โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

Monster Pet Evolution นักเลี้ยงสัตว์อสูรขั้นเทพ [นิยายแปล]

นิยาย Dek-D

อัพเดต 18 ต.ค. 2566 เวลา 13.25 น. • เผยแพร่ 18 ต.ค. 2566 เวลา 13.25 น. • Ink Stone
Monster Pet Evolution นักเลี้ยงสัตว์อสูรขั้นเทพ [นิยายแปล]
นี่คือจุดเริ่มต้นของยุคสมัยใหม่ ยุคสมัยของเหล่าผู้ฝึกสัตว์อสูร

ข้อมูลเบื้องต้น

Monster Pet Evolution นักเลี้ยงสัตว์อสูรขั้นเทพ [นิยายแปล]

3 ปีก่อน…

ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง

เหล่าสรรพสัตว์และต้นไม้ใบหญ้าเกิดการกลายพันธุ์อย่างบ้าคลั่ง

ยังไม่รวมถึงสิ่งมีชีวิตจากมิติอื่นบุกเข้ามายังโลกมนุษย์แห่งนี้

แม้พวกมันจะเป็นสัตว์อสูรที่ดุร้ายแต่มนุษย์ยังสามารถเลี้ยงดู ฝึกสอน และใช้ต่อกรกับสัตว์อสูรจากภายนอกได้

และนี่คือจุดเริ่มต้นของยุคสมัยใหม่ ยุคสมัยของเหล่าผู้ฝึกสัตว์อสูร

"ถึงพวกนายจะเก่งยังไงก็ไร้ประโยชน์

ฉันสามารถเห็นข้อมูลทุกอย่างรวมถึงจุดอ่อนของพวกนายด้วย"

Monster Pet Evolution นักเลี้ยงสัตว์อสูรขั้นเทพ [นิยายแปล]
นี่คือจุดเริ่มต้นของยุคสมัยใหม่ ยุคสมัยของเหล่าผู้ฝึกสัตว์อสูร

*** ลิขสิทธิ์ถูกต้องภายใต้บริษัท Ink Stone Entertainment ***

ได้รับลิขสิทธิ์ออนไลน์ (Digital license) สำหรับแปลขายลงบนเว็บไซต์ได้อย่างถูกลิขสิทธิ์ 100%

เจ้าของลิขสิทธิ์ต้นฉบับ : China Literature

เรื่อง : Monster Pet Evolution นักเลี้ยงสัตว์อสูรขั้นเทพ (神宠进化)

ผู้เขียน : จิ่วฉือจุ้ย (酒池醉)

ผู้แปล : Toppu7

---

[神宠进化] / [酒池醉]

©2021 Ink Stone Entertainment Co., Ltd. All rights reserved.

Thai translation rights arranged with China Literature by Ink Stone Entertainment Co., Ltd.

บทที่ 1 แมงมุมปล้องลายเทา

เด็กหนุ่มคนหนึ่งนามว่า เกาเผิง กำลังเดินทางกลับจากโรงเรียนในช่วงโพล้เพล้ เขาควานหาคีย์การ์ดในกระเป๋าสีแดงของตนเมื่อถึงที่หมาย

กริ๊ง!

เกาเผิงผลักประตูเหล็กบานใหญ่จนเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดเพื่อเข้าไปในตึกที่มีสภาพค่อนข้างเก่า บนพื้นมีเศษขยะประปราย แต่ยังดีที่พวกมันไม่ได้ส่งกลิ่นรบกวนแต่อย่างใด

เกาเผิงยืนบนโถงทางเดินมืดสลัว เขามองไปที่บริเวณเพดานและเห็นเงาสีดำกำลังทำท่าทางแปลกประหลาดอยู่

เกาเผิงขมวดคิ้วมอง แมงมุมยักษ์ตัวหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่พอๆ หินขนาดใหญ่เกาะอยู่ตรงโคมไฟบนเพดาน มันกำลังพ่นใยเพื่อสร้างรังคลุมทั่วทั้งเพดานไปถึงบันไดของทางขึ้น นัยน์ตาสีเลือดของมันเปล่งประกายเมื่อสะท้อนกับแสงจากหลอดไฟ

เกาเผิงถอนหายใจ “เฮ้อ แมงมุมน้อยที่คุณยายเฉินเลี้ยงไว้หลุดออกมาอีกแล้วสินะ ขอเดาว่านี่เป็นครั้งที่เจ็ดของเดือน”

เกาเผิงทำเป็นไม่สนใจมันก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป เมื่อผู้หลบหนีตัวน้อยเห็นอย่างนั้นมันจึงส่งเสียงร้องออกมา

“ชี่…ชี่”

เกาเผิงตกใจแล้วหยุดเดินพร้อมหันกลับไปมอง แมงมุมยักษ์กำลังไต่ไปรอบๆ เพดาน

“มันเป็นแมงมุมปล้องลายเทาไม่ใช่เหรอ อาจารย์เคยบอกไว้ว่ามันเป็นสัตว์อสูรที่รักสงบไม่มีพิษภัยนี่น่า”

ขณะเดียวกัน เกาเผิงนึกบางอย่างขึ้นได้ เขาวางกระเป๋าลงกับพื้นก่อนจะหยิบเศษกระดาษมาปั้นเป็นก้อนกลมๆ แล้วล้วงไฟแช็กออกมาจากกระเป๋ากางเกง

เกาเผิงเกิดฉุกคิดได้ว่า 'คงไม่จำเป็นต้องลงมือกับเจ้าแมงมุมปล้องลายเทาแบบรุนแรงก็ได้มั้ง มันเป็นสัตว์เลี้ยงของคุณยายฉินที่อยู่ชั้นสอง ไม่สิ นี่ไม่ใช่ประเด็น! ไม่จำเป็นต้องออมมือกับมันหรอกเพราะมันเป็นสัตว์อสูร!'

