ใครที่ชื่นชอบรสชาติหวาน ๆ ปลื้มน้ำอัดลม เทใจให้ชานมไข่มุก ตักน้ำตาลใส่ก๋วยเตี๋ยว 3 ช้อนขึ้นไป ต้องระวังให้ดี ! แม้คนกินหวานทุกคนจะไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน แต่การกินหวานมากไปก็ทำร้ายร่างกายทางอ้อมและก่อให้เกิดโรคอื่น ๆ ได้อีกเพียบ ทั้งโรคอ้วน หลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ
นอกจากโรคต่าง ๆ ที่มากันเป็นแพ็กเกจสุดคุ้มแล้ว ความหวานยังมีส่วนทำให้ผิวพรรณผิดปกติจนเรานึกไม่ถึงเลยทีเดียว ทั้งผิวหนังหย่อนคล้อย ก่อนวัยอันควร หน้ามัน เป็นสิว เป็นผื่นง่าย รวมถึงผิวแห้งขาดน้ำส่วนหนึ่งก็มาจากน้ำตาลตัวร้ายเนี่ยแหละ
ทำไมกินหวานแล้วหน้าแก่
ปกติผิวหนังจะมีโปรตีนคอลลาเจนและอีลาสตินเป็นองค์ประกอบหลักเพื่อช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่น แต่ถ้าเรากินหวานมากเกินไป เจ้าน้ำตาลตัวร้ายก็จะไปจับกับโปรตีนอีลาสตินและคอลลาเจนที่อยู่บนผิวหนัง จนเกิดเป็นสารประกอบชนิดหนึ่งที่มีความแข็ง แตกเปราะได้ง่าย ซึ่งสารประกอบตัวนี้จะส่งผลให้เซลล์เสื่อมสภาพ สูญเสียคอลลาเจน เกิดการหย่อนคล้อย เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย เนื่องจากผิวไม่ยืดหยุ่นได้เหมือนเดิม จึงส่งผลทำให้หน้าไม่เด้ง หน้าแก่ รวมไปถึงทำให้ข้อต่อแข็ง เป็นสาเหตุทำให้แก่ก่อนวัย
โดยทั่วไปถึงแม้จะไม่มีความหวานเป็นตัวเร่งสารประกอบดังกล่าว ด้วยอายุที่มากขึ้นก็ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยเป็นเรื่องปกติ แต่การแก่ก่อนวัยไม่ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่เราควรยอมรับกันได้ง่าย ๆ เพราะฉะนั้นการลดปริมาณน้ำตาลเพื่อไม่ให้เป็นตัวเร่งปฏิกริยาดังกล่าวน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า
กินหวานยังไงให้ไม่แก่ ไม่เป็นโรค
สำหรับคนติดหวาน จะให้เลือกหวานแบบเด็ดขาดไปเลย คงลงแดงตายพอดี เพราะฉะนั้นลองค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปเรื่อย ๆ น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับสุขภาพร่างกายด้วย ถ้ากินหวานซะจนได้โรคมาเป็นของแถมแล้ว การหักดิบไปเลยย่อมดีที่สุด ลองมาดูกันว่าเราจะค่อย ๆ ปรับพฤติกรรมการกินหวานอย่างไรกันดีกว่า
1. รู้ตัวว่าติดหวาน ต้องอ่านให้เยอะ
อย่างที่รู้กันว่าปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสำหรับคนทั่วไปก็คือ 6 ช้อนชา ถ้าไม่อ่านฉลากโภชนาการก็ไม่มีวันรู้เลยว่าอาหารและเครื่องดื่มที่กินเข้าไปนั้นมีน้ำตาลอยู่เท่าไหร่ เพราะฉะนั้นรู้ตัวว่าติดหวาน ต้องอ่านให้เยอะ ดูให้ละเอียดว่าข้อมูลโภชนาการที่ระบุมานั้นมีอะไรบ้าง น้ำตาลเท่าไหร่ โซเดียมเท่าไหร่ การดูแบบนี้จะทำให้เราเกิดความแขยงกับปริมาณน้ำตาลจนอาจไม่อยากกินไปเลยก็ได้
