EP.01 คำสาปภาษาอังกฤษ
เราจะทำความรู้จักกันได้ เราต้องมีการติดต่อสื่อสารกันก่อน และวิธีการสื่อสารก็มีได้หลายวิธี บางคนถนัดใช้ภาพ บางคนถนัดใช้คำพูด บางคนถนัดใช้ท่าทางเอา ตัวหนังสือก็เป็นวิธีสื่อสารอีกวิธีหนึ่งที่สื่อสารให้คนอื่นเข้าใจในสิ่งที่เราจะบอก เข้าใจในมุมมองของเราได้
สวัสดีครับ บทความนี้เป็นบทความแรกที่ผมได้มาเขียนในโปรเจค Talk Today ต้องขอบคุณทาง Line Today ที่ได้ให้โอกาสนี้มา บางคนอาจจะรู้จักผมบ้างแล้วจากทางเพจของผมเอง แต่อาจมีอีกหลายคนที่ไม่รู้จัก ไม่เคยอ่านบทความของผมมาก่อน ผมจึงขอฝากเนื้อฝากตัวให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ลองทำความรู้จักตัวผมผ่านตัวหนังสือได้ที่นี้ดูครับ
เนื้อหาที่ผมจะเล่าในบทความจะเป็นเนื้อหาง่ายๆ สบายๆ บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่ผมเคยพบเจอแล้วคันมืออยากจะเขียนเล่า บางเรื่องก็มีเนื้อหาความรู้ที่อยากจะแชร์ บางเรื่องก็พบเห็นในสิ่งที่ประทับใจจึงอยากถ่ายทอดออกมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน
และในตอนแรกนี้ผมอยากจะเล่าเรื่องของผมเองเพื่อให้เพื่อนๆ ได้รู้จักผมคราวๆ ก่อน จากที่ในตอนต้นได้บอกไว้ครับว่าการสื่อสารทำให้เรารู้จักกันมากขึ้น ซึ่งภาษาก็เป็นเครื่องมือการสื่อสารที่สำคัญของมนุษย์เรา และในยุคออนไลน์ไร้พรมแดนทำให้เราสามารถสื่อสารภาษาต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
แต่ผมขอยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าเป็นคนอ่อนภาษาอังกฤษอย่างแรง ผมจำไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดทำไมถึงไม่ชอบวิชานี้ ทั้งๆที่สมัยประถมผมเรียนโรงเรียนคริสต์ที่มีการสอนวิชาภาษาอังกฤษแบบเป็นเรื่องเป็นราว ผมก็ยังเรียนไม่เข้าหัว
เวลาสอบผมก็อาศัยขอลอกเพื่อนเพียงแต่มีปรับแต่งคำตอบตัวเองไม่ให้เหมือนเพื่อนทั้งหมด มาสเตอร์จะได้จับไม่ได้ว่าลอกกัน แต่เหตุการณ์หาได้เป็นอย่างนั้นไม่ เพื่อนเจ้ากรรมที่ให้คนอื่นหลอกนั้นสอบตก ทำให้เพื่อนอีกเป็นขบวนสอบตกวิชานี้เหมือนกันหมดด้วย เพราะลอกคำตอบแบบเป๊ะๆ
คำตอบผิดจึงเหมือนกันเด๊ะ มาสเตอร์จึงจับได้ว่าหลอกข้อสอบกัน แต่ผมรอด! เพราะการที่เปลี่ยนคำตอบแบบมั่วๆดันทำให้ผมสอบผ่าน มาสเตอร์จึงทำโทษให้การสอบครั้งนั้นเป็นโมฆะและให้สอบใหม่ทั้งหมด
จากเหตุการณ์นี้ทำให้ผมคิดว่าลอกหรือไม่ลอกโอกาสตกก็มีเหมือนกัน ถ้าจะสอบตกก็ขอตกด้วยน้ำมือตัวเองดีกว่า ผมจึงเริ่มรู้สึกตัวว่าไม่ควรลอกคนอื่นอีกต่อไป หลังจากนั้นผมก็ทำเองมาโดยตลอด แต่เหมือนเป็นคำสาปติดตัว ทำยังไงภาษาอังกฤษผมก็ไม่รุ่ง