ภายหลังมหาภัยพิบัติ พวกสัตว์อสูรชนชั้นสามัญต่างมีความแข็งแกร่งพอๆ กับสิงโตหรือเสือที่เป็นนักล่าบนยอดสุดของห่วงโซ่อาหาร ถ้าเกิดเกาเผิงไปทำให้มันโกรธเข้าเขาคงไม่ต่างกับลูกแกะที่กำลังรอการเชือดเพราะทางเดินในโถงตรงนี้ไม่มีทางหนีเลย

'เฮ้อ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด' เกาเผิงส่ายหัวเบาๆ สลัดความคิด ก่อนจะเดินมุ่งตรงไปที่บันได

ในตอนนั้นเอง เกาเผิงจุดไฟใส่บอลกระดาษ โยนขึ้นไปบนเพดานข้างหลังแล้ววิ่งหนีไปยังบันไดอย่างสุดชีวิต

‘ชี่…ชี่’ เจ้าแมงส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธ เสียงของมันดังตามหลังมาเรื่อยๆ เกาเผิงหันกลับไปมอง และเห็นเจ้าแมงมุมกำลังตามไล่ล่าเขาอย่างโกรธเกรี้ยว

แมงมุมริ้วโหะร่วงตกลงพื้นโถงทางเดิน มันพยายามตะเกียกตะกายปีนหนีบอลกระดาษติดไฟไฟกลับขึ้นไปบนเพดาน แววตาของเกาเผิงเปล่าประกายความตื่นเต้น แมงมุมริ้วโลหะมันกลัวไฟเป็นเรื่องจริง

'แม่เจ้า! มันเป็นแบบที่เขาคิดจริงด้วย'

เกาเผิงรีบวิ่งหนีขึ้นไปทางบันไดอย่างรวดเร็วดั่งสายลมขณะที่แมงมุมริ้วโลหะส่งเสียงคำรามด้วยความโมโหตามหลังเขามา

“ไหนอาจารย์จางบอกว่ามันเป็นสัตว์อสูรที่รักสงบไง”

เขายังคงวิ่งต่อโดยไม่ลดความเร็ว การที่เขาไปยั่วยุสัตว์อสูรไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ ถ้าเขาถูกจับได้ คงถูกเจาะกะโหลกดูดสมองหรือฉีกช่องท้องควักเครื่องในของเขาออกมากิน เรื่องนี้มันจะเกิดขึ้นแน่ๆ ถ้าเขาไม่ระวังตัว

พวกสัตว์อสูรเหล่านี้มันมาจากมิติอื่น ในช่วงเกิดมหาภัยพิติ ผู้คนล้มตายจำนวนมากด้วยน้ำมือของสัตว์อสูร ถึงพวกมันจะดูไร้พิษสงเพียงใด อย่างไรเสียก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่าพวกมันเป็นสัตว์ประหลาดได้อยู่ดี

เสียงฝีเท้าของแมมุมปล้องลายเทาไล่ตามหลังเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เกาเผิงได้ยินมันชัดเจน ฟังดูคล้ายกับแท่งเหล็กหล่นกระทบกับพื้นอย่างไรอย่างนั้น

‘อีกแค่ชั้นเดียวจะถึงห้องเขาแล้ว!’

‘จะถึงแล้ว!’

แมงมุมปล้องลายเทาเจ้าของดวงตาสีเลือดและเขี้ยวพร้อมใช้บดร่างเหยื่อเพิ่มความเร็วในการไล่ล่าขึ้น

มันเริ่มใกล้ และใกล้เกาเผิงมากขึ้นเรื่อยๆ

“ซี่!”

เสียงขู่คำรามเสียงหนึ่งลอดกำแพงหนาดังก้องไปทั่วบริเวณ แมงมุมปล้องลายเทาทำท่าเตรียมกระโดดตะครุบเหยื่อพร้อมกับส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำ

หลังจากหยุดนิ่งอยู่พักหนึ่ง มันกลับมาไล่เกาเผิงต่ออีกครั้ง

“ซี่!” เสียงขู่อีกเสียงดังขึ้นอีกครั้ง แต่ฟังดูเกรี้ยวกราดมากกว่าเดิม

“ชี่…ชี่…” เจ้าแมงมุมค่อยๆ ล่าถอยหลังแล้วกระโดดหนีออกไป

เกาเผิงหายใจเหนื่อยหอบพลางปาดเหงื่อบนหน้าผากของตน ‘ทำไมมันหนีกลับไปง่ายดายอย่างนั้นล่ะ มันแค่ต้องการแกล้งให้ตกใจเล่นหรือเปล่า เหมือนเล่นวิ่งไล่จับอย่างสนุกสนานจนพอใจแล้วก็กลับเท่านั้นหรือ?’