แต่ข้อมูลโภชนาการบอกในอาหารและเครื่องดื่มต่าง ๆ ไม่มีระบุไว้เป็นช้อนชา ทำให้บางคนเกิดอาการงงเล็กน้อยว่าอันไหนกินได้ อันไหนหวานไป เอาสูตรการคิดไปเลยดีกว่า น้ำตาล 1 ช้อนชา = 4 กรัม เพราะฉะนั้นปริมาณเหมาะสมสำหรับการกินน้ำตาลต่อวันก็คือ 24 กรัม ซึ่งรวมถึงความหวานจากอาหารและผลไม้ที่กินเข้าไปด้วย ดังนั้นจะกินอะไรก็ต้องเลือกให้มาก เพราะยังไงเราก็ต้องกินข้าว ซดต้มยำ ตามด้วยผลไม้หรือของหวานตบท้ายอยู่ดี ของพวกนี้มีน้ำตาลรวมอยู่ด้วยทั้งนั้น
ส่วนพวกน้ำหวานชงตามร้านที่ไม่มีข้อมูลโภชนาการก็ต้องสั่งแบบหวานน้อยให้เคยชิน และดูปริมาณน้ำตาลให้ดี เพราะส่วนใหญ่น้ำหวานพวกนี้อัดแน่นไปด้วยน้ำตาลจำนวนไม่น้อยอยู่แล้ว ถ้าอยากก็แนะนำให้สั่งหวานน้อยและไม่ควรกินทุกวัน นาน ๆ ทีพอให้หายอยากก็พอแล้ว
2. ลาขาดน้ำอัดลมไปเลย
สำหรับคนติดหวานแล้ว ส่วนใหญ่น้ำอัดลมจะเป็นเพื่อนข้างกายที่ขาดไม่ได้ แต่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าน้ำประเภทนี้ไม่มีประโยชน์ใด ๆ กับร่างกายเลย ดังนั้นถ้าอยากลดหวาน สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการโบกมือบ๊ายบายน้ำอัดลมแบบถาวรไปเลย เพราะลำพังแค่น้ำหวานอื่น ๆ ก๋วยเตี๋ยว และอาหารอื่นที่กินเข้าไป ก็หวานซะจนไม่รู้จะหวานยังไงแล้ว
3. น้ำหวานทำเอง เวิร์คสุด
เนื่องจากเราไม่สามารถควบคุมปริมาณน้ำตาลในอาหารและเครื่องดื่มนอกบ้านได้ ดังนั้นการทำเองจึงเป็นวิธีที่เวิร์คที่สุด ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละควรเป็นเท่าไหร่ ก็ทำเองซะเลยหมดเรื่องหมดราว
ไม่ว่าจะเป็นชา กาแฟ น้ำเขียว น้ำแดง และอีกสารพัดน้ำที่มีขายนอกบ้าน เราสามารถทำเองได้ทั้งนั้น สูตรเครื่องดื่มพวกนี้ก็มีในเว็บไซต์เพียบ แค่ใส่น้ำตาลให้น้อยลง คัดสรรวัตถุดิบที่ดีขึ้น แค่นี้ก็ได้เครื่องดื่มสำหรับตัวเองที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว
4. หญ้าหวานหรือสารทดแทนความหวานอาจจะเป็นคำตอบ
สำหรับคนติดหวาน น้ำตาลก็คือวายร้ายดี ๆ นี่เอง แต่จะให้โบกมือบ๊ายบายไม่กินหวานเลยแบบหักดิบก็ทำไม่ได้ ดังนั้นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลน่าจะเป็นคำตอบดีที่สุด แต่เนื่องจากสารให้ความหวานเหล่านี้มีมากมายหลายรูปแบบ คนติดหวานจึงควรศึกษาให้ดีว่าแบบไหนเหมาะกับตัวเองมากที่สุด
สารให้ความหวานแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. แบบให้พลังงาน แต่น้อยกว่าน้ำตาลทั่วไป เป็นความหวานที่ได้จากน้ำตาลผลไม้ เช่น ฟรุกโทส มอลทิซอล ซอร์บิทอล ไซลิทอล ซึ่งแม้จะมาจากธรรมชาติแต่ก็ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องควบคุมน้ำหนัก หรือกินหวานเป็นประจำ เพราะแม้จะให้พลังงานน้อยกว่าน้ำตาล แต่หากกินในปริมาณมากก็ไม่ต่างจากน้ำตาลจริง ๆ ซักเท่าไหร่
