“กรมการนักเลงโต” คืออะไร ต้องย้อนไปถึงกาลครั้งหนึ่งในสมัยโบราณ (แต่ก็ไม่นานมากนัก) การปกครองโดยเฉพาะตามหัวเมืองนั้นมิได้เป็นระบบระเบียบแบบแผนสักเท่าไร แม้เจ้าเมืองจะมีอำนาจในทางทฤษฎี แต่ในชั้นการปฏิบัติบางทีก็ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ เพราะใช่ว่าชาวบ้านจะยอมรับ และยอมทำตามกันได้ง่ายๆ เพราะรัฐแบบเดิมเป็นรัฐแบบที่ชาวบ้านมิได้มีส่วนได้สักเท่าไหร่ มีแต่ส่วนเสียซะมาก
เพื่อให้การปกครองเป็นไปโดยมีประสิทธิภาพ เจ้าเมืองสมัยก่อนจึงเลือกที่จะหาคนที่ชาวบ้านให้ความยำเกรง (หรือหวาดกลัว) มาเป็นผู้ที่ถืออำนาจในการบังคับกะเกณฑ์ราษฎรให้ปฏิบัติตามกฎหมายและนโยบายของเจ้าเมือง ดังที่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าถึงการตั้ง “กรมการ” ของเจ้าเมืองต่างๆ ไว้ว่า มักเลือกให้นักเลงโตมีพรรคพวกมากเข้ามารับตำแหน่ง เพื่อให้โจรผู้ร้ายไม่กล้าปล้นสะดมในถิ่นนั้น
จากคำบอกเล่าของ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ระบบแบบนี้ “ดูเหมือน” จะมีประสิทธิภาพ ดังเช่นกรณีของ คหบดีนามว่า “ช้าง” ที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้รักษากรุงศรีอยุธยาในตอนต้นรัชกาลที่ 5 ให้เป็น “หลวงบรรเทาทุกข์” ดูแลเกาะใหญ่ ซึ่งเป็นย่านเปลี่ยวมีโจรผู้ร้ายชุกชุม
ปรากฏว่า หลวงบรรเทาฯ ได้รับคำชื่นชมจากบรรดาชนชั้นสูงผู้มีบรรดาศักดิ์ที่สัญจรผ่านพื้นที่ดังกล่าวเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับชาวเรือที่มาขอพึ่งบารมีหลวงบรรเทาฯ เนื่องจากไม่มีโจรผู้ร้ายหน้าไหนกล้าเข้ามาย่ำยีพวกเขาในพื้นที่ดูแลของหลวงบรรเทาฯ เลย
แต่ความมากระจ่างเมื่อสมัยปลายรัชกาลที่ 5 นี่เองว่า แท้จริงแล้วหลวงบรรเทาฯ นั้นเป็นหัวหน้าซ่องโจร ที่แม้จะเข้ามาทำหน้าที่รับใช้หลวงก็ยังไม่ทิ้งสันดานโจร เหตุที่พื้นที่ที่หลวงบรรเทาฯ ดูแล มีการปล้นฆ่าน้อยก็ด้วยอำนาจบารมีแบบนักเลงโต ขณะเดียวกัน หลวงบรรเทาฯ ก็ยังสั่งลูกน้องในสังกัดของตัวให้ไปอาละวาด ก่อเหตุโจรกรรมในพื้นที่อื่น สุดท้ายเมื่อข้าหลวงชำระความแล้วเห็นแน่ว่า หลวงบรรเทาฯ เป็นหัวหน้าซ่องโจร ก็เลยต้องโทษประหาร กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวไปพักใหญ่
กับอีกตัวอย่างหนึ่งคือกรณีของ “หลวงศรีมงคล” ที่เจ้าเมืองอ่างทองใช้สอยอย่างเป็น “มือขวา” เป็นบุคคลที่มีความดีความชอบไม่น้อยสำหรับผู้มีบรรดาศักดิ์ เพราะหลวงศรีมงคลใช้งานได้ดี เมื่อครั้งที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเดินทางจากเมืองอ่างทองไปสุพรรณบุรี ก็ได้หลวงศรีมงคลเป็นผู้จัดหาพาหนะทั้งม้าและลูกหาบให้ได้ภายในวันเดียว ทั้งยังอาสาขี่ม้านำขบวนเสด็จของพระองค์ ทำให้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจึงได้ชอบมาแต่นั้น”