เกาเผิงลูบคาง อืม…แม้จะเชื่อได้ยากไปเสียหน่อยแต่คงหาเหตุผลอื่นมาอธิบายถึงการกระทำของมันไม่ได้อีกแล้ว หลังจากนั้นเกาเผิงจึงหยิบกุญแจมาไขประตู

“พ่อครับ แม่ครับ ผมกลับมาแล้ว” เขาเอ่ยทักทายอย่างสดใส

เกาเผิงได้ความว่างเปล่าเป็นคำตอบ ทุกอย่างเงียบสนิทราวกับเขาอยู่คนเดียวบนโลกนี้

ในห้องนั่งเล่นมีโซฟาสีน้ำตาลหม่นวางอยู่ตรงข้ามทีวีรุ่นเก่า ภายในห้องมีเฟอร์นิเจอร์ไม่มากนักเน้นการตกแต่งแบบเรียบง่ายสบายตา ส่วนเรื่องความสะอาด ต้องบอกว่าเจ้าของห้องนี้ดูแลมันเป็นอย่างดีเลยล่ะ

เกาเผิงสูดหายใจลึกๆ เพื่อปรับอารมณ์ของตนก่อนจะเปิดเข้าไปในห้องหนึ่ง ผ้าม่านช่วยบังแสงอาทิตย์ไว้ ทำให้ห้องนี้ดูสลัวจนมองไม่ถนัดนัก เตียงนอนในห้องยังคงอยู่ในเรียบร้อยเป็นระเบียบ

“พ่อครับ แม่ครับ ผมสอบได้ที่หนึ่งของห้องได้แล้วนะครับ พ่อแม่ต้องดีใจมากแน่ๆ เลย” เกาเผิงพูดกับภาพถ่ายขาวดำตรงหน้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มมีความสุข

ในรูปนั้นเผยให้เห็นคู่รักคู่หนึ่ง ชายหนุ่มหล่อเหลาและดูอ่อนโยนยืนขนาบข้างกับหญิงสาวเรียวหน้าสวยสง่าท่าทางใจดี ทั้งสองยิ้มอย่างมีความสุข เกาเผิงสบตากับคู่รักที่มองมายังเขาอยู่เช่นกันผ่านกระดาษแผ่นบางๆ นี้

แต่ท่านทั้งสองไม่อาจโต้ตอบกับเกาเผิงได้อีกต่อไป พวกเขาเพียงยิ้มให้เกาเผิงเท่านั้น และเขาเองก็ทำได้เพียงฝืนยิ้มตอบกลับไป

“เมื่อก่อนผลการเรียนของผมแย่ตลอด พ่อกับแม่เอาแต่บ่นผมเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ แต่ดูตอนนี้สิครับ ผมได้ที่หนึ่งของห้อง ที่สี่ของระดับชั้นเลยนะ พ่อแม่ภูมิใจในตัวลูกคนนี้หรือเปล่าครับ? จากนี้ไปพ่อกับแม่ไม่ต้องห่วงเรื่องการเรียนของผมอีกแล้วนะครับ” เกาเผิงพูดพร้อมตาเริ่มร้อนผ่าวเหมือนจะร้องไห้

เด็กหนุ่มร่างผอมบางยืนเหม่ออยู่ตรงกลางห้อง ปล่อยให้ความเงียบไหลเวียนในห้วงความคิด เมื่อพลบค่ำมาเยือน เขาปรับอารมณ์ตัวเองให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เกาเผิงพูดกับกรอบรูปตรงหน้าอีกครั้ง

“พ่อครับ แม่ครับ พรุ่งนี้โรงเรียนจะจัดทัศนศึกษา ผมคงไม่อยู่บ้านสักสองสามวันนะครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ เพราะโรงเรียนจัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมืออาชีพไว้แล้ว ผมกลับมาปลอดภัยแน่นอน!”

“ผมได้ยินมาว่าโรงเรียนจ้างทีมรักษาความปลอดภัยจากบริษัทบลูชิลด์ด้วยนะครับ แถมบริษัทนี้มีครูฝึกสัตว์อสูรเก่งๆ เยอะมาก…”

ท่ามกลางห้องมืดสลัว เด็กหนุ่มร่างผอมบางคุยคนเดียวอยู่เบื้องหน้ารูปขาวดำของคู่รักพร้อมใช้มือลูบใบหน้าของพวกท่านด้วยความคิดถึงสุดจับใจ ตอนนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าเขาต้องเข้มแข็งให้มากขึ้นกว่านี้เพื่อไม่ให้พ่อแม่ของเขาต้องผิดหวัง

แม้ไม่มีใครตอบเขากลับมา แต่เขาหวังว่าตอนนี้คงมีใครบางคนกำลังยกนิ้ว ส่งเสียงให้กำลังใจเขาอยู่เป็นแน่ หรือแม้อาจมีเสียงคัดค้านดังออกมาจากคนในรูปบ้างถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เขาเองหวังให้เกิดขึ้นอยู่ร่ำไป แต่มันคงไม่มีทางเกิดขึ้นเป็นแน่แท้ ความจริงคือมีเพียงรอยยิ้มอันอบอุ่นจากคู่รักส่งมาให้เขาเท่านั้น

ในห้องนอนเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจจากอกเล็กของเด็กหนุ่ม

