“ตลาดหุ้นจีน” เป็นหนึ่งในตลาดที่นักลงทุนนำเงินเข้าไปลงทุนเพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ โดยในครึ่งปีแรกมีเงินจากนักลงทุนไทยไหลเข้ากองทุนรวมหุ้นจีนถึง 7.1 หมื่นล้านบาทสูงสุดเป็น ‘อันดับหนึ่ง’
ซึ่งสวนทางกลับภาวะตลาดที่มีความผันผวนเป็นอย่างมาก จากผลกระทบของมาตรการของ “รัฐบาลจีน” ที่เข้มงวดในการกำกับดูแลภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่มีการผูกขาดเพื่อสร้างความเป็นธรรมในตลาด
โดยได้เข้ามาควบคุมกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีและล่าสุดกลุ่มโรงเรียนกวดวิชา (After-school Tutoring - AST)โดยเปลี่ยนให้เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ทำให้นักลงทุนไม่น้อยกังวลประเด็นดังกล่าวว่าจะมีความยืดเยื้อไปอีกมากน้อยเพียงใด
ในวันนี้ทาง ‘Wealthy Thai’ จึงขอโอกาสนำเสนอมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญในสายงานบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ถึง “หุ้นเทคฯ จีน” ที่เป็นต้นตอของสาเหตุมาแชร์ให้แก่ผู้อ่านและผู้ที่สนใจกันในครั้งนี้
“การควบคุมจากรัฐ”…เป็นสิ่ง ‘เหนือความคาดหมาย’ ของตลาด
โดย “คมสัน ผลานุสนธิ” กรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาดและผลิตภัณฑ์ บลจ. แอสเซท พลัส จำกัด ได้ให้มุมมองว่า ประเด็นที่เกิดกับ“หุ้นเทคฯ จีน” ถือเป็นกรณีที่เลวร้ายที่สุดเหนือความคาดหมายของตลาด ซึ่งกลายเป็นว่าอะไรที่กล้ามาท้าทายระบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ของจีนก็จะโดนรัฐบาลเข้ามาแทรกแซงหรือจัดการ
(คมสัน ผลานุสนธิ)
“ซึ่งกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีและกลุ่มธุรกิจที่ข้อมูลให้คนทั่วไปเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของประเทศจีนได้ อย่างล่าสุดก็ได้มีสั่งให้ร้านแอพหยุดให้บริการแอพของ Didi ผู้ให้บริการรถแท็กซี่แบบเดียวกับ Uber หลังจากพบว่าบริษัทได้รวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้อย่างผิดกฎหมาย”
นักลงทุน “เริ่มเสียขวัญ”…หลังสถานการณ์อาจแย่อาจเทรดวอร์
ทำให้ความรู้สึกของนักลงทุนโดยรวมที่มี “ตลาดหุ้นจีน” ในปัจจุบันค่อนข้างแย่ในระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงที่รัฐบาลจีนลดค่าเงินหยวน ซึ่งหากเทียบกับสถานการณ์สงครามการค้ากับสถานการณ์ในปัจจุบันก็คงต้องยอมรับว่า “แย่กว่า” เนื่องจากการจัดการในรอบนี้เป็นการเล่นงานหุ้นเป็นรายตัว
“ซึ่ง 2 องค์ประกอบหลักของราคาหุ้น ได้แก่กำไรของบริษัทและความคาดหวังหรือความมั่นใจของนักลงทุน โดยในมุมพื้นฐานของธุรกิจก็ยังคงมีความแข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่เติบโตได้ดี แต่ความคาดหวังของนักลงทุนในปัจจุบันมีความกังวลที่จะเข้าลงทุน เพราะความไม่แน่นอนของรัฐบาลจีนที่อาจจะออกมาตรการใหม่ๆได้ตลอดเวลาเพื่อเข้ามาควบคุมบริษัทจดทะเบียน”