แต่เมื่อมีการตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ก็มีความปรากฏขึ้นมาว่า หลวงศรีมงคลใช้ให้บริวารของตัวออกไปเที่ยวปล้นหากินในเมืองอื่น ซึ่งเบื้องต้นเมื่อ สมเด็จฯ กรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์ สมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า ทรงทราบความก็ยังไม่ทรงเชื่อ “เพราะทรงใช้สอยหลวงศรีมงคลจนโปรดเหมือนกัน” แต่เมื่อศาลไต่สวนผลก็ออกมาเป็นที่แน่ชัดว่า หลวงศรีมงคลนี้เป็นหัวหน้าโจรร้ายจริง ศาลจึงพิพากษาจำคุกหลวงศรีมงคลไปหลายปี
สมเด็จฯ กรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์ จึงทรงมีพระวินิจฉัยว่า“วิธีเลี้ยงขโมยไว้จับขโมยนั้นใช้ไม่ได้”
เมื่อกลไกของระบบเทศาภิบาลมีความพร้อมแล้ว มีการตั้งกรมการอำเภอและตำรวจภูธรไว้ดูแลความสงบเรียบร้อย การตั้งกรมการบ้านนอก ด้วยการใช้นักเลงโตมาข่มนักเลงเล็ก “กรมการนักเลงโต” จึงเลิกไป
อย่างไรก็ดี ความนิยมในความเป็น “นักเลง” ของคนบางพื้นที่บางกลุ่มก็ยังคงมีอยู่ อาจเป็นเพราะผู้คนเหล่านี้เชื่อว่าคนเป็นนักเลงมักมีอำนาจบารมีคุ้มหัวไม่ให้ใครมากดขี่ตัวเองได้ แต่ธรรมชาติของนักเลงก็มักจะเอาแต่พวกพ้องของตัวเอง และหันไปข่มเหงผู้อื่น การหนุนนำนักเลงให้เข้ามามีอำนาจก็มีแต่จะไปทำลายระบบระเบียบสร้างความอยุติธรรม ดังที่ สมเด็จฯ กรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์ เคยทรงมีพระวินิจฉัยว่า “วิธีเลี้ยงขโมยไว้จับขโมยนั้นใช้ไม่ได้” ฉันใดก็ฉันนั้น
อ่านเพิ่มเติม :
- หลวงบรรเทาทุกข์ ดูแลย่านโจรชุกแถบอยุธยาจนสงบ แต่กลับซ่องสุมคนไปปล้นที่อื่น
- สมัย ร. 5 จับโจรผู้ร้ายให้เรียบร้อยต้องอาศัย 4 ปัจจัยอะไร
- กลวิธีการปล้นควายสมัยรัชกาลที่ 5 ของเสือ-โจรผู้ร้าย ทำกันอย่างไร?
อ้างอิง :
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. เทศาภิบาล. กรุงเทพฯ: มติชน, พิมพ์ครั้งแรก : พฤศจิกายน 2545.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 7 มกราคม 2561
ความเห็น 12
Apichart Sapapug
เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันโดยแท้
14 ก.ย 2562 เวลา 14.13 น.
....
เขากับรัฐบาลคนดี โดยแท้
หลวงบรรเทาฯ หลวงศรีมงคล
14 ก.ย 2562 เวลา 14.08 น.
หลวงตู่หลวงประวิทย์
14 ก.ย 2562 เวลา 14.34 น.
บัญญัติ
อุแม่เจ้า นี่เราย้อนอดีตไปอยู่ต้นรัชกาลที่5แล้วเหรอ
14 ก.ย 2562 เวลา 14.48 น.
Joke
ผ่านไปกี่สิบกี่ร้อยปี เบื้องหน้ามีประชาธิปไตยส่วนเบื้องหลังก็ยังเหมือนเดิม.
14 ก.ย 2562 เวลา 14.31 น.
ดูทั้งหมด