จู่ๆ เกาเผิงรู้สึกเย็นวูบขึ้นมาเสียดื้อๆ ร่างผอมลูบข้อศอกด้วยความหดหู่ในใจ เพียงไม่นานนัก บรรยากาศสีเทาเมื่อครู่หายไปทันควัน เกาเผิงกลับมาเป็นเด็กหนุ่มที่สดใสอีกครั้ง เขาเดินออกจากห้องไปก่อนจะค่อยๆ ปิดประตูราวกับกลัวว่าจะส่งเสียงดังรบกวนคู่รักในรูป

ไม่แน่ใจว่าเขาตาฝาดหรืออาจเป็นเพราะการหักเหของแสงที่ลอดเข้ามากันแน่ ในวูบหนึ่งเขาเหมือนจะเห็นใบหน้าของคู่รักทั้งสองในรูปยิ้มกว้างขึ้นและดูมีความสุขมากกว่าเดิมเสียอีก

…………………………………………….

บทที่ 2 ตะขาบกรงเล็บเหลืองหลังม่วง

“ต้าซื่อ! นายอยู่ไหน? ออกมาเร็ว!” เกาเผิงส่งเสียงเรียกเมื่อกลับมาถึงห้องของตน

เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเจ้าของ ‘ต้าซื่อ’ ยังคงนอนแผ่สบายใจอยู่ตรงพื้น หลังจากถูกเรียกซ้ำๆ จึงยอมคลานออกมาจากใต้โซฟา

เผยให้เห็นบางสิ่งที่มีลำตัวสีม่วงเข้ม แต่หากเมื่อใดกระทบกับแสงโคมไฟ สีของมันยิ่งเข้มมากขึ้นไปอีก เสียงดังกุกกักจากแขนขาที่มีกรงเล็บสีเหลืองซีดกระทบพื้นราวกับเสียงเคาะนิ้วบนโต๊ะ

ตะขาบกรงเล็บเหลืองหลังม่วง เป็นสัตว์อสูรชนิดหนึ่งซึ่งเกาเผิงเรียกชื่อมันด้วยความเอ็นดูว่า ‘ต้าซื่อ’ เพราะมันตัวใหญ่แถมรูปร่างยังคล้ายกับตะขาบสีม่วงอีก… ไม่สิ มันคือตะขาบยักษ์กลายพันธุ์ต่างหากล่ะ

ตะขาบกรงเล็บเหลืองหลังม่วงถือเป็นสัตว์เลี้ยงตัวเดียวและเป็นสิ่งที่สุดท้ายที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้เขาด้วย

เกาเผิงยังจำได้ดีในวันที่พ่อแม่นำต้าซื่อมาให้ เป็นวันที่สามหลังจากโลกปฏิวัติ ตอนแรกขนาดของต้าซื่อตัวเล็กเท่าตะเกียบ กระดองมันสีม่วงอ่อนคล้ายสีชมพูดูน่ารักน่าเอ็นดูมาก

เกาเผิงส่ายหัวสลัดความคิดออกไป เขาหันมามองต้าซื่อในตอนนี้ ขนาดของยาวถึงสองเมตร ความกว้างเท่าหนึ่งฝ่ามือและขากรรไกรแหลมคม ตอนนี้มันห่างไกลจากคำว่าน่ารักมาก กลายเป็นต๊าซื่อที่เมื่อพาออกไปข้างนอกผู้คนที่พบเห็นหวาดกลัวจนหัวใจจะวาย

ประสาทการมองเห็นของต้าซื่อไม่ค่อยดีนัก มันจึงใช้หนวดสีม่วงบนหัวตรวจจับสภาพแวดล้อมโดยรอบ รวมไปถึงใช้ตรวจจับกลิ่น แรงสั่นสะเทือน หรือแม้กระทั่งแยกแยะเสียงได้

เกาเผิงไม่เคยหวาดกลัวรูปลักษณ์ภายนอกของต้าซื่อ เขาเลี้ยงดูมันเป็นอย่างดีตลอดสามปีที่ผ่านมา และที่สำคัญมันยังเป็นสัตว์เลี้ยงที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าก่อนพวกท่านจากไปด้วย

“ต้าซื่อ เสียงขู่เจ้าแมงมุมเมื่อกี้เป็นเสียงแกใช่ไหม?” เกาเผิงถามด้วยความสงสัยพลางเขาลูบหัวสัตว์เลี้ยง

ผิวของมันเย็นเฉียบราวกับจับต้องแผ่นเหล็กเย็นๆ

ต้าซื่อไม่ตอบแต่กลับส่ายหนวดของมันเบาๆ เกาเผิงไม่ได้ใส่ใจกับการตอบสนองนั้น ระดับสติปัญญาของต้าซื่ออาจไม่สูงนัก สมองมันเทียบเท่ากับเด็กอายุสามขวบเท่านั้น

ต้าซื่อไม่สามารถเข้าใจคำสั่งที่ซับซ้อนได้ มันเข้าใจเพียงแค่คำสั่งพื้นฐานง่ายๆ เช่น กัด แกล้งตาย หรือหมุนตัวสามรอบ เป็นต้น

ต่อให้มันไม่ตอบอะไร แต่เกาเผิงรู้ดีว่าเสียงขู่นั้นมันเป็นเสียงของต้าซื่อ เขาเลี้ยงมันมานาน เขาจำเสียงมันได้