ในขณะที่วิชาอื่นผมดีวันดีคืนโดยเฉพาะวิชาคำนวณผมอยู่ในระดับท็อปตลอด และวิชาคำนวณนี้เองที่ทำให้ผมเอ็นท์ติด ส่วนวิชาภาษาอังกฤษผมนั่งหลับตอนสอบ พอใกล้จะหมดเวลาผมก็ตื่นขึ้นมาใช้เวิปทูเดาทำข้อสอบจนเสร็จ
พอตอนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งผมพอถูไถเอาตัวเองผ่านวิชาภาษาอังกฤษมาได้ แต่พอขึ้นปี 2 สอบกลางภาคคะแนนวิชาภาษาอังกฤษของผมอยู่ในกลุ่มบ๊วย ผมยังพอมีโอกาสในการสอบปลายปีหากผมทำได้ดี
วิชานี้ผมก็อาจจะผ่านไปได้ แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่คนอื่นที่ได้คะแนนเท่าผมมันวิทดรอว์กันหมด ผมเลยต้องวิทดรอว์ตาม เพราะไม่อยากเป็นบ๊วยคนเดียวของคณะ เพราะคะแนนวิชานี้ให้เกรดแบบตัด Mean เมื่อเพื่อนๆ ถอนวิชานี้กันหมด Mean คะแนนมันก็จะยิ่งสูงขึ้น ผมมีโอกาสติด F ปลายปีได้
และวิชาอังกฤษตัวนี้เป็นวิชาบังคับถ้าไม่ผ่านตัวนี้จะถือว่าเรียนไม่จบ ซึ่งนั้นก็คือผมอาจต้องเรียนซ้ำชั้นเพื่อรอเรียนกับรุ่นน้องอีกในปีหน้า เดชะบุญที่เทอมนี้มีคนวิทดรอว์ภาษาอังกฤษตัวนี้จำนวนเยอะ ทางอาจารย์จึงเปิดสอนให้เรียนตอนซัมเมอร์
พวกผมที่วิทดรอว์จึงได้ลงเรียนตอนซัมเมอร์ไม่ต้องรอเรียนกับรุ่นน้องอีกปี ด้วยการที่ตอนเรียนซัมเมอร์นั้นเรียนแค่วิชานี้วิชาเดียว ผมสอบผ่านมาได้อย่างเกรดสวยหรู ทำให้ผมเรียนจบมาได้
ที่ตลกคือปัจจุบันผมทำงานไม่ได้ใช้วิชาคำนวณเลย กลับกันแล้วยังใช้ภาษาอังกฤษมากกว่าอีก พอจบมาทำงานจริงๆ ภาษาอังกฤษกับเป็นวิชาที่ใช้ในอาชีพจริงมากกว่าวิชาคำนวณก็ว่าได้ หากโลกนี้มีไทม์แมชชีนผมคงนั่งย้อนเวลาเพื่อไปตั้งใจเรียนวิชาภาษาอังกฤษตั้งแต่ยังเด็ก
แต่ก็ไม่มีอะไรที่สายเกินไปที่จะเรียนรู้ ออฟฟิศได้มีการจ้างอาจารย์ฝรั่งมาสอนให้พนักงานที่สนใจเรียนภาษาหลังเลิกงาน ผมลงเรียนตั้งแต่ระดับพื้นฐาน ในการเรียนขั้นพื้นฐานทำให้ผมมาเข้าใจได้ว่า จริงๆ แล้วผมมีปัญหาที่การฟัง กับการพูด
บ่อยครั้งที่ผมฟังไม่ชัด ไม่ค่อยได้ยิน จับใจความไม่ได้ จึงทำให้คิดไม่ทัน ฟังไม่ออก และการที่ผมลิ้นไก่สั้นผมพูดออกมาก็ยิ่งไม่ชัดไปกันใหญ่ พูดไปพูดมาคนก็ฟังไม่รู้เรื่อง
มิสเตอร์นีล คือ ครูสอนภาษาอังกฤษผม มิสเตอร์นีลคือคนที่ทำให้รู้ว่าผมมีปัญหาตรงการฟังกับการพูด แค่ชื่อครู ผมจะออกเสียงให้ถูกก็ปาไปเกือบชม.แล้ว ตลอดการเรียนการสอนผมมักถูกมิสเตอร์นีล เรียกตอบคำถามอยู่บ่อยครั้ง
ตอบได้บ้าง ไม่ได้บ้าง มั่วบ้างแต่ผมก็เรียนจนจบคอร์ส ช่วงนั้นผมเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น เริ่มกล้า เริ่มทักทายภาษาอังกฤษกับคนต่างชาติ
ด้วยความร้อนวิชาผมเริ่มมีความมั่นใจในภาษาอังกฤษมากขึ้น ผมเริ่มลงขายของออนไลน์ช่องทางต่างๆ มีการเขียนอธิบายสินค้าหรือพิมพ์ตอบโต้เป็นภาษาอังกฤษ มีฟีดแบคโต้ตอบจากลูกค้าเสมอๆ และดูลูกค้าจะเข้าใจเป็นอย่างดี ผมจึงยิ่งมั่นใจขึ้นไปอีก