2. แบบพลังงานต่ำหรือไม่ให้พลังงาน เช่น หญ้าหวาน ซูคราโลส แอสปาแตม เป็นสารให้ความหวานที่เหมาะกับคนกินหวานแต่กลัวโรคมากที่สุด ซึ่งปัจจุบันเป็นที่นิยมค่อนข้างมาก คนติดหวาน คนที่ควบคุมน้ำหนัก รวมถึงผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถกินได้สบายใจ
ข้อควรระวังก็คือ สารให้ความหวานแทนน้ำตาลเหล่านี้ แม้จะมีประโยชน์และนำมาใช้แทนที่น้ำตาลได้ แต่ถ้ากินในปริมาณมาก เกินไปก็ถือเป็นการทำร้ายร่างกายทางอ้อมได้เหมือนกัน สารเหล่านี้เป็นแค่ทางเลือกเพื่อบรรเทาให้การติดหวานคดีขึ้น แต่สิ่งที่ควรทำมากกว่าก็คือการค่อย ๆ ลดความหวานลงควบคู่กับการดูแลสุขภาพร่างกายไปด้วย
5. ออกกำลังกายสำคัญสุด
ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยก็คือการออกกำลังกาย ไม่ว่าจะติดหวานหรือไม่ การออกกำลังกายก็เป็นทางออกที่ดีเสมอ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปกับการค่อย ๆ ลดความหวานลงทีละน้อยก็คือการมีวินัยกับการออกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
อย่างที่รู้กันว่าประโยชน์ของน้ำตาลก็มี ทั้งให้พลังงานแก่ร่างกาย เป็นแหล่งอาหารของเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะภายในร่างกาย แถมยังมีส่วนช่วยคลายเครียดได้ด้วย แต่ทั้งหมดนี้ต้องกินน้ำตาลในปริมาณที่พอเหมาะพอดีกับร่างกาย ถ้ากินมากเกินไปจากประโยชน์ก็กลายเป็นโทษได้เหมือนกับของทุกอย่างบนโลกนี้
ความเห็น 13
tao
หมั่นหยอดคำหวานกับคนในบ้าน และคนรอบกายเยอะๆ ดีต่อใจ ดีต่อสุขภาพด้วยนะ
14 พ.ย. 2562 เวลา 12.17 น.
Pattie
ติดเค็ม ติดมัน ติดหวาน ติดขม คนเรามีติดทุกคน ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
14 พ.ย. 2562 เวลา 12.51 น.
sujira
ติดกินหวาน คงโชคดีค่ะ รอดจากทุกโรค อายุเลยเกษียณมาสามปี หุ่นยังเป๊ะ หน้ายังใส เพื่อนๆในรุ่นยังจัดให้ว่าอยู่ในพวก ไปไกลๆหน่อย รำคาญตา แหะๆๆๆๆ
14 พ.ย. 2562 เวลา 20.32 น.
ผมได้พบกับตัวเองจริงๆคือ ปี2009 เช็คเบาหวานได้129 ก่อนเช็ค2ปีกินไก่3-4วันต่อสัปดาก์ จึงเลิกกินไก่เด็ดขาด6เดือนเช็คเบาหวานได้ 119 จึงเลิกกินไก่เด็ดขาดอีก6เดือนเช็คอีกครั้งได้113 จึงเลิกกินไก่จนถึงทุกวันนี้ ต่อมาปลูกสวนกล้วยหอมทองแบบธรรมชาติคือกินอร่อยมาก กินกล้วยหอมทองวันหนึ่งเกินครึ่งกิโลกรัม รวม3ปี ตรวจเช็คเบาหวานเมือ3วันก่อนยังอยู่เท่าเดิมคือ 113 นั่นแสดงว่ากล้วยหอมทองไม่มีผลต่อเบาหวานเลยใช่หรือไม่ ขอยืนยันว่ากินกล้วยหอมทองมากจริง
16 พ.ย. 2562 เวลา 23.04 น.
เหมือนกินน้ำตาลยังไงไม่ให้หวาน กินพริกยังไงไม่ให้เผ็ด มันเป็นไปไม่ไเ้หรอก
16 พ.ย. 2562 เวลา 23.48 น.
ดูทั้งหมด