สัตว์อสูรเป็นสิ่งมีชีวิตน่าพิศวง ไม่เว้นแม้แต่ต้าซื่อด้วย เขาจำจากที่อาจารย์สอนได้ว่า ตะขาบกรงเล็บเหลืองหลังม่วงเป็นสัตว์อสูรดุร้ายตัวหนึ่ง

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เขาสงสัยว่าอาจารย์จางจะโกหกเขาอะไรเขาอีกหรือเปล่า เพราะต้าซื่อมันออกจะสงบเสงี่ยม เรียบร้อย ดูไร้พิษสงจะตาย

เกาเผิงเอามือไปลูบหนวดของต้าซื่อ มันทั้งนุ่มและยืดหยุ่นได้ด้วย

ต้าซื่อจ้องมองเกาเผิงราวกับจะพูดว่า ‘เจ้านายไม่มีอะไรทำหรืออย่างไร’

เมื่อเห็นต้าซื่อนอนเกลือกกลิ้งไปมา เกาเผิงจึงอดคิดไม่ได้ว่ามันใช่สัตว์อสูรดุร้ายจริงหรือ

เกาเผิงมองมันอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง จู่ๆ หน้าต่างข้อมูลบางอย่างโผล่ขึ้นมา และมีเพียงเขาเท่านั้นมองเห็นมัน

ชื่อสัตว์อสูร ตะขาบกรงเล็บเหลืองหลังม่วง

เลเวล ห้า

ระดับ ปกติ

คุณสมบัติ ธาตุหยินและพิษ

สถานะ สุขภาพดีและมีความสุข

จุดอ่อน ธาตุไฟฟ้า

ความต้องการในการเลื่อนระดับ แก่นสัตว์อสูรประเภทสายฟ้าเลเวลสิบขึ้นไป เปลือกไม้สายฟ้าอายุหนึ่งร้อยปีจำนวนหกร้อยกรัม หญ้าเงาจำนวนสิบใบ

เกาเผิงทึ่งอยู่พักหนึ่ง ตั้งแต่วันเกิดอายุครบสิบแปดปี เขาค้นพบว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษมองเห็นค่าสถานะของเหล่าสัตว์อสูรได้ทุกตัว แต่ละตัวมีค่าสถานะแตกต่างกัน อย่างเช่น แมงมุมตัวน้อยของคุณยายเฉิน

ชื่อสัตว์อสูร แมงมุมริ้วโลหะ

เลเวล สาม

ระดับ ปกติ

คุณสมบัติ ธาตุไม้

สถานะ สุขภาพดีและมีความสุข

จุดอ่อน ธาตุไฟ

ความต้องการในการเลื่อนระดับ…

เกาเผิงเฉียดตายเมื่อครู่นี้ เพราะเขาต้องการทดสอบความสามารถของตนได้ผลจริงหรือไม่ และนั่นเป็นเพียงความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น

'เดี๋ยวนะ สถานะมีความสุข เจ้าแมงมุมแค่เล่นกับเขาเหรอเนี่ย และดูเหมือนมันจะสนุกมากเสียจริง' เกาเผิงทำสีหน้าปั้นยาก

สาเหตุที่เขาไม่กล้าทดลองกับต้าซื่อนั้น ประการแรก ถ้าข้อมูลพวกนั้นถูกต้อง เขาทนเห็นต้าซื่อได้รับบาดเจ็บไม่ไหว ประการที่สอง เขาไม่รู้จะหาสายไฟจากที่ไหน ครั้นจะลอกสายไฟมาช็อตต้าซื่อก็เสี่ยงเกิดไฟฟ้าลัดวงจรอีก

“อืม…ความต้องการในการเลื่อนระดับหรือ” เกาเผิงพึมพำพร้อมแววตาเปล่งประกาย

สัตว์อสูรระดับสูงนั้นหายากมาก แม้จะอยู่ท่ามกลางฝูงสัตว์อสูรนับร้อยตัวยังถือว่ายากจะหาสัตว์อสูรระดับสูงเพียงตัวเดียวได้ สัตว์อสูรระดับสูงสามารถรับมือสัตว์อสูรระดับปกติสองตัวพร้อมกันได้สบายๆ

ถัดจากระดับสูงเป็นระดับสมบูรณ์ เมื่อกลายเป็นสัตว์อสูรระดับสมบูรณ์แล้วจะสามารถข้ามขีดจำกัดและกลายเป็นสัตว์ชนชั้นนักรบได้

เกาเผิงเคยเห็นสัตว์อสูรชนชั้นนักรบตามเว็บไซต์และโทรทัศน์เท่านั้น พลังอันน่าพิศวงของสัตว์อสูรชนชั้นนักรบนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเขา

เกาเผิงเก็บความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ เขาลูบหัวต้าซื่อพลางพูดว่า “ต้าซื่อ ฉันจะทำให้นายเป็นสัตว์อสูรระดับสูงให้ได้เลย”

สำหรับเกาเผิงแล้ว ต้าซื่อนั้นเป็นมากกว่าเพื่อน มันเป็นเหมือนพี่น้องอยู่เคียงข้างเขาตลอดสามปีแห่งความโดดเดี่ยวเช่นนี้ และเป็นเหมือนของดูต่างหน้าที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ เกาเผิงกำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว

จากนั้นเกาเผิงเดินไปยังห้องครัว เปิดช่องฟรีซนำเนื้อแช่แข็งออกมา เขาหยิบขวานจากในตู้เก็บเครื่องครัวก่อนจะสับเนื้อแช่แข็งบนเขียงไม้

ฉับ ฉับ

เศษน้ำแข็งกระเด็นไปทั่วบริเวณด้วยแรงสับ

เมื่อจัดการเนื้อแช่แข็งเสร็จ เกาเผิงนำเนื้อใส่ลงในชามสเตนเลส จากนั้นหยิบแครอทออกมาล้างต่อด้วยหั่นเป็นชิ้นอย่างไม่พิถีพิถันนัก และใส่ลงภาชนะเดียวกันในที่สุด

นี่คือมือเย็นของต้าซื่อวันนี้ เจ้าตะขาบจะกินสองมื้อต่อวันคือ มื้อเช้ากับมื้อเย็น

อาหารของต้าซื่อนั้นเป็นเมนูง่ายๆ เพียงเนื้อดิบกับแครอทหรือเนื้อกับมันฝรั่งเท่านั้น

แต่ถึงจะดูเรียบง่ายอย่างไรก็ตาม แต่เกาเผิงยังคงคิดแล้วคิดอีกว่าจะให้ต้าซื่อกินอะไร เพราะแถวนี้ไม่มีใครมีประสบการณ์การเลี้ยงสัตว์อสูรประเภทตะขาบเลย

หลังจากค้นคว้าจากอินเทอร์เน็ตแล้วพบว่า ตะขาบเป็นสัตว์ที่สามารถกินได้หลากหลายมาก แต่ชอบที่สุดเห็นจะเป็นจำพวกแมลง เช่น หนอนนก จิ้งหรีด ตัวด้วง ปลวก จักจั่น แมลงปอ แมงมุม แมลงวัน และผึ้ง รวมไปถึงไข่และตัวอ่อนของแมลงดังที่กล่าวมา นอกจากนี้พวกมันยังกินหนอน ไส้เดือน หอยทาก ตลอดจนพวกเนื้อเครื่องใน เลือด กระดูกอ่อนของพวกปลา พวกสัตว์ปีก หรือพวกสัตว์ที่อาศัยในคอกในเล้าทั้งหมด อีกทั้งพวกพืชมันก็สามารถกินได้ เช่น เปลือกผลไม้ มันฝรั่ง แครอท ผักต่างๆ แม้แต่นมกับขนมปังมันก็ด้วย

แต่เกาเผิงเอง ไม่ค่อยอยากให้ต้าซื่อกินพวกเนื้อกับเครื่องในมากนักเพราะต้องวุ่นวายในการทำอาหาร แถมมันมักส่งกลิ่นที่ไม่ค่อยสู้ดีและทำความสะอาดยากอีกต่างหาก

เกาเผิงเคยออกไปจับพวกแมลงแถวๆ นี้มาให้ต้าซื่อกิน แต่ทำได้ไม่นานก็ต้องหยุด เพราะต้าซื่อยิ่งโตขึ้นยิ่งต้องการอาหารมากขึ้นตามขนาดตัวของมัน เขาลงทุนไปจับแมลงทั้งวันแต่ไม่พอต่อความต้องการของมัน สุดท้ายจึงลงเอยที่เนื้อแช่แข็ง เพราะเขาหาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อ

เกาเผิงเคยคิดจะซื้อพวกแมลงมาให้ต้าซื่อกินเช่นเดียวกัน แต่ต้องหยุดความคิดนั้นไปเพราะแมลงราคาค่อนข้างสูง

เงินใช้จ่ายของเกาเผิงในแต่ละวันได้มาจากรัฐบาลส่วนหนึ่ง และเป็นเงินเก็บของพ่อแม่ของตน ทำให้เขาไม่ขัดสนเรื่องค่าใช้จ่ายสักเท่าไร

แต่ถึงกระนั้น มันยังคงไม่มากสำหรับใช้ไปทั้งชีวิตในโลกแสนจะอันตรายนี้

หากวันหนึ่งเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เกาเผิงคงอยู่นิ่งเฉยไม่ได้เป็นแน่

…………………………………………….

บทที่ 3 ผู้ฝึกสัตว์อสูร

หายนะครั้งใหญ่มาเยือน ทำให้โลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน ดาวโลกเกิดมหาภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่เกินกว่าใครจะคาดการได้ ท้องฟ้ามืดครึ้มเต็มไปด้วยรอยแยกสีดำคล้ายรอยกรงเล็บน่าพิศวงนับไม่ถ้วน

เผยให้ทุกสายตาเห็นโลกที่อยู่อีกฝั่งของรอยแยก

แต่ยังไม่เคยมีผู้ใดย่างกรายเข้าใกล้โลกนั้นได้เลยสักคน

บางประเทศหวังข้ามไปยังโลกอีกฝั่ง แต่ด้วยความแปรปรวนของมิติทำให้พื้นที่โดยรอบปล่อยคลื่นหรือสัญญาณรบกวนบางอย่างออกมา หากเข้าปะทะเมื่อใดแม้แต่โลหะแข็งแรงทนทานสักเพียงไหน ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากเศษกระดาษแสนเปราะบางและสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ไม่มีมนุษย์หน้าไหนหรืออาณาจักรใดเข้าใกล้มันอีกเลย รอยแยกเหล่านั้นปรากฏอยู่ครึ่งวันและจางหายไป