ความน่าสนใจ “หุ้นเทคฯ จีน” ลดฮวบ…แนะควรหลีกเลี่ยง-แต่หากยังชอบก็ ‘เปลี่ยนกลุ่มเล่น’ ได้
โดยรวมความน่าสนใจในการลงทุน “หุ้นเทคฯ จีน” ได้ปรับตัวลดลงค่อนข้างสูง ซึ่งทางบริษัทเองก็ได้มีการปรับลดน้ำหนักการลงทุนมาด้วยเช่นกัน จึงอยากแนะนำนักลงทุนว่าในตอนนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าลงทุนในหุ้นเทคฯ จีนหรือควร“หลีกเลี่ยง” อย่างน้อยเป็นระยะเวลา 6 เดือน
“ส่วนนักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นก็ยังคงลงทุนได้ในระยะยาว อาจจะต้องเปลี่ยนน้ำหนักการลงทุนไปในหุ้นกลุ่มอื่นแทนอย่าง ‘กลุ่มการบริโภคในประเทศ’ หรือ ‘กลุ่มแฟชั่น’ โดยไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับดาต้าที่อาจโดนรัฐบาลเข้าแทรกแซง ขณะเดียวกันแนวโน้มการเติบโตของกลุ่มดังกล่าวก็อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงจากกำลังซื้อในประเทศ”
ผลกระทบนี้จะเกิดขึ้นเพียง “ระยะสั้น”
ฟาก “สาห์รัช ชัฏสุวรรณ” ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บลจ. ทิสโก้ จำกัด ได้ให้มุมมองว่า การปรับตัวลดลงของหุ้นเทคโนโลยีจะเป็นเพียงแค่ในระยะสั้นโดยเป็นผลมาจากความไม่มั่นใจของนโยบายรัฐบาลจีนและไม่คิดว่ามาตรการที่ออกมาจะเพื่อเป็นการทำร้ายธุรกิจโดยภาพรวม
เนื่องจากหากดูแผนพัฒนาประเทศภายใน 5ปี ฉบับล่าสุด รัฐบาลจีนได้ใส่เรื่อง “เทคโนโลยี” เข้าไปในแผนพัฒนาประเทศจึงเป็นสิ่งสะท้อนว่าอุตสาหกรรมอย่างเทคโนโลยีจะเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมช่วยผลักดันการเติบโตของประเทศในก้าวต่อไป ประกอบกับจีนอยากจะเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเช่นเดียวกับสหรัฐฯ
(สาห์รัช ชัฏสุวรรณ)
“มาตรการที่ออกมาเป็นเหมือนการพยายามแก้ปัญหาและดูแลความเท่าเทียมกัน ความผูกขาด และการให้ความสำคัญประชากรในเรื่องโซเชียล ซึ่งบริษัทจีนไม่น้อยที่ยังมีปัญหาเรื่องดังกล่าวอยู่จึงทำให้รัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องเข้ามาจัดระเบียบ”
แนะนักลงทุน “จังหวะย่อ”..ก็ถือเป็น “โอกาสสะสม”
จึงอยากแนะนำนักลงทุนที่มีเป้าหมายการลงทุนใน “ระยะกลางถึงยาว” ในจังหวะที่ตลาดย่อตัวก็ถือเป็นโอกาสทยอยสะสมได้เพราะในด้านพื้นฐานหุ้นเทคโนโลยียังสามารถเติบโตได้ดีในอนาคตจึงยังรูมที่ราคาจะไปต่อได้ แต่ถ้านักลงทุนยังมีความกังวลก็อาจจะรอจังวะก่อนได้
“หุ้นเทคฯจีน ถือเป็นที่ถูกพูดถึงในวงสนทนาอย่างหนาหูในช่วงนี้ เพราะการเข้ามาควบคุมและแทรกแซงของรัฐบาลจนทำให้นักลงทุนมีความกังวลเป็นอย่างมากจนเกิดเป็นแรงขาย แต่ในแง่พื้นฐานของธุรกิจนั้นกลับไม่ได้น่ากังวลอย่างที่เราคิด ซึ่งในวิกฤติก็อาจเป็นโอกาสสำคัญที่นักลงทุนจะได้ซื้อหุ้นในราคาถูกได้เช่นกัน”
ความเห็น 0