รายงานการวิเคราะห์ของ Peterson Institute of International Economics (PIIE) ระบุว่าการถอดถอนบริษัทจีนออกจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐไม่ก่อให้เกิดประโยชน์
เพราะนอกจากจะไม่ได้เป็นการขัดขวางบริษัทเหล่านั้นจากการเข้าถึงตลาดทุนของสหรัฐแล้วยังไม่ได้ขัดขวางการเจริญเติบโตของจีนอีกด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนมาถึงจุดที่แย่ที่สุดในช่วงทศวรรษ และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐได้กลายเป็นปราการด่านสุดท้ายที่สร้างประเด็นความตึงเครียดให้กับทั้งสองประเทศ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาวุฒิสภาสหรัฐได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติซึ่งระบุว่าอาจมีการถอดถอนบริษัทสัญชาติจีนออกจากตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ และเมื่อเดือนที่แล้วประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาย้ำให้ผู้ดูแลหาวิธีการพิจารณาที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นสำหรับบริษัทของจีน
แต่รายงานจาก Peterson Institute of International Economics โดย นิโคลาส ลาร์ดี ระบุว่าบริษัทสัญชาติจีนยังสามารถหาวิธีระดมทุนจากนักลงทุนอเมริกันโดยวิธีอื่นๆ เช่น การปล่อยหุ้นนอกตลาดและการขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง
ปัจจุบันมีบริษัทสัญชาติจีน 230 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นแนสแด็กและนิวยอร์ค คิดเป็นหลักทรัพย์มูลค่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์
มีรายงานว่าบริษัทอเมริกันที่ทำธุรกิจลงทุนนอกตลาดหุ้น (private equity firms) ได้กว้านซื้อหุ้นของบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ นอกจากนี้ยังมีบริษัทของจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐจำนวนมากพยายามหาวิธีย้ายไปจดทะเบียน (secondary listing) ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงซึ่งเป็นศูนย์กลางการลงทุนนานาชาติในเอเซีย บริษัทสัญชาติจีนที่ได้ย้ายไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาทิ อาลีบาบา เจดีดอทคอม (JD.com) และเนทอีส (NetEase)
ระบบเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคการเงินของทั้งสองประเทศมหาอำนาจที่มีความจำเป็นต้องพึ่งพากันมากยิ่งขึ้นทำให้การถอดถอนบริษัทสัญชาติจีนออกจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะออกมาย้ำนโยบายตัดขาดกับประเทศจีนก็ตาม
นอกจากนี้ยังมีสถาบันการเงินของสหรัฐที่ปักหลักอยู่ในประเทศจีน ซึ่งมีการผ่อนปรนกฎระเบียบในการครองหุ้นของบริษัทต่างชาติ ทำให้บริษัทของอเมริกันที่ได้รับประโยชน์จากการผ่อนปรนดังกล่าว เช่น บริษัท โกลด์แมน แซคส์ ที่ได้รับอนุมัติเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาให้สามารถถือหุ้นในธุรกิจร่วมทุนกับตลาดหลักทรัพย์เกาหัว (Goldman Sachs Gao Hua) จากเดิม 33% เป็น 51% บริษัทมอร์แกน สแตนลีย์ ได้รับอนุมัติให้ถือหุ้นธุรกิจร่วมทุนกับบริษัทหัวซิน (Morgan Stanley Huaxin) จากเดิม 49% เป็น 51% และเมื่อเดือนที่แล้วบริษัท อเมริกัน เอ็กซ์เพรส ได้รับอนุมัติให้เป็นบัตรเครดิตต่างชาติรายแรกที่เข้ามาร่วมทุนทำธุรกิจในประเทศจีนได้
นักวิเคราะห์จาก PIIE มองว่าการร่วมมือทางธุรกิจของทั้งสองประเทศที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมายิ่งแสดงให้เห็นว่าการแยกขาดออกจากกันระหว่างสหรัฐกับจีนนั้นเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้
ความเห็น 0