อย่างไรเสีย นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของฝันร้ายเท่านั้น

และรอยแยกเหล่านั้นปรากฏไปทั่วมุมโลก บางรอยหายไปแล้วแต่ยังทิ้งรอยดั่งแผลเป็นไว้จนถึงทุกวันนี้ พวกมันทำหน้าที่คล้ายกับประตูเชื่อมต่อระหว่างโลกอีกมิติหนึ่ง

ดาวเคราะห์อื่นนับล้านเชื่อมต่อกับโลกใบนี้ผ่านรอยแยก ทำให้สัตว์อสูรสามารถบุกรุกโลก หากแต่ด้วยเหตุผลใดนั้นไม่มีทางรู้ พวกมันอาจเป็นสสารจากนอกโลก อสุรกายจากโลกอื่น หรือการลงทัณฑ์ของพระเจ้า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เหล่าสรรพสัตว์ แมกไม้นานาพันธุ์ต่างกลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว

แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงไม่กลายพันธุ์ นั่นคือ ‘มนุษย์’

ในโลกที่แม้แต่พระเจ้ายังทอดทิ้งนี้ มนุษย์บางคนได้ค้นพบความลับน่าอัศจรรย์ที่ซุกซ่อนอยู่ในสายเลือดและจิตวิญญาณของพวกเขา นั่นคือ

‘พันธสัญญาเลือด’

พันธสัญญานี้ก่อให้เกิดคู่หูที่ไว้ใจซึ่งกันและกันขึ้น ผู้คนต่างเรียกขานบุคคลเหล่านี้ว่า ‘ผู้ฝึกสัตว์อสูร’

หลังการค้นพบทำให้โลกเปลี่ยนไป แม้ผู้ฝึกจะไม่ได้มีพลังดั่งสัตว์อสูรแต่พวกเขาสามารถควบคุมมันได้!

เมื่อมีผู้ฝึกสัตว์อสูรจึงมีการสร้างเทคโนโลยีและสภาพแวดล้อมอันเหมาะสมขึ้นมาใหม่เพื่อให้ดีต่อการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์อสูร

มนุษย์ทุกคนล้วนมีสัตว์อสูรไว้ในครอบครอง ดังนั้นไม่ว่าใครก็สามารถเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรได้

ทุกๆครัวเรือนจะมีสัตว์อสูรไว้ในครอบครองอย่างน้อยหนึ่งหรือสองตัว

‘สัตว์อสูร’ คือชื่อเรียกสิ่งมีชีวิตจากต่างโลกหรือพวกสรรพสัตว์บนโลกที่กลายพันธุ์

พวกสัตว์อสูรมีอุปนิสัยแตกต่างกัน บางตัวดุร้าย บางตัวรักสงบ สัตว์อสูรที่ถูกเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็กจะเชื่อฟังเจ้านายของพวกมันดังสุนัขหรือแมวในอดีต พวกมันจะไม่มีนิสัยก้าวร้าวฉุนเฉียวกับผู้ครอบครองเลย

นี่เป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติไปตลอดกาล ซึ่งแน่นอนว่าเกาเผิงไม่คิดจะใช้ชีวิตเป็นเพียงคนธรรมดาหรือใช้ชีวิตไปวันๆ โดยไม่สนใจอะไร

สิ่งมหัศจรรย์มากมายรอเขาอยู่ข้างนอก เขาอยากสัมผัสมันด้วยตัวเอง

วลีที่ว่า ‘โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาล’ คงใช้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะนอกจากโลกมนุษย์แล้วยังมีโลกใบอื่นอีก เกาเผิงต้องไปสำรวจมันให้ได้

“ไม่แน่บางทีฉันอาจพบวิธีชุบชีวิตพ่อแม่ในโลกใบอื่นก็เป็นได้” เกาเผิงพึมพำกับตัวเอง

ความเชื่อแรงกล้านี้เริ่มเพิ่มพูนมากขึ้นทุกครา เขาเชื่อว่าในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้อาจมีสิ่งที่เขาเฝ้าตามหาอยู่เป็นแน่

เกาเผิงนั่งตรงโซฟาสายตาจดจ่ออยู่กับโทรทัศน์ ข่าวสารส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องข่าวสำรวจตามบริเวณต่างๆ ข่าวพบเจอสัตว์อสูรอันตราย และประกาศแจ้งเตือนเฝ้าระวังภัย

และการรายงานข่าวของวันนี้ยังคงเดิมเหมือนที่ได้ยินในทุกๆ วัน

ทันใดนั้นเองข่าวหัวข้อหนึ่งสามารถดึงความสนใจของเขาได้เป็นอย่างดี

ตามรายงานข่าว พบกรงเล็บมหึมาของสัตว์อสูรลึกลับปรากฏบริเวณรอบนอกของรอยแยก สัตว์อสูรดังกล่าวไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน นักวิทยาศาสตร์คาดการว่า อาจเป็นสัตว์อสูรในตำนานที่ทรงพลังราวกับเทพพระเจ้าและอยู่ในชนชั้นจักรพรรดิมีพลังเหนือจินตนาการ

ในช่วงท้ายของรายงานข่าว ปรากฏภาพหญิงสาวผมบลอนด์ในชุดขาว เธอถือกระบอกฉีดยาขนาดใหญ่พร้อมบรรจุของเหลวสีฟ้าสว่างอยู่ภายใน

