คอลัมน์ : เทสต์คาร์ ผู้เขียน : วุฒิณี ทับทอง
ถือเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงสมรรถนะ และความสามารถ ในการใช้งานจริง
สำหรับ รถยนต์ปิกอัพขนาด 1 ตัน จากค่ายโตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ร็อคโค่ รวมทั้งรถรุ่นต่าง ๆ ในอนุพันธ์ รีโว่ แบบ ขับเคลื่อนสี่ล้อ 4×4
มีมาครบไลน์ทั้งรุ่นกระบะหัวเดียว, รุ่นตอนครึ่ง และ รุ่นดับเบิลแค็บ ไปจนถึงรุ่นท็อปสุดอย่าง GR Sport ที่เขามีรุ่นย่อยมารองรับความต้องการใช้งานที่หลากหลายของกลุ่มลูกค้า
ไม่รอช้า ทีมผู้บริหารโตโยต้า ทีมการตลาด และทีมพีอาร์ จัดทริปทดสอบรถในเส้นทางแอดเวนเจอร์ เจอทั้งทางเรียบ ทางฝุ่น ให้เราทดสอบกัน กับเส้นทาง กรุงเทพฯ-เขาแผงม้า จ.นครราชสีมา กันอย่างเต็มที่
ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นของการพัฒนารถรุ่นนี้เมื่อปี 2017 ดร.จุลชาติ จงอยู่สุข หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค รับผิดชอบโปรเจ็กต์รีโว่และฟอร์จูนเนอร์ กล่าวว่า โตโยต้าตั้งใจให้เป็น รถออฟโรด ที่ทนทานและใช้งานได้ทุกวัน มีการพัฒนาตัวถัง ช่วงล่าง และเครื่องยนต์ แต่สิ่งสำคัญที่ โตโยต้า จะเหนือกว่าคู่แข่งได้ คือประสิทธิภาพในการใช้งานแบบออฟโรด
การทดสอบครั้งนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” เริ่มจาก ไฮลักซ์ รีโว่ รุ่นสมาร์ทแค็บ หรือที่เรียกติดปากกันว่า กระบะตอนครึ่ง ตลอดเส้นทางของการทดสอบครั้งนี้ ทีมงานโตโยต้าเตรียมน้ำดื่มอีกหลายสิบแพ็กรวมน้ำหนักโหลดเพิ่มเข้ามาเป็น 460 กิโลกรัม นัยว่าไหน ๆ ก็จะเดินทางตะลุยขึ้นเขาแผงม้ากัน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยว โตโยต้าขอนำน้ำดื่มขึ้นไปมอบให้กับพี่เจ้าหน้าที่อุทยานไว้ได้ใช้ดับกระหาย
โดยรวม ๆ ของ รถคันนี้ โตโยต้าเขาคิดและแต่งมาให้เสร็จสรรพในแบบฉบับร็อคโค่ ที่มีทั้งความสปอร์ต ดุดัน และลงตัว
ส่วนภายในห้องโดยสารมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น หน้าจอกลางระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับแอปเปิล คาร์เพลย์
ยอมรับอย่างดุษณีว่า เริ่มแรกที่เห็นกระบะท้ายถูกบรรทุกน้ำดื่มขึ้นมา อาการ “ท้อ” ก็เกิดขึ้นในทันที
รถจะหนักไปไหม
การควบคุมพวงมาลัย หนักแน่ ๆ ที่สำคัญ “น่าจะเหนื่อย” ชัวร์
แต่ถึงหน้างานแล้ว ต้อง The Show Must Go On ไปต่อไม่ได้พอแค่นี้
จากจุดสตาร์ต รวมระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร ปรากฏว่าขับมาได้แบบชิล สบายปร๋อ… ในช่วงจังหวะชุลมุน บนถนนบางนา-ตราด แม้จะเป็นรถปิกอัพที่มีช่วงท้ายค่อนข้างยาว แต่ยังควบคุมรถให้ มุดซ้าย ขึ้นขวา มาได้แบบ คล่องตัว
พละกำลังในทางเรียบวิ่งในเมือง นั้นถือว่า เหลือล้น ทำงานได้อย่างราบเรียบ เพียงแตะคันเร่งเบาะ ๆ พร้อมตอบสนองทันที
จน “ลืม” เรื่องการบรรทุกที่เพิ่มเข้ามาเกือบครึ่งตันทิ้งไป
ออกนอกเมืองวิ่งทางตรง ๆ ยาว ๆ ถนนเส้น 304 เพราะเราขึ้นเขาใหญ่กันฝั่ง ปราจีนบุรี มีจังหวะเติมคันเร่งขึ้นไป เครื่องยนต์ตอบสนอง ทันที วิ่งปรู๊ดปร๊าดทันอกทันใจ
ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล ขนาดแค่ 2.8 ลิตร กำลังสูงสุดที่ 204 แรงม้า ส่วนแรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ทำงานผสาน เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ถือว่าเนียน ส่วนใครที่ยังชื่นชอบระบบเกียร์แมนวลแบบผู้ทดสอบ