ผมจึงลองวิชาโดยการไปเที่ยวต่างประเทศเองดู และประเทศที่ผมเลือกก็คือ ญี่ปุ่น ผมชอบประเทศญี่ปุ่นในแง่ธรรมชาติ อาหาร และวัฒนธรรมแล้วผมยังรู้สึกมาเที่ยวที่นี่ผมจะปลอดภัยจากการใช้ภาษาแน่ๆ เพราะเห็นว่าคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็ยังใช้ภาษาอังกฤษไม่ถนัดกันนัก
สำเนียงการพูดการคุยคงไม่ได้ดีไปกว่าผมมากเท่าไร แถมป้ายตามร้านต่างๆ ก็มีภาษาไทยแปลให้อยู่จำนวนมาก ในครั้งนี้ผมเลือกไปเที่ยวเกียวโต เพราะผมชอบเมือง ชอบประวัติศาสตร์ และธรรมชาติของที่นี้ และหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดในเกียวโตเลย ก็คือ วัดคิโยมิสึ
ผมชอบถ่ายรูปใบไม้เปลี่ยนสีมาก ที่วัดคิโยมิสึ จึงตอบโจทย์กับผมเป็นอย่างมาก
จำหน่ายตั๋วทางเข้าวัดคิโยมิสึ
วัดคิโยมิสึ หรือ วัดน้ำใส เป็นวัดเก่าแก่โบราณ ถูกสร้างมา 1,200 กว่าปีแล้ว เป็นสถาปัตยกรรมสวยงามสร้างจากไม้ล้วนๆ ที่เด่นชัดเลยคือ ศาลาไม้ขนาดใหญ่ที่มีความสูง 13 เมตรจากพื้นดิน ทำระเบียงยื่นออกไปด้านนอก
ทำให้เป็นจุดชมวิวยอดฮิตของนักท่องเที่ยวหลายคน และที่สำคัญคือไม้ทั้งหมดที่นำมาสร้างไม่ใช้ตะปูเลย จะใช้การนำไม้มาทำเป็นรอยต่อขัดกันให้แข็งแรงรับน้ำหนักได้ นับเป็นการโชว์ภูมิปัญญาชาวบ้านอย่างแท้จริง จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์กร UNESCO
อาคารไม้หลังหลักในวัดคิโยมิสึ เป็นจุดชมวิวที่สำคัญของวัดนี้ สามารถมาชมวิวรอบๆ ได้ทุกฤดูกาล แต่ล่าสุดเมื่อปีที่แล้วผมได้ไปเที่ยวอีกครั้งผมว่าอาคารไม้หลังนี้กำลังซ่อมปรับปรุงอยู่จะมีผ้าใบสีดำมาขึงกั้นปกคลุมไว้อยู่
ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2021 เลยครับ ดังนั้นหากใครมาเที่ยวในช่วงนี้อาจจะไม่ได้เห็นวิวอาคารเปิดออกแบบในรูปที่ผมถ่ายมาเมื่อหลายปีครับ
โครงสร้างเสาและคานที่รับน้ำหนักในอาคารหลัก ไม้ทั้งหมดที่นำมาสร้างไม่ใช้ตะปูเลย จะใช้การนำไม้มาทำเป็นรอยต่อขัดกันให้แข็งแรงรับน้ำหนักได้ นับเป็นการโชว์ภูมิปัญญาชาวบ้านอย่างแท้จริง จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์กร UNESCO
ภายในวันน้ำใสจะมีจุดชมวิวหลายจุด ที่สามารถเห็นทั้งป่าเขา ต้นไม้ รอบๆเมือง ไปจนถึงทิวทัศน์เมืองเกียวโต จึงเป็นสถานที่นักท่องเที่ยว และนักถ่ายภาพต้องหาโอกาสมาถ่ายรูปให้ได้ อีกทั้งเรายังจะได้เห็นชาวญี่ปุ่นทั้งชายและหญิงพร้อมใจกันแต่งชุดกิโมโนเพื่อมากราบขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์และถ่ายรูปกับวิวภายในวัดกัน
เราสามารถมองเห็นเกียวโตทาวเวอร์ได้จากจุดชมวิวในวัดคิโยมิสึ
