วนไปโผล่ในทะเล หน้ากากเหล่านี้ย่อยสลายยาก ก่อปัญหาระบบนิเวศ ทุกวันนี้ยังไม่มีระบบรองรับกับขยะพวกนี้

“ขยะเพิ่มขึ้น ขณะที่มลพิษทางอากาศลดลงอย่างเห็นได้ชัด”

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โควิด -19 ยังส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม หลังมนุษย์ลดการทำกิจกรรมลงและทำงานอยู่บ้านมากขึ้น ทำให้ปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑลลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะปริมาณรถยนต์บนท้องถนนลดลง 

ขณะที่พื้นที่ท่องเที่ยวตามแหล่งธรรมชาติหลายแห่งเริ่มกลับมาฟื้นความสมบูรณ์ เช่น กรณีมีเต่ามะเฟือง เป็นเต่าทะเลขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ขึ้นมาวางไข่บนชายหาดแถวจังหวัดพังงา และภูเก็ตมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะช่วงต้นปีที่ผ่านมา หลังการท่องเที่ยวซบเซาทำให้มีนักท่องเที่ยวบนชายหาดลดลง 

ซึ่งผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย มองว่าช่วงเวลานี้เป็นจังหวะเหมาะที่รัฐบาลต้องวางแผนบริหารจัดการทรัพยากรของประเทศและการท่องเที่ยวให้เป็นระบบและจำกัดควบคุมปริมาณนักท่องเที่ยว เพื่อป้องกันหากสถานการณ์การท่องเที่ยวกลับมาเป็นปกติอาจจะทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมอีกครั้ง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...