“นี่คือเซรุ่มสัตว์อสูรตัวใหม่ของเครือบริษัทดราก้อน อัตราความสำเร็จในการยกระดับสัตว์อสูรเป็นระดับสูงมากถึงหกสิบเปอร์เซ็นต์ และอัตราความสำเร็จในการยกระดับสัตว์อสูรเป็นชนชั้นขุนนางเพียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อสัตว์อสูรแสนรักของคุณ และนี่คือผลิตภัณฑ์ที่คุณคู่ควร”

เกาเผิงกดปิดทีวี ความรู้สึกสับสนวุ่นวายปะทะเข้ามาในความคิด เซรุ่มนี้อาจสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ให้กับผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูรเป็นแน่ แต่อีกนัยหนึ่งก็ทำให้ผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูรได้มีบทบาทในสังคมมากขึ้นไปด้วย

หากมนุษย์ทำพันธสัญญาเลือดกับสัตว์อสูรแล้ว พวกมันจะไม่ต่างจากคนในครอบครัวเลย ฉะนั้นสัตว์อสูรจึงควรได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด

ความหวังของเขาพลุ่งพล่านมากขึ้นอีกครั้ง ด้วยเทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจึงมีความเป็นไปได้ในสักวันหนึ่งจะสามารถนำผู้ล่วงลับกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง

เกาเผิงกำหมัดแน่น เขาจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ถ้าเขายังใช้ชีวิตเป็นอย่างทุกวันนี้ คงไม่อาจพบวิธีชุบชีวิตอย่างแน่นอน

หลังจากเตรียมอาหารให้ต้าซื่อเสร็จ เขาเดินไปที่ห้องนั่งเล่นก่อนจะเคาะเรียกต้าซื่อให้มากินมื้อเย็น

ต้าซื่อรับกลิ่นอาหารผ่านหนวดที่กำลังส่ายดุ๊กดิ๊กไปมาบนหัวของมัน มันรีบคลานมาทันที ต้าซื่อใช้เขี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย

จากการค้นคว้ามาแล้ว ต้าซื่อเป็นตะขาบกรงเล็บเหลืองหลังม่วงที่พิษร้ายแรงมาก หากแต่เขาไม่เคยเห็นมันใช้พิษมาก่อนเลย เพราะมันอยู่แต่ในบ้านคงไม่มีโอกาสได้ใช้มัน

ต่อมพิษของมันมีอยู่สองจุด มันจะปล่อยพิษออกมาจากขากรรไกรบนและล่าง

เกาเผิงไม่เคยโดนพิษของต้าซื่อเลย แต่ไม่ใช่กับพวกแมลงในบ้านนั้น

ตั้งแต่ต้าซื่อมาอยู่ในบ้าน พวกแมลงแทบจะสูญพันธุ์ไปเลย พวกมันต่างต้องหนีตายออกไป เพราะไม่อย่างนั้นจะถูกต้าซื่อจับกิน

เมื่อนั่งมองต้าซื่อที่กินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เขาจึงอดยิ้มไม่ได้ ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าข้อมูลที่เขาเห็นนั้นเป็นความจริง บางทีเขาอาจใช้ความสามารถนี้ในการเป็นผู้เพาะพันธุ์อสูร

ผู้เพาะพันธุ์อสูรนั้นมีความรู้เกี่ยวกับสัตว์อสูรเป็นอย่างดี พวกเขาสามารถยกระดับสายพันธุ์สัตว์อสูรได้

พวกเขาไม่เพียงแค่รู้เกี่ยวกับชนิดของสัตว์อสูรเท่านั้น แต่ต้องรู้ถึงขนาด รูปร่าง อุปนิสัยของสัตว์อสูรด้วย ด้วยเหตุนี้ผู้เพาะพันธุ์อสูรจึงมีน้อยมาก

หากต้องการเป็นผู้เพาะพันธุ์อสูร ประการแรก ต้องรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับสัตว์อสูรอย่างกว้างขวาง ประการที่สอง ต้องใช้ความรู้เหล่านั้นยกระดับสัตว์อสูร และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้เพาะพันธุ์อสูรถึงได้รับการยกย่องมากกว่าผู้สัตว์อสูร

ชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับสัตว์อสูรที่ตนเลี้ยง การยกระดับมันจะช่วยให้ตัวมันแข็งแกร่งมากขึ้น และผู้ที่สามารถทำให้พวกมันแข็งแกร่งขึ้นได้นั้นคือ ผู้เพาะพันธุ์อสูร จึงไม่แปลกเลยหากอาชีพนี้จะมีหน้ามีตามากขนาดนี้

นับตั้งแต่สามปีหลังจากปฏิวัติดาวโลก สัตว์อสูรจำนวนมากยังคงไม่ถูกค้นพบ ทำให้มีการค้นหาสายพันธุ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ไม่มีตำราใดกล่าวถึงพวกมันได้ทั้งหมด เกาเผิงจึงอดทึ่งไม่ได้กับความสามารถมองเห็นข้อมูลของสัตว์อสูรรวมไปถึงวิธียกระดับพวกมันของตัวเอง

…………………………………………….

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0

ความเห็น 0

ยังไม่มีความเห็น