โตโยต้ายังมีโหมดแมนวล มาให้เราเล่น ในจังหวะที่ไต่ระดับขึ้นเขา มีบางจังหวะที่ต้องอาศัย จังหวะในการกดคันเร่งเพื่อแซงบรรดาพี่ใหญ่ รถบรรทุกที่ค่อย ๆ ไต่ระดับบนเส้นทางแบบไม่เป็นระเบียบขึ้นมาถึง เลนสอง เลนสาม
เรียกว่า “เต็มทุกช่องทาง” ทำให้เราต้องใช้วิชา มุดหาช่องว่างเพื่อวิ่งไปข้างหน้าได้ไม่ให้เสียจังหวะ ทั้งรถตัวเองและเพื่อนร่วมทาง
จนมาถึง สถานีทดสอบ ในส่วนของเส้นทางฝุ่น หรือ ทางลูกรัง บนเขาแผงม้า ในเส้นทางออฟโรด
เริ่มต้นขยับโหมดการขับขี่ จาก 2H ขึ้นมาเป็น 4H เพื่อเพิ่มความมั่นใจบนทางลูกรัง ทางฝุ่น มีหินลอยอยู่ตลอด
ส่วนการปรับระบบการขับเคลื่อนนั้น โตโยต้า ออกแบบมาเน้นให้ “ง่าย” เพื่อสะดวกต่อผู้ใช้งาน เป็น ปุ่มแบบมือหมุน อยู่ที่ บริเวณคอนโซลหน้า ใช้งานได้สะดวก ไม่จำเป็นจะต้องจอดรถ สามารถหมุนปรับได้ทันที เพิ่มความชัวร์และความเฟิร์ม ในส่วนของช่วงล่างกระชับ ค่อย ๆ นวดล้อ บดลงไปบนทางขรุขระ
ส่วนการซับแรงกระแทก ก็เซตมาได้ค่อนข้างดี ไม่ดีด ไม่โดด ส่วนหนึ่งอาจจะต้องให้เครดิต กับ น้ำดื่มที่บรรทุกมาบนกระบะท้ายด้วย
แต่นั่นก็ยังให้เรารู้สึกว่า คุมรถได้ง่าย และมั่นใจ
ก่อนจะมาถึงสถานีทดสอบเพื่อวัดใจ และความแม่นยำ ในเส้นทางการไต่ระดับความสูง ที่ผ่านหลุมขนาดใหญ่ ทีมงาน แนะนำให้เปลี่ยนโหมดขับขี่ไปเป็น 4L
ซึ่งตรงนี้เราต้องจอดรถให้หยุดสนิท แล้วเข้าเกียร์ N เพื่อปรับเป็นโหมด 4L
แล้วเราค่อย ๆ เปลี่ยนเกียร์ให้รถเคลื่อนไปข้างหน้า ด้วยพละกำลังของตัวรถจะค่อย ๆ เคลื่อนไต่ระดับ ขึ้นทางชันไปได้เอง โดยที่เราไม่จำเป็นจะต้องกดคันเร่ง หรือแค่บางจังหวะที่ไม่ทันใจ ก็จะใช้วิธีช่วยเติมคันเร่งไป แทนการใช้ วอล์กกิ้งสปีด เมื่อขึ้นไปสุดก็ต้องลงทางลาดชัน
รถคันนี้มีระบบช่วยชะลอเบรกในเส้นทางลาดชันมาให้ ตรงนี้ด้วยเพราะเราไม่ต้องไปแตะเบรกบ่อย ๆ หรือคนที่ใช้งานบรรทุกของจริง หรือ วิ่งขึ้นลงเขา เองก็จะลดความเสี่ยงต่ออาการเเตะเบรกบ่อยทำให้เบรกร้อนหรือเบรกแตกลงได้
สรุปในเส้นทางออฟโรดเอง รถคันนี้สามารถผ่านมาอย่างสบาย ๆ มือ
แถมลืมสนิท กับ น้ำหนักบรรทุกและอาการ “เป็นท้อ” ก็หายไปปลิดทิ้ง ตั้งแต่ยังไม่ถึงปราจีนบุรี
ถึงตรงนี้ต้องบอกว่า ไฮลักซ์ รีโว่ ร็อคโค่ รุ่นสมาร์ทแค็บ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่มองหาทั้งรถคู่ใจ และรถใช้งาน ถือว่าครบเครื่อง ความอึด ทึก ทนทาน ที่สำคัญ ช่วงล่างเนียนกริบ คุมง่าย
มาถึงตรงนี้ก็ไม่แปลกใจว่า ทำไมโตโยต้า ถึงกวาดเอาส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มรถปิกอัพขนาด 1 ตันแบบ ขับเคลื่อนสี่ล้อ ไปตุนไว้ได้ในมือมากกว่า 50%
สุดท้ายท้ายสุด อย่าเพิ่งเชื่อจนกว่าคุณจะได้ไปลองสัมผัส ความเนียนกริบ ของ ไฮลักซ์ รีโว่ ร็อคโค่ สมาร์ทแค็บคันนี้กันก่อน ส่วนราคาค่าตัวเขาไม่หนัก ไม่เบาะเมื่อเทียบกับ ประสิทธิภาพและความประทับใจ ที่ราคา 1.011 ล้านบาท
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ไฮลักซ์ รีโว่ ร็อคโค่ สมาร์ทแค็บ หนักแค่ไหน ก็ไปได้
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net
ความเห็น 0