และที่มาของชื่อวัดน้ำใสก็มาจาก น้ำตกโอโตวะน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไหลผ่านตัววัด ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่นับถือเทพธรรมชาติ จึงถือว่าน้ำที่มาจากน้ำตกแห่งนี่เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทางวัดจึงได้จัดทำศาลาให้ชาวบ้าน นักท่องเที่ยวได้รองน้ำศักดิ์สิทธิ์มาดื่มกินกัน
ที่กระบวยตักน้ำมีการฆ่าเชื้อผ่านแสงอัลตราไวโอเลต เพื่อความสะอาดปลอดภัย น้ำทั้งสามสายมีความหมายคือ สุขภาพ ความรัก และการงาน ใครอยากสำเร็จด้านไหนก็ตักดื่มกินน้ำสายนั้น นับเป็นจุดไฮไลท์ของนักท่องเที่ยวที่มาถึงต้องมาเข้าแถวต่อคิวรอ เพื่อจะได้ตักน้ำศักดิ์สิทธิ์กินกัน
ในขณะที่ผมกำลังเดินหามุมถ่ายรูปอยู่ในวัดนั้น ก็มีคนญี่ปุ่นชายหญิงคู่หนึ่งแต่งชุดกิโมโนเดินยิ้มเข้ามาหา พร้อมกับยื่นกล้องมาให้ ผมรู้ได้ทันทีว่าเขาคงให้ช่วยถ่ายรูปแน่ๆ แต่ผมไม่รู้ว่าเขาต้องการให้ผมถ่ายรูปพวกเขาเข้ากับฉากด้านหลังอะไร จะเป็นต้นไม้ใบไม้เปลี่ยนสี หรือต้องการถ่ายให้เห็นวัดกันแน่
เพราะอย่างที่เล่าไปว่าในวัดคิโยมิสึมีมุมถ่ายรูปสวยๆ หลายมุมมาก ผมจึงพูดถามไปว่า “what do you want take photo with tree or temple?” ทั้งคู่ดูมึนงงไม่เข้าใจที่ผมพูดภาษาอังกฤษออกไป
ผมคิดว่าเค้าคงไม่เข้าใจภาษาอังกฤษแน่ๆ ผมคิดว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจะถ่ายรูปเผื่อหลายช็อตให้พวกเขาไปเลือกกันเอาเอง แต่ทั้งคู่ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรกับผม ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ๆมากขึ้น แล้วผมก็ได้ยินผู้ชายพูดกับผมด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษแบบอินเตอร์ว่า “Can You Speak English?” ……………………….
ติดตามผลงานเขียนอื่นๆ อีกได้ที่ FB ปั่นเรื่อง เป็นภาพ
ความเห็น 4
มารุต
ผมเลยตอบไปทันทีว่า "No,I can't."
02 ก.ย 2562 เวลา 09.30 น.
ผมคิดว่าการศึกษาและการเรียนรู้นั้น ย่อมสามารถที่จะช่วยทำให้ตัวของเรานั้นได้รับรู้ถึงในความเป็นจริงกับในสิ่งต่างๆดั่งที่ใจของเราต้องการได้เป็นอย่างดีเหมือนกันนะครับ.
02 ก.ย 2562 เวลา 12.34 น.
njoy
เคยได้ยินมาว่า คนที่เก่งคณิตศาสตร์ มักไม่เก่งภาษาอังกฤษ คงน่าจะมีเค้านะคะ สำหรับบทความนี้ อ่านสนุกและน่าติดตามดีค่ะ จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ 😊
09 ก.ย 2562 เวลา 07.44 น.
Joseph Peacezena
กว่าจะเริ่มเข้าประเด็นก็บรรทัดสุดท้ายในย่อหน้าสุดท้ายของตอนแรก ต้องอ่านข้ามแบบลวกๆไปมากกว่าจะเจอประเด็น พอเจอประเด็นก็ต้องติดตามตอนต่อไป
03 ก.ย 2562 เวลา 22.50 น.
ดูทั้งหมด